สวัสดีค่ะ หลังจากที่หาข้อมูลในพันทิปมานาน บอกกับตัวเองไว้ว่าถ้าผ่าน จะมารีวิวสั้นๆ ที่ทำให้ผ่านแบบแน่นอน
วันนี้เลยถือโอกาสมาเขียนกระทู้นี้ขึ้น เราเพิ่งไปสัมภาษณ์มาเมื่อวันอังคารที่ 5 NOV 2019 ที่ผ่านนี้เองค่ะ
ต้องบอกก่อนว่าในกรณีของเรา ตอนแรกคือกังวลมากๆ
เพราะเราเคยได้วีซ่า J1 จากการไป Work And Travel ถึงสองรอบสมัยเรียนมหาลัยในปี 2014,2015
และหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กเวิคมักจะไม่ผ่าน เพราะเหมือนรู้ลู่ทางไปทำงานแล้ว
แต่เราอยากกลับไปเที่ยวแบบจริงๆ เลยอยากเสี่ยงขอดู
สำหรับแบล็กกราวน์เราเบื้องต้นคือ ผู้หญิงโสด อายุ 25
ทำงานบริษัทปัจจุบันมาแค่ 7 เดือนเท่านั้น แต่ก่อนหน้านั้นก็ทำงานมาตลอด
รวมๆ แล้วอายุงานประมาณสามปีครึ่งค่ะ หลังกลับมาจากโครงการ
เรากลับมาเรียนปี 4 และเมื่อจบปตรี เราต่อปโทเลย พร้อมเริ่มงานแรกเลย
ปัจจุบันทำงานในตำแหน่งระดับ senior ค่ะ
เราเคยไปอเมริกามาสองครั้งตอนเข้าร่วมโครงการ
และเคยไปเที่ยวญี่ปุ่นมา 5 ครั้ง เกาหลี 3 ครั้ง สิงคโปร์ 2 ครั้ง และ ไต้หวัน จีน ฮ่องกง มาเก๊า อย่างละ 1 ครั้งค่ะ
สำหรับเราทริปนี้เราตั้งใจ sponsor ตัวเองค่ะ เราเลยกรอกข้อมูลตามจริงทั้งหมด
ไม่ได้อ้างอิงใครเลยทั้งสิ้น โดยตั้งใจไปกับเพื่อนสนิทที่มีวีซ่าอยู่แล้วค่ะ
เริ่มแรกเราเริ่มจากขั้นตอนการกรอก DS-160 ก่อนค่ะ โดยเราดูข้อมูลวิธีการกรอกตามอินเตอร์เน็ตเลย
ส่วนตัวขอแนะนำกระทู้นี้ค่ะ ค่อนข้างละเอียดว่าแต่ละอันต้องกรอกอะไรบ้าง
https://pantip.com/topic/32189283
สำหรับทริกของเราคือ เราใช้วิธีการปริ้นหน้าที่ต้องกรอกมาก่อนค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง
แล้วใช้วิธีกรอกมือทิ้งไว้ และค่อยๆ ทบทวนไปทีละอย่างค่ะ ว่าเรียบร้อยดีรึยัง
เพราะเวลาเราล็อกอินไปกรอกในระบบ เราจะได้กรอกตามในกระดาษที่กรอกเลย
ข้อมูลที่ต้องกรอกดีๆ เลยก็คือรายละเอียดการทำงานค่ะ ของเรากรอกแบบไม่ยืดยาว
เรากรอกแค่ว่าเราทำงานที่ไหน บริษัทเกี่ยวกับอะไร และทำตำแหน่งอะไร มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง
มีประมาณ 4 บรรทัดเองค่ะ ไม่ยาวมาก แต่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ตรงนี้ก็ปรับอยู่นานเหมือนกันค่ะ
สำหรับเราแอบมีผิดพลาดนิดนึง เพราะเราไม่ได้กรอกข้อมูลการศึกษา
และที่ทำงานเก่าๆ ที่เคยผ่านมา เรากรอกแค่ประวัติการทำงานปัจจุบัน
ซึ่งจริงๆ ตรงนี้เราสามารถกด บวกเพื่อเพิ่มประวัติเก่าๆ ได้ แต่เราลืมค่ะ 555
ใครที่อ่านกระทู้นี้ ก็อยากให้เช็กดีๆ ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะเหมือนเรา 55
แต่อันนี้เราก็รู้ตัวตั้งแต่จ่ายเงินเสร็จเลย ว่าเฮ้ยมันไม่มี
ก็กลัวๆ อยู่เหมือนกันตอนแรก เลยแอบติดใบจบมาด้วยตอนไปสัมภาษณ์แต่ก็ไม่ได้ขอดูค่ะ
หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จแล้ว มาถึงขั้นตอนของการนัดสัมภาษณ์
โดยเราต้องเข้าไปยื่นคำร้องก่อน และไปจ่ายเงินที่ธนาคาร
เมื่อจ่ายเงินแล้วประมาณวันรุ่งขึ้นถึงจะเข้ามาจองสัมภาษณ์ได้
อันนี้เราดูวิธีตามกระทู้นี้เลยค่ะ
https://pantip.com/topic/32193184
สำหรับเราเราจ่ายเงินประมาณปลายๆ เดือน ตค แล้วค่ะ
ค่าวีซ่า 5,280 บาท เมื่อมาดูคิวพบว่าคิวไวสุดวันที่ 19 พย
ซึ่งถือว่านานพอสมควร ตัวเราเองตั้งใจจะไปตอนปีใหม่
เลยกลัวว่าตั๋วจะแพงขึ้น เลยกดนัดไปก่อน
แล้วใช้วิธีเข้าระบบมาดูทุกชั่วโมง ว่ามีคิวที่เร็วขึ้นหลุดบ้างไหม
เพราะเราจะสามารถเลื่อนได้อีก 2 ครั้ง
และเราก็เลื่อนมาจนได้ถึงวันที่ 5 พย ค่ะ ซึ่งถือว่าเร็วกว่าเดิมมากๆ
หลังจากได้คิวก็มาถึงเรื่องการเตรียมเอกสารไปสัมภาษณ์ค่ะ
เราใช้วิธีแยกทุกอย่างเป็นหมวดหมู่ เพื่อเวลาที่ตอนไป
เวลาเจ้าหน้าที่ขอดูอะไรจะได้หยิบได้ง่ายๆ โดยเอกสารที่เราเตรียมไปมีดังนี้ค่ะ
หมวดหมู่แรกเราแบ่งเป็นเอกสารที่ต้องเอาไป
- ใบ confirmation
- ใบยืนยันการนัดสัมภาษณ์
- ใบเสร็จชำระเงินค่าวีซ่า
หมวดหมู่ที่สอง เป็นเอกสารส่วนตัวของเรา
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- ใบเปลี่ยนชื่อ
- ทรานสคริป
- พาสปอร์ตทุกเล่ม
หมวดหมู่ที่สาม เป็นเอกสารเกี่ยวกับการทำงานค่ะ
- ใบรับรองการทำงานจากบริษัท โดยรายละเอียดในใบรับรองของเรา
จะมีแจ้งอย่างครบถ้วน คือเราเริ่มงานตั้งแต่วันที่เท่าไหร่
ทำงานในตำแหน่งไหน เงินเดือนเท่าไหร่
จะไปเที่ยวอเมริกาวันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่
รวมแล้วเท่ากับว่าใช้วันลาของบริษัทไปกี่วันค่ะ
- สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 6 เดือน
หมวดหมู่ที่สี่ เป็นเอกสารทางการเงินค่ะ
- หนังสือรับรองบัญชี
- Statement ย้อนหลัง 6 เดือน
- สมุดบัญชี
หมวดหมู่ที่ห้า เป็นรายละเอียดการเดินทางทั้งหมด
โดยเราไม่ได้จองตั๋วหรือที่พักไปเลยนะคะ
เราใช้วิธีเข้าไปกดจองถึงหน้าสุดท้าย แล้วแคปเก็บไว้ค่ะ
- แพลนเที่ยวทั้ง 14 วัน เราทำไปค่อนข้างละเอียด
- ไฟล์ทเครื่องบิน ที่ตั้งใจอยากจะจอง
- ใบจองโรงแรมที่ต่างๆ ตามแพลน แต่ไม่ได้จองจริงๆ ค่ะเป็นแค่ใบยืนยันก่อนจ่ายเงิน
ทีนี้ก็พร้อมไปสัมภาษณ์กันแล้วค่ะ โดยเราได้คิวเวลา 8.20 น.
เราเตรียมตัวไปถึงที่หน้าสถานทูตประมาณ 7.40 ค่ะ
เพราะจริงๆ ไม่ได้ลางานไว้เลยกะว่า ถ้าไปไวหน่อย
ถ้าเรียกตามคิวก็น่าจะไม่เสียเวลามาก โดยสรุปแล้วเราเสร็จออกมาช่วง 9.40 ค่ะ
เริ่มแรกเลยเราก็ไปต่อแถวตรวจเอกสารเวลานัดกับเจ้าหน้าที่
พร้อมฝากมือถือคนละ 1 เครื่อง ส่วนตัวเราวันนั้น
พกไปแค่กระเป๋าสะพายไปเล็ก และในกระเป่ามีแค่
กระเป๋าเงิน มือถือ ลิปสติกหนึ่งแท่ง เท่านั้นจริงๆ ค่ะ
เมื่อเข้าไปด้านในแล้วต้องไปนั่งรอเจ้าหน้าที่เรียกตามรอบค่ะ
ตรงนี้รอนานเหมือนกันเพราะเราไปก่อนเวลาค่อนข้างเยอะ
รอบของเราโดนเรียกจริงประมาณ 9.00 น ค่ะ
โดยด่านแรกคือยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่เช็กข้อมูล
เจ้าหน้าที่จะติดสติกเกอร์ที่หน้าพาสปอร์ตเรา
โดยสติกเกอร์ตรงนั้นจะมีเลข EMS อยู่ด้วย
เราต้องจดเลขตรงนี้ไว้ เพื่อหากวีซ่าผ่าน เราจะเช็กสถานะได้
ว่าพาสปอร์ตเราจะส่งกลับมาถึงไหนแล้ว
และเมื่อเสร็จจากตรงนี้ เข้าไปด้านใน จะเจอกับเจ้าหน้าที่คนไทย
เป็นเหมือนด่านยืนยันข้อมูลเบื้องต้นค่ะ
เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบว่าเคยเปลี่ยนชื่อไหม
เคยได้วีซ่ามาก่อนไหม เคยมาขอแล้วไม่ได้ไหม
และหากเคยได้ ได้ประเภทไหน ปีไหน ต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่ทั้งหมดค่ะ
ตรงนี้เราเคยได้สองรอบ เจ้าหน้าที่ก็จะถามว่าแต่ละปีไปที่ไหนมา
และขอดูวีซ่าที่เคยได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมควรพกพาสปอร์ตทุกเล่มไปค่ะ
หลังจากผ่านตรงนี้ จะไปเจอด่านสุดท้าย ที่เป็นด่านตัดสินแล้วว่าคุณจะผ่านหรือไม่ผ่าน
วันที่เราไปสัมภาษณ์มีเจ้าหน้าที่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน
เป็นเจ้าหน้าที่ผิวสีดูใจดี 1 คน เจ้าหน้าที่ฝรั่งผู้ชายวัยกลางคนดูหน้าตาดี 1 คน
เจ้าหน้าที่ฝรั่งเป็นผู้หญิง 1 คน และสุดท้ายเป็นผู้ชายฝรั่งดูสูงวัยนิดนึง แต่ดูใจดีอีก 1 คนค่ะ
ระหว่างที่เรายืนอยู่ ช่องที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ชายวัยกลางคน ไม่มีใครผ่านเลย!!!
เราแบบใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ มากๆ กลัวว่าจะได้ช่องนี้ 555
แต่สุดท้ายก็มาได้ช่องเจ้าหน้าที่ผู้หญิง ที่ก็แอบเห็นคนไม่ผ่านอยู่เหมือนกัน
แถมเค้ายังไม่ยิ้มเลยด้วย เลยแอบกังวลนิดนึง
แต่เราก็เข้าไปแบบมั่นใจ เจ้าหน้าที่ทักเราเป็นภาษาไทยว่า สวัสดีค่ะด้วย
แต่เราทักเค้ากลับไปเป็นภาษาอังกฤษค่ะ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ไม่รอช้า เริ่มถามเลยเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดนะคะ
สำหรับคำถามที่เราโดนนะคะ
- จะไปทำอะไรที่อเมริกา?
เราตอบว่า ไปเที่ยว พร้อมบอกเมืองที่ไป
- รู้จักใครที่อเมริกาไหม?
เราตอบว่าไม่มีค่ะ
- ไปทำงานอะไรมา?
อันนี้เราแอบเอ๋อนิดนึง คิดว่าเค้าถามถึงงานที่ไทย เลยถามกลับไปว่าหมายถึงงานก่อนหน้านี้หรอคะ
- เค้าเลยพูดต่อว่าไม่ใช่ หมายถึงหนก่อนที่ได้วีซ่า J1 ทั้งสองรอบ ยูไปทำงานอะไรมาบ้าง?
เราเลยตอบว่าแต่ละปีเราทำงานที่ไหน เมืองอะไรไปค่ะ
- ขอดูพาสปอร์ตเล่มเก่าหน่อย?
เรามีสามเล่ม ก็บอกเค้าว่ามีสามเล่มนะคะ เค้าก็เปิดดูวีซ่าอันเก่า และดูหน้าอื่นๆ ว่าเคยไปไหนมาบ้าง
- เพิ่งเริ่มทำงานที่นี่เมื่อต้นปีนี้เองหรอ?
เราตอบว่าใช่ค่ะ แต่งานนี้ไม่ใช่งานแรก เป็นงานที่ 3 ของเราค่ะ
- ไปกับใคร?
เราตอบว่าไปกับเพื่อนค่ะ เพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยม
มาถึงตรงนี้เจ้าหน้าที่เงียบไปนิดนึงค่ะ เราแอบใจหล่นไปถึงตาตุ่มเลย
เพราะเจ้าหน้าที่เหมือนกดดูข้อมูลอะไรสักอย่างแล้วไม่พูดอะไรเลย
สรุปคำถามสุดท้ายที่เค้าถามคือ
- ยูจบมหาลัยไหม จบที่ไหน? 555
คืออย่างที่เราบอกไปตอนแรก ว่าเราลืมกรอกข้อมูลการศึกษา
พร้อมงานที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ คือมาถึงก็มาเริ่มงานที่นี่ แค่ 7 เดือนเลย
เราเลยตอบไปว่าอ๋อ จบปโท คณะ.. ที่.. ค่ะ เค้าเลยตอบกลับมาว่า
ว้าวยูจบโทหรอ ที่ไทยหรอ เราตอบว่าใช่ค่ะที่ไทยค่ะ
และจบคำถามนี้เจ้าหน้าที่ก็ตอบกลับมาว่า Enjoy Your Trip เป็นอันว่าวีซ่าผ่านแล้วค่าาา
หลังจากออกมาเหมือนยกภูเขาออกจากอก คือด้วยค่าวีซ่าที่แพง
แถมถ้าไม่ผ่าน กลัวว่าประวัติจะเสีย จะขอใหม่ยากไปอีก
เพราะอยากไปเที่ยวจริงๆ ถึงไม่ใช่ตอนนี้ แต่สักวันก็อยากกลับไปอีก
เราจึงกังวลมากๆ แต่หลังจากที่อ่านหลายๆ กระทู้ จากคำแนะนำหลายๆ คน
เราก็ตอบตัวเองได้ว่า เราจะไปเที่ยวแบบบริสุทธิ์ใจ
เราเลยไปแบบมั่นใจ และไม่ว่าเค้าจะถามอะไร เรามั่นใจมากว่าเราจะตอบได้หมด
และเราก็ตอบได้หมดจริงๆ เพราะเรากรอกเอกสารเองทั้งหมด
ขนาดว่าตกหล่น เรายังรู้ตัวเลย ว่าเราพลาดตรงไหน และเลือกที่จะให้ข้อมูลตรงไหนเพิ่มเติม
ในคำถามที่เค้าถามกลับมา สรุปแล้ว เราเชื่อว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ตั้งใจจะไปขอ
กรอกเอกสารด้วยตัวเอง และให้ข้อมูลแบบตรงไปตรงมา ต้องผ่านแน่นอนค่ะ
สุดท้ายนี้ ขออวยพรให้เพื่อนๆ ที่ตั้งใจจะไปขอในช่วงนี้ ผ่านกันทุกคนนะคะ
แล้วไปเจอกันที่อเมริกาค่า ^^
ปล. สรุปว่าเอกสารที่เตรียมไป เจ้าหน้าที่ขอดูแค่พาสปอร์ตเล่มเก่าเท่านั้นจ้า
[CR] รีวิว ขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา NOV 2019 ครั้งเดียวผ่าน ฉบับคนเคยได้วีซ่า J1 แล้วถึง 2 รอบ!
วันนี้เลยถือโอกาสมาเขียนกระทู้นี้ขึ้น เราเพิ่งไปสัมภาษณ์มาเมื่อวันอังคารที่ 5 NOV 2019 ที่ผ่านนี้เองค่ะ
ต้องบอกก่อนว่าในกรณีของเรา ตอนแรกคือกังวลมากๆ
เพราะเราเคยได้วีซ่า J1 จากการไป Work And Travel ถึงสองรอบสมัยเรียนมหาลัยในปี 2014,2015
และหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กเวิคมักจะไม่ผ่าน เพราะเหมือนรู้ลู่ทางไปทำงานแล้ว
แต่เราอยากกลับไปเที่ยวแบบจริงๆ เลยอยากเสี่ยงขอดู
สำหรับแบล็กกราวน์เราเบื้องต้นคือ ผู้หญิงโสด อายุ 25
ทำงานบริษัทปัจจุบันมาแค่ 7 เดือนเท่านั้น แต่ก่อนหน้านั้นก็ทำงานมาตลอด
รวมๆ แล้วอายุงานประมาณสามปีครึ่งค่ะ หลังกลับมาจากโครงการ
เรากลับมาเรียนปี 4 และเมื่อจบปตรี เราต่อปโทเลย พร้อมเริ่มงานแรกเลย
ปัจจุบันทำงานในตำแหน่งระดับ senior ค่ะ
เราเคยไปอเมริกามาสองครั้งตอนเข้าร่วมโครงการ
และเคยไปเที่ยวญี่ปุ่นมา 5 ครั้ง เกาหลี 3 ครั้ง สิงคโปร์ 2 ครั้ง และ ไต้หวัน จีน ฮ่องกง มาเก๊า อย่างละ 1 ครั้งค่ะ
สำหรับเราทริปนี้เราตั้งใจ sponsor ตัวเองค่ะ เราเลยกรอกข้อมูลตามจริงทั้งหมด
ไม่ได้อ้างอิงใครเลยทั้งสิ้น โดยตั้งใจไปกับเพื่อนสนิทที่มีวีซ่าอยู่แล้วค่ะ
เริ่มแรกเราเริ่มจากขั้นตอนการกรอก DS-160 ก่อนค่ะ โดยเราดูข้อมูลวิธีการกรอกตามอินเตอร์เน็ตเลย
ส่วนตัวขอแนะนำกระทู้นี้ค่ะ ค่อนข้างละเอียดว่าแต่ละอันต้องกรอกอะไรบ้าง https://pantip.com/topic/32189283
สำหรับทริกของเราคือ เราใช้วิธีการปริ้นหน้าที่ต้องกรอกมาก่อนค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง
แล้วใช้วิธีกรอกมือทิ้งไว้ และค่อยๆ ทบทวนไปทีละอย่างค่ะ ว่าเรียบร้อยดีรึยัง
เพราะเวลาเราล็อกอินไปกรอกในระบบ เราจะได้กรอกตามในกระดาษที่กรอกเลย
ข้อมูลที่ต้องกรอกดีๆ เลยก็คือรายละเอียดการทำงานค่ะ ของเรากรอกแบบไม่ยืดยาว
เรากรอกแค่ว่าเราทำงานที่ไหน บริษัทเกี่ยวกับอะไร และทำตำแหน่งอะไร มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง
มีประมาณ 4 บรรทัดเองค่ะ ไม่ยาวมาก แต่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ตรงนี้ก็ปรับอยู่นานเหมือนกันค่ะ
สำหรับเราแอบมีผิดพลาดนิดนึง เพราะเราไม่ได้กรอกข้อมูลการศึกษา
และที่ทำงานเก่าๆ ที่เคยผ่านมา เรากรอกแค่ประวัติการทำงานปัจจุบัน
ซึ่งจริงๆ ตรงนี้เราสามารถกด บวกเพื่อเพิ่มประวัติเก่าๆ ได้ แต่เราลืมค่ะ 555
ใครที่อ่านกระทู้นี้ ก็อยากให้เช็กดีๆ ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะเหมือนเรา 55
แต่อันนี้เราก็รู้ตัวตั้งแต่จ่ายเงินเสร็จเลย ว่าเฮ้ยมันไม่มี
ก็กลัวๆ อยู่เหมือนกันตอนแรก เลยแอบติดใบจบมาด้วยตอนไปสัมภาษณ์แต่ก็ไม่ได้ขอดูค่ะ
หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จแล้ว มาถึงขั้นตอนของการนัดสัมภาษณ์
โดยเราต้องเข้าไปยื่นคำร้องก่อน และไปจ่ายเงินที่ธนาคาร
เมื่อจ่ายเงินแล้วประมาณวันรุ่งขึ้นถึงจะเข้ามาจองสัมภาษณ์ได้
อันนี้เราดูวิธีตามกระทู้นี้เลยค่ะ https://pantip.com/topic/32193184
สำหรับเราเราจ่ายเงินประมาณปลายๆ เดือน ตค แล้วค่ะ
ค่าวีซ่า 5,280 บาท เมื่อมาดูคิวพบว่าคิวไวสุดวันที่ 19 พย
ซึ่งถือว่านานพอสมควร ตัวเราเองตั้งใจจะไปตอนปีใหม่
เลยกลัวว่าตั๋วจะแพงขึ้น เลยกดนัดไปก่อน
แล้วใช้วิธีเข้าระบบมาดูทุกชั่วโมง ว่ามีคิวที่เร็วขึ้นหลุดบ้างไหม
เพราะเราจะสามารถเลื่อนได้อีก 2 ครั้ง
และเราก็เลื่อนมาจนได้ถึงวันที่ 5 พย ค่ะ ซึ่งถือว่าเร็วกว่าเดิมมากๆ
หลังจากได้คิวก็มาถึงเรื่องการเตรียมเอกสารไปสัมภาษณ์ค่ะ
เราใช้วิธีแยกทุกอย่างเป็นหมวดหมู่ เพื่อเวลาที่ตอนไป
เวลาเจ้าหน้าที่ขอดูอะไรจะได้หยิบได้ง่ายๆ โดยเอกสารที่เราเตรียมไปมีดังนี้ค่ะ
หมวดหมู่แรกเราแบ่งเป็นเอกสารที่ต้องเอาไป
- ใบ confirmation
- ใบยืนยันการนัดสัมภาษณ์
- ใบเสร็จชำระเงินค่าวีซ่า
หมวดหมู่ที่สอง เป็นเอกสารส่วนตัวของเรา
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- ใบเปลี่ยนชื่อ
- ทรานสคริป
- พาสปอร์ตทุกเล่ม
หมวดหมู่ที่สาม เป็นเอกสารเกี่ยวกับการทำงานค่ะ
- ใบรับรองการทำงานจากบริษัท โดยรายละเอียดในใบรับรองของเรา
จะมีแจ้งอย่างครบถ้วน คือเราเริ่มงานตั้งแต่วันที่เท่าไหร่
ทำงานในตำแหน่งไหน เงินเดือนเท่าไหร่
จะไปเที่ยวอเมริกาวันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่
รวมแล้วเท่ากับว่าใช้วันลาของบริษัทไปกี่วันค่ะ
- สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 6 เดือน
หมวดหมู่ที่สี่ เป็นเอกสารทางการเงินค่ะ
- หนังสือรับรองบัญชี
- Statement ย้อนหลัง 6 เดือน
- สมุดบัญชี
หมวดหมู่ที่ห้า เป็นรายละเอียดการเดินทางทั้งหมด
โดยเราไม่ได้จองตั๋วหรือที่พักไปเลยนะคะ
เราใช้วิธีเข้าไปกดจองถึงหน้าสุดท้าย แล้วแคปเก็บไว้ค่ะ
- แพลนเที่ยวทั้ง 14 วัน เราทำไปค่อนข้างละเอียด
- ไฟล์ทเครื่องบิน ที่ตั้งใจอยากจะจอง
- ใบจองโรงแรมที่ต่างๆ ตามแพลน แต่ไม่ได้จองจริงๆ ค่ะเป็นแค่ใบยืนยันก่อนจ่ายเงิน
ทีนี้ก็พร้อมไปสัมภาษณ์กันแล้วค่ะ โดยเราได้คิวเวลา 8.20 น.
เราเตรียมตัวไปถึงที่หน้าสถานทูตประมาณ 7.40 ค่ะ
เพราะจริงๆ ไม่ได้ลางานไว้เลยกะว่า ถ้าไปไวหน่อย
ถ้าเรียกตามคิวก็น่าจะไม่เสียเวลามาก โดยสรุปแล้วเราเสร็จออกมาช่วง 9.40 ค่ะ
เริ่มแรกเลยเราก็ไปต่อแถวตรวจเอกสารเวลานัดกับเจ้าหน้าที่
พร้อมฝากมือถือคนละ 1 เครื่อง ส่วนตัวเราวันนั้น
พกไปแค่กระเป๋าสะพายไปเล็ก และในกระเป่ามีแค่
กระเป๋าเงิน มือถือ ลิปสติกหนึ่งแท่ง เท่านั้นจริงๆ ค่ะ
เมื่อเข้าไปด้านในแล้วต้องไปนั่งรอเจ้าหน้าที่เรียกตามรอบค่ะ
ตรงนี้รอนานเหมือนกันเพราะเราไปก่อนเวลาค่อนข้างเยอะ
รอบของเราโดนเรียกจริงประมาณ 9.00 น ค่ะ
โดยด่านแรกคือยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่เช็กข้อมูล
เจ้าหน้าที่จะติดสติกเกอร์ที่หน้าพาสปอร์ตเรา
โดยสติกเกอร์ตรงนั้นจะมีเลข EMS อยู่ด้วย
เราต้องจดเลขตรงนี้ไว้ เพื่อหากวีซ่าผ่าน เราจะเช็กสถานะได้
ว่าพาสปอร์ตเราจะส่งกลับมาถึงไหนแล้ว
และเมื่อเสร็จจากตรงนี้ เข้าไปด้านใน จะเจอกับเจ้าหน้าที่คนไทย
เป็นเหมือนด่านยืนยันข้อมูลเบื้องต้นค่ะ
เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบว่าเคยเปลี่ยนชื่อไหม
เคยได้วีซ่ามาก่อนไหม เคยมาขอแล้วไม่ได้ไหม
และหากเคยได้ ได้ประเภทไหน ปีไหน ต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่ทั้งหมดค่ะ
ตรงนี้เราเคยได้สองรอบ เจ้าหน้าที่ก็จะถามว่าแต่ละปีไปที่ไหนมา
และขอดูวีซ่าที่เคยได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมควรพกพาสปอร์ตทุกเล่มไปค่ะ
หลังจากผ่านตรงนี้ จะไปเจอด่านสุดท้าย ที่เป็นด่านตัดสินแล้วว่าคุณจะผ่านหรือไม่ผ่าน
วันที่เราไปสัมภาษณ์มีเจ้าหน้าที่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน
เป็นเจ้าหน้าที่ผิวสีดูใจดี 1 คน เจ้าหน้าที่ฝรั่งผู้ชายวัยกลางคนดูหน้าตาดี 1 คน
เจ้าหน้าที่ฝรั่งเป็นผู้หญิง 1 คน และสุดท้ายเป็นผู้ชายฝรั่งดูสูงวัยนิดนึง แต่ดูใจดีอีก 1 คนค่ะ
ระหว่างที่เรายืนอยู่ ช่องที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ชายวัยกลางคน ไม่มีใครผ่านเลย!!!
เราแบบใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ มากๆ กลัวว่าจะได้ช่องนี้ 555
แต่สุดท้ายก็มาได้ช่องเจ้าหน้าที่ผู้หญิง ที่ก็แอบเห็นคนไม่ผ่านอยู่เหมือนกัน
แถมเค้ายังไม่ยิ้มเลยด้วย เลยแอบกังวลนิดนึง
แต่เราก็เข้าไปแบบมั่นใจ เจ้าหน้าที่ทักเราเป็นภาษาไทยว่า สวัสดีค่ะด้วย
แต่เราทักเค้ากลับไปเป็นภาษาอังกฤษค่ะ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ไม่รอช้า เริ่มถามเลยเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดนะคะ
สำหรับคำถามที่เราโดนนะคะ
- จะไปทำอะไรที่อเมริกา?
เราตอบว่า ไปเที่ยว พร้อมบอกเมืองที่ไป
- รู้จักใครที่อเมริกาไหม?
เราตอบว่าไม่มีค่ะ
- ไปทำงานอะไรมา?
อันนี้เราแอบเอ๋อนิดนึง คิดว่าเค้าถามถึงงานที่ไทย เลยถามกลับไปว่าหมายถึงงานก่อนหน้านี้หรอคะ
- เค้าเลยพูดต่อว่าไม่ใช่ หมายถึงหนก่อนที่ได้วีซ่า J1 ทั้งสองรอบ ยูไปทำงานอะไรมาบ้าง?
เราเลยตอบว่าแต่ละปีเราทำงานที่ไหน เมืองอะไรไปค่ะ
- ขอดูพาสปอร์ตเล่มเก่าหน่อย?
เรามีสามเล่ม ก็บอกเค้าว่ามีสามเล่มนะคะ เค้าก็เปิดดูวีซ่าอันเก่า และดูหน้าอื่นๆ ว่าเคยไปไหนมาบ้าง
- เพิ่งเริ่มทำงานที่นี่เมื่อต้นปีนี้เองหรอ?
เราตอบว่าใช่ค่ะ แต่งานนี้ไม่ใช่งานแรก เป็นงานที่ 3 ของเราค่ะ
- ไปกับใคร?
เราตอบว่าไปกับเพื่อนค่ะ เพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยม
มาถึงตรงนี้เจ้าหน้าที่เงียบไปนิดนึงค่ะ เราแอบใจหล่นไปถึงตาตุ่มเลย
เพราะเจ้าหน้าที่เหมือนกดดูข้อมูลอะไรสักอย่างแล้วไม่พูดอะไรเลย
สรุปคำถามสุดท้ายที่เค้าถามคือ
- ยูจบมหาลัยไหม จบที่ไหน? 555
คืออย่างที่เราบอกไปตอนแรก ว่าเราลืมกรอกข้อมูลการศึกษา
พร้อมงานที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ คือมาถึงก็มาเริ่มงานที่นี่ แค่ 7 เดือนเลย
เราเลยตอบไปว่าอ๋อ จบปโท คณะ.. ที่.. ค่ะ เค้าเลยตอบกลับมาว่า
ว้าวยูจบโทหรอ ที่ไทยหรอ เราตอบว่าใช่ค่ะที่ไทยค่ะ
และจบคำถามนี้เจ้าหน้าที่ก็ตอบกลับมาว่า Enjoy Your Trip เป็นอันว่าวีซ่าผ่านแล้วค่าาา
หลังจากออกมาเหมือนยกภูเขาออกจากอก คือด้วยค่าวีซ่าที่แพง
แถมถ้าไม่ผ่าน กลัวว่าประวัติจะเสีย จะขอใหม่ยากไปอีก
เพราะอยากไปเที่ยวจริงๆ ถึงไม่ใช่ตอนนี้ แต่สักวันก็อยากกลับไปอีก
เราจึงกังวลมากๆ แต่หลังจากที่อ่านหลายๆ กระทู้ จากคำแนะนำหลายๆ คน
เราก็ตอบตัวเองได้ว่า เราจะไปเที่ยวแบบบริสุทธิ์ใจ
เราเลยไปแบบมั่นใจ และไม่ว่าเค้าจะถามอะไร เรามั่นใจมากว่าเราจะตอบได้หมด
และเราก็ตอบได้หมดจริงๆ เพราะเรากรอกเอกสารเองทั้งหมด
ขนาดว่าตกหล่น เรายังรู้ตัวเลย ว่าเราพลาดตรงไหน และเลือกที่จะให้ข้อมูลตรงไหนเพิ่มเติม
ในคำถามที่เค้าถามกลับมา สรุปแล้ว เราเชื่อว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ตั้งใจจะไปขอ
กรอกเอกสารด้วยตัวเอง และให้ข้อมูลแบบตรงไปตรงมา ต้องผ่านแน่นอนค่ะ
สุดท้ายนี้ ขออวยพรให้เพื่อนๆ ที่ตั้งใจจะไปขอในช่วงนี้ ผ่านกันทุกคนนะคะ
แล้วไปเจอกันที่อเมริกาค่า ^^
ปล. สรุปว่าเอกสารที่เตรียมไป เจ้าหน้าที่ขอดูแค่พาสปอร์ตเล่มเก่าเท่านั้นจ้า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้