สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์การทำงานใน7-11ระยะเวลา5เดือนของเราให้ฟังเล็กน้อยนะคะ เราขอบอกก่อนเลยนะคะ ว่าเราไม่ใช่คนนิสัยดี เป็นคนที่ไม่รองรับอารมณ์คน เป็นคนพูดจาตรงๆ ออกจะแรงด้วยซ้ำในบางคำพูด รักในความยุติธรรม อะไรที่รู้สึกว่าตัวเองจะไม่ทนก็คือไม่เอาแล้ว เราเข้ามาในกรุงเทพมหานครเมื่อเดือน พฤษภาคมในวันที่ 29 นะคะถ้าจำไม่ผิด เราเข้ามาในเมืองหลวงเพื่อมาเรียนหนังสือ และมาหางานทำ เราสมัครเรียนในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เราไปสมัครงาน 7-11 ที่ร้านใหญ่ตรง ราม53 แต่เราทำที่รามซอยไหนขอไม่ระบุนะคะ เราได้เข้ากะดึก ทำงานตั้งแต่ 22.40-08.00 เราสมัครทำพนักงานประจำ เราไปทำงานวันแรก พี่ๆที่ทำงานให้การต้อนรับดีมากสอนงานเราละเอียดมาก ตั้งแต่การเติมของ ดูวันหมดอายุ การทำความสะอาดร้าน เข้าVault เติมน้ำขวดต่างๆ ฟอนต์ของให้เห็นโลโก้ภาษาไทย อย่างที่เด็กใหม่ทั่วไปต้องทำในงาน7-11 เรารู้สึกสนุกในงานมาก อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่สนุกพี่ๆที่ทำงานเป็นกันเอง สนุกสนานอารมณ์ดีกันมาก จนมาถึงจุดเปลี่ยน เราได้ไปยืนเครื่อง หรือ การทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์ เราไปยืนครั้งแรก รู้สึกไม่โอเค ตรงที่ว่า ด้วยความที่เรายังใหม่ อาจจะยังคิดเงินช้า คิดของเกินจนต้องได้ยกเลิกหลายครั้ง และใส่ถุงช้าด้วยความที่เรารู้ๆกันอยู่ว่าถุงเซเว่นบางมากถึงมาก มือเราจึงต้องชุ่มอยู่ตลอดเพื่อที่จะเปิดถุงได้สะดวก การทำงานของแคชเชียร์ก็จะมีการคิดเงิน รองรับลูกค้า เขียนlog book เติมบุหรี่ ทำความสะอาดเคาท์เตอร์ เติมแบรนด์ เติมของหน้าแสตนด์จำพวก ลูกอม ถ่าน ถุงยางอนามัย มีอยู่วันหนึ่งที่ลูกค้าเยอะ แล้วเราไม่ได้ถาม all memberกับลูกค้าท่านหนึ่ง เขาโวยวายใหญ่โตมาก เราตกใจมาก พี่ผู้ช่วยผู้จัดการเขาได้มาแก้ปัญหาให้เรา หลังจากเหตุการณ์นั้น เรารู้สึกว่าเราผิดที่ไม่ได้ถาม all member เขา และไม่ได้คาดคิดว่าลูกค้าคนนี้จะสะสมall member ด้วยความที่ลูกค้าเยอะ และเขาซื้อของค่อนข้างน้อย จากนั้นเราก็เลยถามทุกคน เกือบทุกขั้นตอนการบริการ ขั้นตอนบริการ ถ้าเชคลิสยังไม่เข้าเราก็จำเป็นที่จะต้องทำให้ครบทุกขั้นตอนไม่อย่างนั้นร้านเราก็จะโดนตัดคะแนน และผู้จัดการร้านก็ต้องได้เข้าประชุม ซึ่งคงไม่มีใครอยากเข้าประชุมเพราะโดนต่อว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชคลิส หรือเรื่องการทำยอดขาย ถ้ายอดขายตกก็ต้องไปประชุมอีก และมีอีกหลายๆเหตุการณ์ที่เราเจอให้เล่าคงเล่าไม่หมด ต่อมาเดือนที่3 เราเริ่มรู้สึกว่าสุขภาพจิตของเราไม่โอเค เราเครียดหนักมาก กินยาแก้ปวดหัว ยาที่ทำให้หลับเกือบทุกวัน แล้วยังต้องเรียนหนังสืออีก เราเลยบอกเจ้าของร้านเพื่อที่จะขอลาออกล่วงหน้าในเดือน พฤศจิกายน วันที่ 1 เราทำมาเรื่อยๆ จนถึงเดือนตุลาคมเกือบปลายๆเดือน เรามีปัญหากับลูกค้า ลูกค้าได้ร้องเรียนเรา ว่า 1.เราทำกระแทก 2.เราให้ของเวฟไม่ครบ 3.เราพูดจาไม่มีหางเสียง 4.เราชักสีหน้าใส่ ทั้ง3ข้อแรกไม่เป็นจริงแต่อย่างใด แต่ข้อสุดท้ายเป็นจริง สาเหตุเพราะ เราไม่สามารถที่จะรับอารมณ์ของลูกค้าคนนี้ได้ สีหน้าเราเริ่มออกแล้ว แต่เมื่ออยู่ในหน้าที่ เราก็พูดต้องพยายามที่จะพูดดีๆกับลูกค้า ซึ่งในความเป็นจริง เราอยากจะทำมากกว่าชักสีหน้าด้วยซ้ำในอารมณ์ ณ ตอนนั้น เราได้พูดคุยกับเจ้าของร้านในเรื่องที่เราโดนร้องเรียน เจ้าของร้านใจดีมาก พูดคุยกับเราด้วยเหตุผล และบอกให้เราเข้าใจและทำใจว่ามันคืองานบริการ จากประสบการณ์ต่างๆที่เราได้รับมันทำให้เรารู้สึกเห็นใจพนักงานบริการในหลายๆที่ ที่มีลูกค้ามากี่อารมณ์ก็ไม่รู้แล้วเราต้องรองรับให้ได้ แล้วไหนจะเรื่องต่างๆที่เราต้องทำนอกเหนือจากสิ่งที่เราบริการ แล้วเรารู้สึกนับถือพนักงาน7-11ที่เขาสามารถทนต่อคำพูดลูกค้าในเรื่องต่างๆได้ เขาเก่งกันมากๆ สำหรับเราแล้ว งานบริการหรืองานต่างๆ คือต้องมีใจรักเท่านั้น ถึงจะทำได้สำเร็จ ถ้าเราไม่เอาใจใส่ หรือไม่รักในการทำงานที่เราทำ สุดท้าย เราก็ไม่มีความสุขในการทำงาน อาจจะต้องลาออก แต่สิ่งที่เราได้รับมาในงาน7-11 ณ ที่ที่เราทำ คือการมีน้ำใจจากเพื่อนร่วมงาน มิตรภาพต่างๆ และ กำลังใจในการทำงาน ซึ่งเรารู้สึกมีความสุขมากๆ เมื่อได้อยู่กับพี่ๆที่ทำงาน ที่เราลาออกอยากจะบอกว่าไม่ใช่ เพราะเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือ สถานที่แต่อย่างใด แต่เป็นเพระเราไม่มารองรับอารมณ์ใคร ไม่เอาใจใคร เราทำงานมาเราต้องบอกก่อนเลยว่า ไม่เคยเห็นที่ไหนเอาใจลูกค้าเท่า7-11 อีกแล้ว สำหรับ 7-11 ลูกค้าคือพระเจ้า แต่เราก็ไม่เคยเห็นพระเจ้ามาเดินซื้อของใน7-11 หรอกค่ะ และสำหรับเรา ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า แต่ลูกค้าก็คือคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มาซื้อของจากเรา ซึ่งเมื่อเขาได้ของจากเราเขาก็เอาเงินมาให้ ต่างคนต่างได้ประโยชน์ ไม่มีใครเป็นพระเจ้าสำหรับใครทั้งนั้น เราคือมนุษย์ธรรมดาด้วยกันทั่วโลก มนุษย์ที่มีอารมณ์ต่างๆมากมายด้วยกัน สำหรับใครที่ใช้บริการจากพนักงาน7-11 อยู่แล้วรู้สึกรำคาญเมื่อเขาถามสิ่งต่างๆ ขอตอบแทนเลยนะคะ เราเชื่อว่าไม่มีใครอยากมาถามประโยคซ้ำหรอกค่ะ แต่มันเป็นหน้าที่ ที่พนักงานต้องทำค่ะ สำหรับเราก็คงมาเล่าประสบการณ์แต่เพียงเท่านี้ ส่วนใครที่อยากจะแสดงความคิดเห็นในแง่ลบหรือแง่บวกก็ได้นะคะ หรือถามก็ได้นะคะ เรายินดีรับฟังทุกความคิดเห็น เพราะ ต่างคนก็ต่างความคิด เราไม่สามารถที่จะให้คนมีทัศนคติเดียวกับเราทุกคนค่ะ ขอบคุณค่ะ
ชีวิตแคชเชียร์