นอนคฤหาสน์ร้างแลกกับเงินหนึ่งล้านบาท

นี่เป็นเรื่องจริงที่ผมใช้เวลาแต่งนานมาก เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมและเพื่อนสนิทอีกคนที่ชื่อ ‘ชาติ’

            ไม่นานมานี้ผมได้รับการติดต่อจากเพื่อนเก่านามว่า ‘วินัย’ มันยื่นข้อเสนอให้ผมไปนอนค้างคืนที่คฤหาสน์บนเกาะร้างแห่งหนึ่งทางใต้ของประเทศเรา สิ่งที่ทำให้ผมไม่ด่ามันกลับไปว่า “ไอ้ปัญญาอ่อน เมิงอย่ามาไร้สาระ” คือข้อเสนอที่ว่า...

            ถ้าผมสามารถอยู่รอดในคฤหาสน์หลังนั้นได้เกินสามคืน รับทันทีเงินสดหนึ่งล้านบาท

            วินัยบอกอีกว่าให้ผมชวนเพื่อนมาได้หนึ่งคน หลังจากวางสาย ผมก็รีบโทรไปยื่นข้อเสนอให้ไอ้ชาติ มันฟังแล้วหัวเราะลั่น แถมเรียกผมด้วยชื่อสัตว์สองเขาตัวอ้วน ๆ แต่เมื่อผมบอกเกี่ยวกับเรื่องจำนวนเงิน คืนนั้นผมกับไอ้ชาติก็รีบควบมอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างรวดเร็ว

            บอกไว้สักหน่อยก็ดี ผมกับไอ้ชาติไม่ได้สนิทกับวินัยสักเท่าไหร่ แม้จะเรียนห้องเดียวกันตลอดสามปีแต่พวกเราก็ไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก

            เป็นเวลาประมาณสามทุ่ม วินัยนัดผมกับไอ้ชาติมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ใกล้ ๆ โรงเรียนเก่าของพวกเรา เมื่อเดินทางมาถึงผมกับไอ้ชาติก้าวเท้าเข้ามาด้านใน สังเกตเห็นวินัยใส่ชุดสูทสีดำนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวในสุดของร้านอาหาร

            “เฮ้! วินัย” ผมกับไอ้ชาติทัก เดินเข้าไปลากเก้าอี้มานั่งฝั่งข้าม

            “ไงเพื่อน” วินัยยิ้มรับ

            เราทั้งสามเริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนตามประสาเพื่อนเก่าอยู่นาน ผมเพิ่งรู้ว่าตอนนี้วินัยทำงานเป็นโปรดิวเซอร์อยู่บริษัทผลิตรายการเกมโชว์แห่งหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจสักเท่าไหร่ ผมเห็นมันฉายแววมาตั้งแต่สมัยเรียน มันเป็นคนชอบถ่ายโน้นถ่ายนี่ เป็นตากล้องประจำห้อง เวลาที่มีงานเกี่ยวกับการถ่ายทำสื่อวิดีโอ วินัยเนื้อหอมที่สุด

            “แล้วพวกเมิงทำงานอะไรวะ”

            คำถามของวินัยทำผมกับไอ้ชาติชะงัก “เอ่อ...กูกับมันเป็นแมสเซนเจอร์อยู่บริษัทเดียวกัน” ผมตอบในระดับเสียงที่เบากว่าปกติ

            “อ๋อ ” มันพยักหน้า “ไอ้พวกที่ขี่มอไซค์ สวมไอ้โม่ง แล้วก็มีกล่องใบใหญ่ ๆ ติดอยู่ท้ายเบาะอะนะ”

            “เออ ไว้ใส่พวกเอกสารน่ะ เงินเดือนไม่เท่าไหร่หรอก” ไอ้ชาติตอบเร็ว ๆ

            “กูว่าเรามาคุยเรื่องบ้านผีสิงของเมิงดีกว่า” ผมเปลี่ยนเรื่อง “กูไปเช่าหลวงปู่ขมมาเตรียมไว้สามองค์ล่ะเนี่ย” ผมพูดติดตลก

            ไอ้ชาติกับวินัยหัวเราะในลำคอ

            “โอเคเพื่อน” วินัยเริ่มเล่า “คือไอ้รายการผีรายการเนี่ย มันเป็นโปรเจคที่กูเริ่มทำเมื่อสามเดือนก่อนหน้านี้เอง กูกับทีมงานไปเจอเกาะร้างที่นึง มี
คฤหาสน์ร้างอยู่บนเกาะนั้น” มันว่าพร้อมกับหยิบภาพถ่ายในหนึ่งขึ้นมา

            ผมกับไอ้ชาติมองดู เป็นภาพของอาคารโทรม ๆ ลักษณะคล้ายปราสาทในหนังผีฝรั่ง มีเถาวัลย์สีเขียวเข้มขึ้นเกาะทั่วทั้งหลัง บริเวณรอบ ๆ เต็มไปด้วยต้นไม้ขึ้นรกทึบกับต้นหญ้าสูงเท่าหัวไหล่

            “ที่นี่แหละ ที่กูจะให้พวกเมิงไปลองของ”

            ผมกับไอ้ชาติกันมองหน้ากัน บรรยากาศเริ่มจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ

            “กติกาอย่างที่กูบอกเมิงไว้นั่นแหละ” วินัยเล่าต่อ “เมิงแค่เข้าไปอยู่เฉย ๆ ในห้องที่กูจัดเตรียมไว้ในคฤหาสน์หลังนั้น ถ้าผ่านไปได้สามวันเมิงเอาไปเลยล้านนึง...”

            “สามวันเลยเหรอวะ” ผมร้องออกมาอย่างแปลกใจ “แล้วพวกกูจะกินอะไรกัน”

            “เมิงก็ฟังกูให้จบก่อนซี ในห้องนั้นมีอาหารกับน้ำสำหรับอยู่ได้หนึ่งอาทิตย์ มีห้องน้ำในตัว พวกเมิงจะทำอะไรก็ได้ แค่ห้ามออกมาจากห้องนั้นภายในเวลาสามวัน สิ่งที่นำติดตัวเข้าไปได้ มีแค่ตัวกับเสื้อผ้า แต่พวกเมิงจะเอาหลวงพ่อเข้าไปด้วยก็ได้ กูอนุโลม”

            ผมยิ้มออกมา “ให้เอาหลวงพ่อเข้าด้วยเหรอวะ แบบนี้กูต่อให้อาทิตย์นึงเลย”

            เราทั้งสามหัวเราะ

            “เออ แล้วก่อนหน้านี้มีใครเข้าไปลองของหรือยังวะ” ไอ้ชาติถามขึ้น “เมื่อกลางวันกูลองหารายการเมิงในยูทูปไม่เห็นเจอเลย”

            วินัยพยักหน้า “มีสิ ก่อนหน้าพวกเมิงมีเข้าไปลองแล้วสองกลุ่ม”

            ฟังแล้วผมเบาใจขึ้นมาหน่อย “แล้วไอ้พวกนั้นเป็นไงบ้างวะ”

            วินัยส่ายหน้า “ไม่รอดสักราย อยู่ได้ไม่เกินคืนแรกก็ยอมแล้ว”

            ฮะ! คืนแรก ผมตกใจ แต่พยายามจะไม่แสดงออกมา “โห...ขนาดนั้นเลยเหรอวะ สงสัยไอ้พวกนั้นไม่ได้พกหลวงปู่ขมเข้าไป” ว่าแล้วก็หัวเราะ

            แต่เหมือนว่าบรรยากาศจะไม่ได้ครึกครื้นเช่นเดิม ผมไม่ได้ยินเสียงจากไอ้ชาติ เมื่อชำเลืองมองไปด้านข้าง เห็นมันนั่งเงียบ สีหน้าดูวิตก

            “เอ่อ...แล้วเมิงได้ตัดเทปที่ถ่ายไอ้สองกลุ่มนั้นหรือยัง” ไอ้ชาติถาม “ทำไมไม่เห็นมีออกอากาศเลยวะ”

            “โธ่...เมิงนี่ไม่รู้อะไร” ผมหันมาตอบ “มันถ่ายไว้แค่สองเทปจะมาเอาออกอากาศได้ไงวะ มันต้องถ่ายดองไว้หลาย ๆ เทปก่อน ถึงจะค่อยทยอยออกอากาศโว้ย” ผมหันกลับมายังวินัย “กูพูดถูกไหมพ่อโปรดิวเซอร์”

            มันพยักหน้า “นั่นก็ส่วนนึง รายการกูยังไม่ได้โปรโมทอะไรเลย ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงหาคนมาเล่นอยู่”

            ผมยิ้ม “เห็นไหม กูบอกแล้ว”

            ไอ้ชาติเงยหน้าขึ้นมา ดูเหมือนมันจะโล่งใจขึ้นมาหน่อย

            “แต่จะว่าไป” จู่ ๆ วินัยก็เอ่ยขึ้น “ไอ้สองเทปที่กูถ่ายไว้ มันก็เอามาออกอากาศไม่ได้อยู่ดีว่ะ”

            ผมกับไอ้ชาติหันสบตามันอย่างสงสัย “อ้าว ทำไมวะ”

            “ก็ภาพที่กูได้มามันรุนแรงเกิน เอาออกโทรทัศน์ไม่ได้หรอก”

---------------------------------------

เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่