เวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านายสุวิทย์หรืออดีต "พระพุทธอิสระ" ได้แสดงความทะเยอทะยานต้องการที่จะเป็นที่นิยมของพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างสูงทุกด้าน ไม่ว่าจะสายปริยัติ สายปฏิบัติ สายปฏิเวธ สายสังฆาธิการ สายเกจิ สายพัฒนาหรือแม้แต่ "สายการเมือง" และด้วยความที่บวชเมื่ออายุมากแล้ว การที่จะเป็นผลักความทะเยอทะยานของตน (เป็นที่นิยมและศรัทธาของพุทธศาสนิกชน)บรรลุเป้า นอกจากจะต้องใช้เวลามากแล้ว ยังต้องแข่งขันกับพระเถรานุเถระที่มีชื่อเสียงอยู่ในขณะนั้นอยู่อีก หนทางที่ "พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม" จะก้าวขึ้นมาเป็นพระระดับ "เซเลป" นั้นแทบจะมองไม่เห็น มีเพียง "ทางลัด" เท่านั้นที่จะทำให้เขาขึ้นแท่นเป็นพระระดับเซเลปได้
การอ้าง "หลวงปู่แหวน" พระนักปฏิบัติสายอาจารย์มั่นว่าเคยออกมาปูอาสนะต้อนรับและสักการะตนตอนธุดงค์ขึ้นเหนือ รวมไปถึงการอ้างอดีตชาติของตนว่าเป็น "หลวงปู่เทพโลกอุดร" นั้น ล้วนเป็นไปเพื่อช่วยยกฐานะจากพระ "นวกะ" (พระบวชใหม่) สูงขึ้น พร้อมกับตั้งชื่อตนว่า "หลวงปู่พุทธอิสระ" มารองรับและทำให้ดูขลังขึ้นในสายวิปัสสนา ส่วนทางด้านสายพระสังฆาธิการ มีการ "โกงพรรษา" ของตนให้สูงขึ้นเพื่อที่จะได้เป็น "พระครู" เจ้าคณะตำบล เมื่อถูกจับได้ก็ลาออกพร้อมบอกว่าไม่ได้ยี่หระเรื่องตำแหน่ง ส่วนทางด้านสายเกจิ ก็ได้ปั้มรูปปั๊มเหรียญของตนพร้อมนำพระปรมาภิไธยของร.๙ มาปั้มด้วย พร้อม "ลงยา" โดยใช้เลือดสดๆ ของตนลงบนเหรียญ จากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นว่า "สมีสุวิทย์" คนนี้ได้พยายามทุก "ทางลัด" ที่จะขึ้นเป็นพระเซเลปในทุกๆ สาย ส่วนสายการเมืองนั้นคงไม่ต้องสาธยายให้มาก จะทำให้กระเทือนซางศิษย์เอกอย่างท่าน "โจหมี" กันเปล่าๆ
วันพรุ่งนี้ ๓๐ ตุลาคมจะเป็นวันแรกของการประชุมมหาเถรสมาคม ซึ่งเชื่อว่าจะมีการบรรจุการจะกลับมาบวชใหม่ของนายสุวิทย์ขึ้นเป็นวาระในการพิจารณา และจะเป็นการพิสูจน์น้ำยาของคณะกรรมการมหาเถรฯ ชุดใหม่ด้วย จะว่าไปแล้ว พระที่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวการเมืองในระดับสูง มหาเถรสมาคมแทบจะไม่มีน้ำยาอะไรเลย ที่ผ่านๆ มามักจะรอดูท่าทีของฝ่ายบ้านเมืองเสียก่อนว่าจะเอาอย่างไร? ซึ่งแม้ตอนนี้นายวิษณุจะออกมาเปรยๆ แล้วว่าความเป็นพระของพุทธอิสระได้สิ้นสุดลงไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามสังคมอยู่ดีว่า เขาจะกลับมาบวชใหม่ได้ไหม?
ดังนั้น สิ่งที่มหาเถรสมาคมควรจะชัดเจนที่สุดก็คือชี้ขาดว่านายสุวิทย์สามารถกลับมาบวชใหม่ได้ไหม? และทำไม? มหาเถรสมาคมควรจะเป็นผู้นำและชี้ทางในโลกแห่งพุทธศาสนา อย่าเอนเอียงเพราะมีอำนาจอื่นไม่ว่าจะด้านการเมืองหรือพุทธศาสนิกชนมาเบี่ยงเบนข้อเท็จจริง โดยส่วนตัวผมมองมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าอดีตพระพุทธอิสระขาดจากความเป็นภิกษุคือก้าวล่วงอาบัติปาราชิกคือใช้เลห์โกงเอาเงินคนอื่น (ในกรณีที่โรงแรมต้องจ่ายให้เขาเรื่องจองห้องพัก)แสนกว่าบาท ยังไม่รวมถึงการที่มีส่วนทำให้คนอื่นเสียชีวิตที่หลักสี่อีก
พระอย่างพุทธอิสระ ในพระวินัยบัญญัติเขาเรียกว่า " ทุมมังกุ" ซึ่งแปลว่า "ผู้เก้อยาก" นั่นก็คือผู้ที่ไม่มีความเก้อเขินในบาปที่ตนทำได้กระทำลงไป พูดภาษาชาวบ้านก็คือ "คนหน้าด้าน" นั่นแหละครับ พุทธอิสระได้กระทำบาปที่ถือว่าก้าวล่วงพระวินัยสูงสุดของสมณะเพศ พระพุทธเจ้าทรงเปรียบคนอย่างนี้ว่าเป็นเสมือน "ตาลยอดด้วน" คือไม่สามารถผลิดอกออกใบและผลได้ ลูกศิษย์ลูกหาที่ยังเคารพอยู่ก็คงไม่ต่างจากเหล่าชนผู้มอง "ตาล" เพียงแค่โคนต้นเท่านั้น แต่หาได้มองสูงขึ้นไปกว่าโคนไม่ ชนเหล่าใดมองตาลเพียงโคนและสำคัญว่านั่นคือต้นตาลย่อมจมปลักอยู่แต่ตรงนั้น ต่างจากชนเหล่าผู้ซึ่งมองตาลทั้งโคนและยอดย่อมกระจ่างชัดและชี้ได้ว่าตาลต้นใดยอดด้วนและตาลต้นใดให้ดอกออกผล
เอาเข้าจริงๆ.....นายสุวิทย์จะกลับมาบวชใหม่ได้หรือไม่นั้น น่าจะขึ้นอยู่ที่ว่า "แผ่นเปลวทองคำ" ที่เคยเสกแปะหน้าผาก "ใครบางคน" เอาไว้เมื่อครั้งก่อนโน้นจะยังคงความขลังศักดิ์สิทธิ์และมีฤทธาอยู่หรือไม่ ?
....."ทุมมังกุ" พุทธอิสระ "ผู้เก้อยาก"..../วัชรานนท์
เวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านายสุวิทย์หรืออดีต "พระพุทธอิสระ" ได้แสดงความทะเยอทะยานต้องการที่จะเป็นที่นิยมของพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างสูงทุกด้าน ไม่ว่าจะสายปริยัติ สายปฏิบัติ สายปฏิเวธ สายสังฆาธิการ สายเกจิ สายพัฒนาหรือแม้แต่ "สายการเมือง" และด้วยความที่บวชเมื่ออายุมากแล้ว การที่จะเป็นผลักความทะเยอทะยานของตน (เป็นที่นิยมและศรัทธาของพุทธศาสนิกชน)บรรลุเป้า นอกจากจะต้องใช้เวลามากแล้ว ยังต้องแข่งขันกับพระเถรานุเถระที่มีชื่อเสียงอยู่ในขณะนั้นอยู่อีก หนทางที่ "พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม" จะก้าวขึ้นมาเป็นพระระดับ "เซเลป" นั้นแทบจะมองไม่เห็น มีเพียง "ทางลัด" เท่านั้นที่จะทำให้เขาขึ้นแท่นเป็นพระระดับเซเลปได้
การอ้าง "หลวงปู่แหวน" พระนักปฏิบัติสายอาจารย์มั่นว่าเคยออกมาปูอาสนะต้อนรับและสักการะตนตอนธุดงค์ขึ้นเหนือ รวมไปถึงการอ้างอดีตชาติของตนว่าเป็น "หลวงปู่เทพโลกอุดร" นั้น ล้วนเป็นไปเพื่อช่วยยกฐานะจากพระ "นวกะ" (พระบวชใหม่) สูงขึ้น พร้อมกับตั้งชื่อตนว่า "หลวงปู่พุทธอิสระ" มารองรับและทำให้ดูขลังขึ้นในสายวิปัสสนา ส่วนทางด้านสายพระสังฆาธิการ มีการ "โกงพรรษา" ของตนให้สูงขึ้นเพื่อที่จะได้เป็น "พระครู" เจ้าคณะตำบล เมื่อถูกจับได้ก็ลาออกพร้อมบอกว่าไม่ได้ยี่หระเรื่องตำแหน่ง ส่วนทางด้านสายเกจิ ก็ได้ปั้มรูปปั๊มเหรียญของตนพร้อมนำพระปรมาภิไธยของร.๙ มาปั้มด้วย พร้อม "ลงยา" โดยใช้เลือดสดๆ ของตนลงบนเหรียญ จากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นว่า "สมีสุวิทย์" คนนี้ได้พยายามทุก "ทางลัด" ที่จะขึ้นเป็นพระเซเลปในทุกๆ สาย ส่วนสายการเมืองนั้นคงไม่ต้องสาธยายให้มาก จะทำให้กระเทือนซางศิษย์เอกอย่างท่าน "โจหมี" กันเปล่าๆ
วันพรุ่งนี้ ๓๐ ตุลาคมจะเป็นวันแรกของการประชุมมหาเถรสมาคม ซึ่งเชื่อว่าจะมีการบรรจุการจะกลับมาบวชใหม่ของนายสุวิทย์ขึ้นเป็นวาระในการพิจารณา และจะเป็นการพิสูจน์น้ำยาของคณะกรรมการมหาเถรฯ ชุดใหม่ด้วย จะว่าไปแล้ว พระที่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวการเมืองในระดับสูง มหาเถรสมาคมแทบจะไม่มีน้ำยาอะไรเลย ที่ผ่านๆ มามักจะรอดูท่าทีของฝ่ายบ้านเมืองเสียก่อนว่าจะเอาอย่างไร? ซึ่งแม้ตอนนี้นายวิษณุจะออกมาเปรยๆ แล้วว่าความเป็นพระของพุทธอิสระได้สิ้นสุดลงไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามสังคมอยู่ดีว่า เขาจะกลับมาบวชใหม่ได้ไหม?
ดังนั้น สิ่งที่มหาเถรสมาคมควรจะชัดเจนที่สุดก็คือชี้ขาดว่านายสุวิทย์สามารถกลับมาบวชใหม่ได้ไหม? และทำไม? มหาเถรสมาคมควรจะเป็นผู้นำและชี้ทางในโลกแห่งพุทธศาสนา อย่าเอนเอียงเพราะมีอำนาจอื่นไม่ว่าจะด้านการเมืองหรือพุทธศาสนิกชนมาเบี่ยงเบนข้อเท็จจริง โดยส่วนตัวผมมองมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าอดีตพระพุทธอิสระขาดจากความเป็นภิกษุคือก้าวล่วงอาบัติปาราชิกคือใช้เลห์โกงเอาเงินคนอื่น (ในกรณีที่โรงแรมต้องจ่ายให้เขาเรื่องจองห้องพัก)แสนกว่าบาท ยังไม่รวมถึงการที่มีส่วนทำให้คนอื่นเสียชีวิตที่หลักสี่อีก
พระอย่างพุทธอิสระ ในพระวินัยบัญญัติเขาเรียกว่า " ทุมมังกุ" ซึ่งแปลว่า "ผู้เก้อยาก" นั่นก็คือผู้ที่ไม่มีความเก้อเขินในบาปที่ตนทำได้กระทำลงไป พูดภาษาชาวบ้านก็คือ "คนหน้าด้าน" นั่นแหละครับ พุทธอิสระได้กระทำบาปที่ถือว่าก้าวล่วงพระวินัยสูงสุดของสมณะเพศ พระพุทธเจ้าทรงเปรียบคนอย่างนี้ว่าเป็นเสมือน "ตาลยอดด้วน" คือไม่สามารถผลิดอกออกใบและผลได้ ลูกศิษย์ลูกหาที่ยังเคารพอยู่ก็คงไม่ต่างจากเหล่าชนผู้มอง "ตาล" เพียงแค่โคนต้นเท่านั้น แต่หาได้มองสูงขึ้นไปกว่าโคนไม่ ชนเหล่าใดมองตาลเพียงโคนและสำคัญว่านั่นคือต้นตาลย่อมจมปลักอยู่แต่ตรงนั้น ต่างจากชนเหล่าผู้ซึ่งมองตาลทั้งโคนและยอดย่อมกระจ่างชัดและชี้ได้ว่าตาลต้นใดยอดด้วนและตาลต้นใดให้ดอกออกผล
เอาเข้าจริงๆ.....นายสุวิทย์จะกลับมาบวชใหม่ได้หรือไม่นั้น น่าจะขึ้นอยู่ที่ว่า "แผ่นเปลวทองคำ" ที่เคยเสกแปะหน้าผาก "ใครบางคน" เอาไว้เมื่อครั้งก่อนโน้นจะยังคงความขลังศักดิ์สิทธิ์และมีฤทธาอยู่หรือไม่ ?