ไขความกระจ่าง ในวรรณกรรม "พระอานนท์ พุทธอนุชา" เรื่องกามคุณ

ไขความกระจ่าง ในวรรณกรรม "พระอานนท์ พุทธอนุชา" เรื่องกามคุณ

ข้อความว่า

  “ภิกษุทั้งหลาย กามคุณนี้เรากล่าวว่าเป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เป็นกำลังพลแห่งมาร ภิกษุผู้ปรารถนาจะประหารมาร พึงสลัดเหยื่อแห่งมาร ขยี้พวงดอกไม้แห่งมาร และทำลายกำลังพลแห่งมารเสีย"

   คำว่า "กามคุณนี้เรากล่าวว่าเป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เป็นกำลังพลแห่งมาร " คำนี้ถูกต้อง

  แต่คำว่า ภิกษุผู้ปรารถนาจะประหารมาร พึงสลัดเหยื่อแห่งมาร ขยี้พวงดอกไม้แห่งมาร และทำลายกำลังพลแห่งมารเสีย" ไม่ถูกต้อง เพราะว่าจะทำให้เกิดความปรปักษ์กัน

  ควรจะใช้คำว่า "ไม่รับ ไม่ให้ถูกครอบงำ, ไม่ถูกบงการ, ไม่กระทำตาม"

  พวงดอกไม้แห่งมาร ก็คือ "มีสิ่งที่ดีมาล่อเรา" เช่น ของถูกใจ

  กำลังพลแห่งมาร คือ แรงล่อ หรือแรงของหน่วย สมมติว่า แทนที่จะมีหนึ่งคน แต่รวมแล้วทั้งหมดมี ๑๐ คน ก็จะมีแรงมากขึ้น มีกำลังพล

  คำว่า ขยี้พวงดอกไม้แห่งมาร คำนี้ไม่ควรใช้ เพราะเป็นคำปรปักษ์

  พอเราไม่ไปทำตาม ส่วนนั้นก็คืนสู่ธรรม อยู่ที่ธรรม เราอย่าไปเอามา เราก็ไม่ถูกทำร้าย ถ้าเราไปเอามาแสดงว่าเราจะต้องถูกทำร้าย ถูกบงการ

  ถ้าเราไม่พิจารณาข้อความเช่นนี้ แล้วเห็นด้วย ก็จบเลย 

  ยกตัวอย่าง บางคนบอกว่าโสเภณีไม่ดี ก็จะไปฆ่าเขา ไปทำลายเขา ฯลฯ วุ่นวายไปหมดเลย เพราะไปบอกว่าให้บดขยี้ นี่แหละ แปลผิด ทำไมถึงบอกว่าแปลผิด เพราะว่าในสมัยครั้นพุทธกาล ไม่มีภาษาเช่นนี้ ภาษาเช่นนี้เป็นภาษาปัจจุบัน

  “ภิกษุทั้งหลาย เราเคยเยาะเย้ยกามคุณ ณ โพธิมณฑลในวันที่เราตรัสรู้นั้นเอง" ใช้คำเหล่านี้ไม่ถูกต้อง ในสมัยพุทธกาลไม่มีคำว่าเยาะเย้ย ฉะนั้น เราควรใช้คำว่า "รู้ถึง รู้แจ้งแห่งกามคุณ"

  "ดูก่อนกาม เราได้เห็นต้นเค้าของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดำริคำนึงถึงนั้นเอง เราจักไม่ดำริถึงเจ้าอีก ด้วยประการฉะนี้ กามเอยเจ้าจะเกิดขึ้นอีกไม่ได้” ประโยคนี้ก็ไม่ถูกต้อง 

  ควรใช้คำว่า "ดูก่อนกาม เรารู้ต้นเค้าแห่งกามนั้น คือ ตัณหา ฉะนั้น ฉันไม่มีอัตตา ที่จะให้ตัณหาอาศัยแล้ว"

  ถ้าใช้ประโยคนี้จะชัดเจนเลย ให้เห็นต้นตอเลย 

  ลดอัตตาได้เมื่อไหร่ ตัณหาลดได้เมื่อนั้น สิ่งที่ตัณหาอยู่ได้ เพราะจะต้องอาศัยอัตตา

  รับรองว่า หลายคนไม่รู้ว่าจะแก้ตัณหา จะไปแก้ที่ไหน ตรงไหน แล้วมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร เหมือนกับ เหยือกน้ำ เราจะใส่น้ำ ๑ ลิตร ไม่มีเยือกน้ำ เราจะใส่น้ำได้อย่างไร เหยือกน้ำก็เปรียบเสมือนอัตตา ส่วนน้ำก็เปรียบเสมือนตัณหา ผู้ที่เอาน้ำมาใส่ คือ กิเลส

  ฉะนั้น ทั้งหมดอยู่ที่อัตตาต่างหาก ถ้าหากอัตตาลด ตัณหาก็ลดตาม

  เราจำเป็นต้องมีอัตตา แต่เราอย่ามีอัตตาเกิน คือ อย่าละโมบ เวลานี้เราอยู่ในภูมิที่จะต้องมีเหยือก คือ มีอัตตา ยกตัวอย่าง บางคนมีเหยือกรองรับน้ำได้แค่ ๑ ลิตร แต่จะเอาน้ำ ๒ ลิตรมาใส่ เหยือกนี้น้ำก็ล้น บางคนก็จะไปเที่ยวหาอัตตามาใส่ เราก็ควรใส่น้ำให้พอดีแก่เหยือกน้ำ ก็จะเหมาะสมพอดีใช้ ถ้าใช้เกินก็ไม่ได้

  สมมติว่า เหยือกน้ำมันร้าวล่ะ หมายความว่า อัตตาก็จะอยู่ใต้ที่ร้าว จะเลยกว่านั้นไม่ได้ ถ้าเลย จะเอาเลยก็จะเกินอัตตา เราก็จะล้น ก็จะสกปรก ในชีวิตของเราก็เหมือนกัน ก็จะก่อให้เราเกิดเรื่องยุ่งยากในชีวิต เช่น เวลานี้สังขาร ร่างกายของเรายกน้ำหนักได้แค่ ๕๐ กิโลกรัม แต่เวลานี้สังขารของเราแก่ขึ้น อายุ ๗๐ ปี เราจะไปยกน้ำหนัก ๕๐ กิโลกรัม ไม่ได้ ถ้าเรายังดันไปยก ๕๐ เราก็จะไม่ไหว เกิดอุบัติตายได้ สิ่งที่ทำให้เหยือกมันร้าวนั้น เปรียบเสมือนภาวะธรรม 

  เวลาน้องดาวโดนรถชนขาหัก แล้วจะเดินมาทำงานได้ไหมล่ะ ก็ต้องไปโรงพยาบาลรักษาตัว แต่ถ้าในใจไม่ยอม เราก็จะร้อนรนเอง ไม่ยอมรับความจริง ว่าเหยือกมันร้าว เติมน้ำได้แค่นี้ ได้แค่ครึ่งเหยือก ถ้าไปเติมให้เต็มๆ เหยือก เราก็บ้าไปเอง

^_^  ..._/\_...  ^_^ 
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่