เล่าประสบการณ์เป็นไบโพล่าร์

กระทู้สนทนา
               ฉันเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ฉันเป็นโรคจิตเวชชนิดหนึ่ง ชื่อของมันคือไบโพล่าร์ ดิสออเดอร์ หลังจากเป็นโรคนี้ โลกภายในของฉันก็เปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อต้องมีเพื่อนชื่อเจ้าไบโพล่าร์มาอยู่ร่วมในหัวใจ อาการของโรคนี้เริ่มแสดงเมื่อเดือนก.ย.ปี2553 ตอนนั้นฉันเพิ่งรับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่และดังที่สุดในประเทศไทย ตอนนั้นฉันคิดว่าฉันเก่ง ฉันประสบความสำเร็จในการศึกษา มีใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยนี้ ต่อไปคงง่ายกับการหางานดีดี เงินเดือนสูงๆ ตอนนั้นฉันตัดสินใจลาออกจากบริษัทที่ทำมากว่า 6 ปี ที่ตัดสินใจลาออกเพราะฉันคิดว่าฉันไม่มีความหมายอะไรกับบริษัทนี้ ตอนนั้นฉันเพิ่งได้ทำความรู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่นิสัยดีมาก และเป็นคนธรรมะธรรมโม ถึงจะกังวลเรื่องหางานอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกว่ามีผู้ชายคนนี้เป็นที่พักใจ แต่แล้วเค้าก็ขอเลิกคุยกันแบบสนิทสนมอีกต่อไป ตอนนั้นฉันเสียใจมาก และเริ่มการหยุดคิดไม่ได้  ไม่รู้จริงๆว่ามันจะนำไปสู่เรื่องราวของโรคที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต ฉันเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่นไปหาเพื่อนสนิท และบอกเพื่อนว่าฉันเป็นโรคร้ายแรงประมาณมะเร็งต้องตายแน่ๆ ฉันเอาทุกเรื่องที่พบเห็นมาคิด เช่นฉันไปดูดวงแถวท่าพระจันทร์ หมอดูทักว่าดวงฉันผูกพันกับหลวงปู่ทวด พระพิฒเนศ เมื่อฉันไปงานบวชของพี่ชายเพื่อนสนิท ที่วัดมีหลวงปู่ทวดและพระพิฒเนศ ฉันก็คิดว่าต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่ๆ และคิดอย่างจริงจังเสียด้วย หลังกลับจากงานบวช ฉันควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ฉันเดินไม่หยุดทั้งกลางวันและกลางคืน เจอเศษกระดาษอะไรก็เก็บมาอ่าน เพราะคิดว่าเป็นปริศนาชีวิตที่มาบอกใบ้ให้รู้ ฉันเดินไปทางถนนกรุงเทพ-นนทบุรี ฉันจำได้ว่าฉันหยุดยืนที่ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลยันฮี และคิดผูกโน่นนี่นั่นขึ้นมาเองว่าที่เพื่อนเคยสนิทกันมากมาห่างเหินกันไปเพราะแค่ต้องการทดสอบจิตใจฉัน จริงๆเพื่อนคนนี้รักฉันมาก(ในโลกความจริง มีเพื่อนอยู่สองคนที่ฉันสนิทมาก แต่ก็ห่างเหินกันไป เพราะพวกเค้าไม่ชอบนิสัยบางอย่างของฉัน) แล้วฉันก็คิดถึงผู้ชายที่เคยสนิทแล้วเค้าห่างหายไป ตอนนั้นฉันมโนว่าที่เราสองคนต้องห่างกันเพราะเราสองคนต่างมีหน้าที่ต่อโลก(อันนี้เกิดจาดฉันอ่านนิยายแล้วเอามาคิดว่าเป็นเรื่องของตัวเอง) ฉันไม่สามารถหยุดคิดได้เลย แล้วฉันเริ่มแยกไม่ออกว่าอะไรคือความคิด อะไรคือความจริง สุดท้ายฉันไปเพ้ออยู่หน้าบ้านเพื่อนสนิทสมัยมัธยมต้นที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน และเพื่อนกับสามีเพื่อนก็นำฉันส่งโรงพยาบาลศรีธัญญาและติดต่อญาติให้มาดูแล ที่ศรีธัญญาฉันมองเห็นสีอะไรก็เอามาตีความหมายหาจุดเชื่อมโยงกันให้ได้ เช่นฉันเห็นสีน้ำเงินที่โรงพยาบาลฉันก็คิดถึงเครื่องแบบทหารอากาศแล้วฉันก็คิดถึงสีน้ำเงินบนธงชาติ แล้วฉันก็คิดไปว่าเมื่อไหร่ที่ฉันเห็นสีน้ำเงิน นั่นคือความหมายของกษัตริย์ ตอนก่อนที่ฉันจะเข้าโรงพยาบาลศรีธัญญา ฉันก็จะเลือกเดินทางที่ฉันเห็นสีขาวเท่านั้น ทางบ้านฉันตัดสินใจส่งฉันไปตรวจต่อที่โรงพยาบาลเปาโลแถวพหลโยธิน ก่อนที่ฉันจะออกจากโรงพยาบาลศรีธัญญา ฉันเห็นรูปหล่อของรัชกาลที่ 5 ฉันเลยคิดไปถึงสถาบันที่ตัวเองจบมา เลยคิดไปเองอีกแล้วว่าต้องมีอะไรเชื่อมโยงกันแน่ๆ ฉันเลยพูดคำสาบานปฏิญาณตนดังออกมาลั่นโรงพยาบาล พอถึงโรงพยาบาลเปาโล อาให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียด รวมไปถึงตรวจหาสารเสพติดด้วย แต่ก็ไม่พบอะไร หมอวินิจฉัยว่าฉันเป็นโรคไบโพล่าร์ และให้ยากิน พอตื่นขึ้นมา ฉันเห็นญาติ น้องชาย ผู้ชายที่เคยสนิท(คนที่ฉันเคยคิดไปว่าเราสองคนถูกส่งมากู้โลกน่ะแหละ) และแฟนเก่าอีกคนที่เลิกกันไปเป็นปีผู้ซึ่งผู้ชายคนนี้เป็นผู้ชายที่ไปบอกผู้หญิงใหม่ของเค้าว่าไม่เคยรักฉันเลย เห็นเป็นน้องสาวเท่านั้น ฉันตื่นขึ้นมาด้วยฤทธิ์ของยาที่เรียกสติของฉันกลับมาได้ ฉันอายทุกคนมาก ย้ำว่าอายมากจริงๆ แล้วทุกคนก็กลับไป เหลือแต่น้องชายที่เฝ้า ฉันเห็นน้องชายก็นึกถึงคืนวันก่อนที่ไปหาน้อง แล้วบอกน้องว่าฉันจะไปทำงานที่เกาหลี นึกถึงที่บอกผู้ชายที่ฉันชอบว่าฉันจะไปทำงานเพื่อสหประชาชาติ 
ทุกวันนี้ฉันรักษาตัวจนหายเป็นปกติแล้ว แต่ก็ต้องกินยาทุกวัน เขียนมาเพื่อเล่าสู่กันฟังค่ะ
 
 
 
 
 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่