เห็นข่าวการจากไปของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทีไรใจหายว๊าบ โรคนี้ใกล้ตัวกว่าที่ทุกคนคิดและยังมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจ มามะเดี๋ยวแชร์ประสบการณ์ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดให้ฟัง ยาวหน่อยนะจ๊ะ
หลังคลอดลูกก็ปกติทั่วไปคิดว่าตัวเองคงเหนื่อยเลี้ยงลูกเหมือนคนอื่นๆ(พอมองย้อนกลับไป โห ลูกเราเลี้ยงง่ายมาก) พอลูกอายุได้หนึ่งเดือนเริ่มหวงลูก ไม่อยากให้ใครช่วยเลี้ยง นอนไม่ค่อยหลับ ไปหาหมอหลังคลอดหมอก็ถามว่าเป็นไง ส่วนเราก็โกหกไปว่าสบายดีค่ะหมอ😭 กินอิ่มนอนหลับ(ซึมเศร้าหลังคลอดไม่เคยมีอยู่ในหัว ทั้งๆที่ก่อนคลอดศึกษากระจ่างแจ้ง)
จุดพีทมันอยู่ตรงนี้ สามีต้องไปทำงานต่างรัฐหนึ่งเดือน เราอยู่บ้านเลี้ยงลูกคนเดียว อยู่บ้านกับแม่ย่าสองคน แม่ย่าจะช่วยก็พาลูกหนี(บ้าไปแล้ว) ช่วงนั้นลูกชายร้องไห้งอแงบ่อยมาก บ่อยแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งจุดนี้แหละทำให้เราโทษตัวเองว่าเราเป็นแม่ที่ไม่ดีพอ ลูกตื่นมากินนมมื้อดึกเราก็โทษตัวเอง(ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องปกติ เรมมี่ตื่นมากินนมทุก 4 ชม อายุสองเดือนถือว่าดีมากกก) หนักเข้าทุบดีตัวเอง ลงโทษตัวเองคิดว่าเป็นแม่ที่ไม่ดี(เอานมให้ลูกกินก็เสร็จไปแหละ อิหยังว่ะ)
เป็นหนักเรื่อยๆแต่ไม่บอกใคร ไม่คิดว่าตัวเองป่วย แต่ช้าก่อน สามีดูออกเราเปลี่ยนไป บอกให้ไปหาหมอ เราก็อิหยังว่ะ ลูกก็ไม่ได้ช่วยเลี้ยงแล้วยังมาหาว่ากรูบ้า ทะเลาะกันใหญ่โต(เราทะเลาะคนเดียว สามีไม่ยอมทะเลาะด้วย ฮาาา) จากตบตีตัวเองเวลาลูกร้องไห้ ก็เริ่มคิดว่าถ้าเราไม่อยู่อะไรๆก็คงดีขึ้น ตายๆไปได้คงจะดี เริ่มคิดวิธีฆ่าตัวตาย คิดวนไปวนมาทุกวัน
ลูกสัมผัสได้ว่าเราป่วย เค้าร้องไห้งอแงมากกว่าปกติ สายตาที่ลูกมองมาที่เราตอนนั้น ยิ่งตอกย้ำความคิดที่ว่าเราเป็นแม่ที่ไม่ดี( ตอนนั้นไม่คิดถึงสาเหตุอื่นๆที่ลูกงอแงเลย โทษตัวเองอย่างเดียว) จนวันหนึ่งเราสติแตกมาก มองไปที่พัดลมเพดาน ทุกอย่างว่างเปล่า คิดอยากจบปัญหา(ปัญหาที่ว่านี่คือลูกร้องไห้กินนม ตอนนั้นคือเรื่องใหญ่มาก) มองดูลูกที่นอนมองมาที่เราที่กำลังร้องไห้ มันบาดหัวใจเหลือเกิน มันสุดจะทน ไม่อยากอยู่แล้ว
ก่อนที่เราจะตัดสินใจทำร้ายตัวเองครั้งใหญ่ สามีโทรมาพอดี เรารับสาย ร้องไห้ พูดไม่รู้เรื่อง สะอึกสะอื้น(ตอนนั้นสามีอยู่ต่างรัฐ) สติแตก สามีใจเย็นมาก พยายามพูดพยายามถามจนเราสงบลง เราบอกไปว่าเราอยากจะแขวนคอตัวเองเพราะเราเป็นแม่ที่ไม่ดี เราไม่สมควรอยู่ดูแลลูกอีกต่อไป สามีกำลังจะโทร 911(ที่นี่ซีเรียสเรื่องฆ่าตัวตายมาก โดนเฉพาะกับแม่ลูกอ่อนเพราะแม่มีแนวโน้มทำร้ายลูกด้วย) แต่แม่ย่ากลับมาบ้านพอดี
พอแม่ย่ามาทุกอย่างผ่อนคลายขึ้น ย่าเอาลูกไปเลี้ยงให้ เราค่อยๆมีสติมากขึ้น คิดได้ว่าอิหยังของกรูว่ะ คิดได้ก็โทรไปหาหมอสูติประจำตัว คุยไปร้องไห้ไป หมอถามเธอไหวไหม ไม่ไหวเดี๋ยวส่งรถฉุกเฉินไปรับ เราบอกไหว หมอมีโทรเช็คกับสามี แม่ย่าว่ามีคนอยู่กับเราจริงๆไม่ได้โกหก หมอใส่ใจดีมาก ณ ตอนนั้น
วันต่อมาไปหาหมอ หมออยากให้แอดมิทเพราะกลัวเราจะทำร้ายตัวเองและลูก แต่เราขอหมอไม่อยู่ เราอยู่กับแม่สามี มีคนช่วย( ตอนนั้นกลัวเหลือเกินว่าหมอจะเอาลูกออกไปจากอก) หลังพูดคุยสอบประวัติหมอลงความเห็นว่าเป็น “โรคซึมเศร้าหลังคลอด”(ไม่ใช่แค่ภาวะซึมเศร้า สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ, ช็อปปิ้ง,ออกกำลังกาย ไม่หาย ต้องกินยาาาา) หมอสั่งยาให้ พร้อมให้กลับมาประเมินอาการทุกๆสองสัปดาห์
หลังกินยาประมาณสองเดือน ทุกอย่างกลับมาสดใส(ปรับขนาดยาสองครั้ง) แม่แฮปปี้ลูกแฮปปี้มองกลับไปปัญหาที่เราเจอมันเล็กน้อยมาก แต่สารเคมีในสมองเรามันทำให้ความอดทนต่อปัญหาลดลงจนเราจมอยู่ในความมืด มองเห็นทุกอย่างด้านเดียว กลัวมากไปอยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีก ทำตามหมออย่างเคร่งครัด
หลังจากกินติดต่อกัน 6 เดือน อาการดีขึ้นเป็นปกติ หมอเลยให้หยุดยา โดนค่อยๆลดโดสยาลงจนไม่ต้องกินในที่สุด เราทำตามอย่างเคร่งครัด โอวแม่เจ้า ตอนกินยาว่ายากแล้ว ตอนหยุดยานี่บรรลัยกว่าจ้าาา พอลดโดสยาแล้วตาพล่ามั่ว มองภาพซูมเข้าซูมออก ตอนเช้าเหมือนคนเล่นยา ทำงานได้ไม่เหน็ดเหนื่อย ต้องขยับตลอดเวลา ตกบ่ายมาเหมือนไฟฟ้าช็อตหัว(anxiety attack) พูดเร็วพูดมาก ทั้งๆที่สปีกอิงลิชไม่ถนัด เป็นแบบนี้อยู่ประมาณสองเดือนก็หายเป็นปกติ ช่วงที่ลดยาหมอนัดประเมินทุกสองอาทิตย์
ตอนนี้ลูกชายก็สิบเดือนแล้ว พ่อแม่ลูกแข่งกันอ้วน เราโชคดีที่ตอนนั้นเรามีคนที่เข้าใจใส่ใจเรา คิดถึงเรื่องนี้ทีไรกลัวใจตัวเองทุกที เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์เผื่อคุณหรือคนรอบข้างกำลังเจอปัญหานี้อยู่ ถ้าคุณมีความทุกรอย่าเก็บไว้คนเดียวระบายมันออกมา ส่วนคนรอบข้างควรเป็นผู้ฟังที่ดีไม่ตัดสินผู้ป่วย โรคซึมเศร้าหายได้ค่ะ หาหมอกินยา ปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอ ไปวัดไปหายค่ะ ยิ่งจะเป็นหนักกว่าเดิม ที่สำคัญที่สุดคือผู้ป่วยต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง อย่าโกหกหมอ แล้วทุกอย่างจะคลี่คลาย
เราถ่ายรูปนี้ไว้ตอนที่เราป่วยแต่ไม่รู้ตัว สายตาที่ลูกมองเราเหมือนเค้าพยายามบอกว่าแม่ป่วยนะ สายตาเด็กน้อยที่เศร้าปนความห่วงใย เราชอบกลับไปดูรูปนี้เวลาปรี๊ดแตกเวลาหรรมน้อยกลายร่างเป็นลิง ฮาาาาา
แชร์ประสบการณ์เป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอด
หลังคลอดลูกก็ปกติทั่วไปคิดว่าตัวเองคงเหนื่อยเลี้ยงลูกเหมือนคนอื่นๆ(พอมองย้อนกลับไป โห ลูกเราเลี้ยงง่ายมาก) พอลูกอายุได้หนึ่งเดือนเริ่มหวงลูก ไม่อยากให้ใครช่วยเลี้ยง นอนไม่ค่อยหลับ ไปหาหมอหลังคลอดหมอก็ถามว่าเป็นไง ส่วนเราก็โกหกไปว่าสบายดีค่ะหมอ😭 กินอิ่มนอนหลับ(ซึมเศร้าหลังคลอดไม่เคยมีอยู่ในหัว ทั้งๆที่ก่อนคลอดศึกษากระจ่างแจ้ง)
จุดพีทมันอยู่ตรงนี้ สามีต้องไปทำงานต่างรัฐหนึ่งเดือน เราอยู่บ้านเลี้ยงลูกคนเดียว อยู่บ้านกับแม่ย่าสองคน แม่ย่าจะช่วยก็พาลูกหนี(บ้าไปแล้ว) ช่วงนั้นลูกชายร้องไห้งอแงบ่อยมาก บ่อยแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งจุดนี้แหละทำให้เราโทษตัวเองว่าเราเป็นแม่ที่ไม่ดีพอ ลูกตื่นมากินนมมื้อดึกเราก็โทษตัวเอง(ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องปกติ เรมมี่ตื่นมากินนมทุก 4 ชม อายุสองเดือนถือว่าดีมากกก) หนักเข้าทุบดีตัวเอง ลงโทษตัวเองคิดว่าเป็นแม่ที่ไม่ดี(เอานมให้ลูกกินก็เสร็จไปแหละ อิหยังว่ะ)
เป็นหนักเรื่อยๆแต่ไม่บอกใคร ไม่คิดว่าตัวเองป่วย แต่ช้าก่อน สามีดูออกเราเปลี่ยนไป บอกให้ไปหาหมอ เราก็อิหยังว่ะ ลูกก็ไม่ได้ช่วยเลี้ยงแล้วยังมาหาว่ากรูบ้า ทะเลาะกันใหญ่โต(เราทะเลาะคนเดียว สามีไม่ยอมทะเลาะด้วย ฮาาา) จากตบตีตัวเองเวลาลูกร้องไห้ ก็เริ่มคิดว่าถ้าเราไม่อยู่อะไรๆก็คงดีขึ้น ตายๆไปได้คงจะดี เริ่มคิดวิธีฆ่าตัวตาย คิดวนไปวนมาทุกวัน
ลูกสัมผัสได้ว่าเราป่วย เค้าร้องไห้งอแงมากกว่าปกติ สายตาที่ลูกมองมาที่เราตอนนั้น ยิ่งตอกย้ำความคิดที่ว่าเราเป็นแม่ที่ไม่ดี( ตอนนั้นไม่คิดถึงสาเหตุอื่นๆที่ลูกงอแงเลย โทษตัวเองอย่างเดียว) จนวันหนึ่งเราสติแตกมาก มองไปที่พัดลมเพดาน ทุกอย่างว่างเปล่า คิดอยากจบปัญหา(ปัญหาที่ว่านี่คือลูกร้องไห้กินนม ตอนนั้นคือเรื่องใหญ่มาก) มองดูลูกที่นอนมองมาที่เราที่กำลังร้องไห้ มันบาดหัวใจเหลือเกิน มันสุดจะทน ไม่อยากอยู่แล้ว
ก่อนที่เราจะตัดสินใจทำร้ายตัวเองครั้งใหญ่ สามีโทรมาพอดี เรารับสาย ร้องไห้ พูดไม่รู้เรื่อง สะอึกสะอื้น(ตอนนั้นสามีอยู่ต่างรัฐ) สติแตก สามีใจเย็นมาก พยายามพูดพยายามถามจนเราสงบลง เราบอกไปว่าเราอยากจะแขวนคอตัวเองเพราะเราเป็นแม่ที่ไม่ดี เราไม่สมควรอยู่ดูแลลูกอีกต่อไป สามีกำลังจะโทร 911(ที่นี่ซีเรียสเรื่องฆ่าตัวตายมาก โดนเฉพาะกับแม่ลูกอ่อนเพราะแม่มีแนวโน้มทำร้ายลูกด้วย) แต่แม่ย่ากลับมาบ้านพอดี
พอแม่ย่ามาทุกอย่างผ่อนคลายขึ้น ย่าเอาลูกไปเลี้ยงให้ เราค่อยๆมีสติมากขึ้น คิดได้ว่าอิหยังของกรูว่ะ คิดได้ก็โทรไปหาหมอสูติประจำตัว คุยไปร้องไห้ไป หมอถามเธอไหวไหม ไม่ไหวเดี๋ยวส่งรถฉุกเฉินไปรับ เราบอกไหว หมอมีโทรเช็คกับสามี แม่ย่าว่ามีคนอยู่กับเราจริงๆไม่ได้โกหก หมอใส่ใจดีมาก ณ ตอนนั้น
วันต่อมาไปหาหมอ หมออยากให้แอดมิทเพราะกลัวเราจะทำร้ายตัวเองและลูก แต่เราขอหมอไม่อยู่ เราอยู่กับแม่สามี มีคนช่วย( ตอนนั้นกลัวเหลือเกินว่าหมอจะเอาลูกออกไปจากอก) หลังพูดคุยสอบประวัติหมอลงความเห็นว่าเป็น “โรคซึมเศร้าหลังคลอด”(ไม่ใช่แค่ภาวะซึมเศร้า สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ, ช็อปปิ้ง,ออกกำลังกาย ไม่หาย ต้องกินยาาาา) หมอสั่งยาให้ พร้อมให้กลับมาประเมินอาการทุกๆสองสัปดาห์
หลังกินยาประมาณสองเดือน ทุกอย่างกลับมาสดใส(ปรับขนาดยาสองครั้ง) แม่แฮปปี้ลูกแฮปปี้มองกลับไปปัญหาที่เราเจอมันเล็กน้อยมาก แต่สารเคมีในสมองเรามันทำให้ความอดทนต่อปัญหาลดลงจนเราจมอยู่ในความมืด มองเห็นทุกอย่างด้านเดียว กลัวมากไปอยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีก ทำตามหมออย่างเคร่งครัด
หลังจากกินติดต่อกัน 6 เดือน อาการดีขึ้นเป็นปกติ หมอเลยให้หยุดยา โดนค่อยๆลดโดสยาลงจนไม่ต้องกินในที่สุด เราทำตามอย่างเคร่งครัด โอวแม่เจ้า ตอนกินยาว่ายากแล้ว ตอนหยุดยานี่บรรลัยกว่าจ้าาา พอลดโดสยาแล้วตาพล่ามั่ว มองภาพซูมเข้าซูมออก ตอนเช้าเหมือนคนเล่นยา ทำงานได้ไม่เหน็ดเหนื่อย ต้องขยับตลอดเวลา ตกบ่ายมาเหมือนไฟฟ้าช็อตหัว(anxiety attack) พูดเร็วพูดมาก ทั้งๆที่สปีกอิงลิชไม่ถนัด เป็นแบบนี้อยู่ประมาณสองเดือนก็หายเป็นปกติ ช่วงที่ลดยาหมอนัดประเมินทุกสองอาทิตย์
ตอนนี้ลูกชายก็สิบเดือนแล้ว พ่อแม่ลูกแข่งกันอ้วน เราโชคดีที่ตอนนั้นเรามีคนที่เข้าใจใส่ใจเรา คิดถึงเรื่องนี้ทีไรกลัวใจตัวเองทุกที เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์เผื่อคุณหรือคนรอบข้างกำลังเจอปัญหานี้อยู่ ถ้าคุณมีความทุกรอย่าเก็บไว้คนเดียวระบายมันออกมา ส่วนคนรอบข้างควรเป็นผู้ฟังที่ดีไม่ตัดสินผู้ป่วย โรคซึมเศร้าหายได้ค่ะ หาหมอกินยา ปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอ ไปวัดไปหายค่ะ ยิ่งจะเป็นหนักกว่าเดิม ที่สำคัญที่สุดคือผู้ป่วยต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง อย่าโกหกหมอ แล้วทุกอย่างจะคลี่คลาย
เราถ่ายรูปนี้ไว้ตอนที่เราป่วยแต่ไม่รู้ตัว สายตาที่ลูกมองเราเหมือนเค้าพยายามบอกว่าแม่ป่วยนะ สายตาเด็กน้อยที่เศร้าปนความห่วงใย เราชอบกลับไปดูรูปนี้เวลาปรี๊ดแตกเวลาหรรมน้อยกลายร่างเป็นลิง ฮาาาาา