คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 20

คุณเจ้าของกระทู้ ที่คุณบอกว่า......
"การที่ปุถุชนคิดแทนภิกษุที่เป็นพระโสดาบันว่า สึกได้หากมีเหตจำเป็น อันนั้นคือการเอาความนึกคิดของปุถุชนไปคิดแทนพระอริยะนะครับ"
(แล้วคุณเคยสงสัยตัวเองมั้ยว่า คุณเองน่ะแหละที่กำลังคิดแทนพระอริยะเจ้าอยู่?)
ฆราวาสที่เป็นพระโสดาบัน ยังมีเมีย มีลูกได้อยู่เลย อารมณ์ตัดละกิเลสสังโยชน์ของพระโสดาบันยังไม่สูงนัก (ยังตัดละกามฉันทะไม่ได้เลย)
พระโสดาบัน ฆราวาส กับ พระโสดาบัน ที่เป็นพระภิกษุ ตัดละกิเลสสังโยชน์ได้ 3 ข้อ เท่าๆกัน (ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง)
ไม่ได้หมายความว่า พระโสดาบันที่เป็นพระภิกษุ จะมีอารมณ์ตัดละกิเลสสังโยชน์ได้สูงกว่า ฆราวาสที่เป็นพระโสดาบัน ซะที่ไหน?
นั่นหมายความว่า อารมณ์จิตภายในเหมือนกัน เพียงแต่ใครกำลังอยู่ในสถานะอะไรเท่านั้น (ถ้าบวชพระอยู่ก็ถือศีล227 ถ้าฆราวาสก็ถือศีล5บริสุทธิ์)
เพราะฉนั้น ถ้าบวชอยู่ จะสึกออกมาก็ไม่แปลก
เพราะอารมณ์ของพระโสดาบันนั้น ยังไม่สูงนัก ยังเป็นแค่ "ชาวบ้านชั้นดี" ธรรมดาๆเท่านั้น (ยังตัดละกามฉันทะไม่ได้เลย)
แต่ส่วนมากเขาจะไม่สึกเท่านั้นเอง เพราะวิถีชีวิตของฆราวาสมีความวุ่นวายมาก เป็นทางคับแคบ
การสึกเคลื่อนออกจากความเป็นเพศบรรตชิต จึงไม่อยากออก เพราะเขาคิดว่าอยู่ตรงนี้เหมาะสมดีแล้ว
(อย่าลืมว่าเขาบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันในขณะที่กำลังเป็นพระสงฆ์อยู่ เขาจึงพอใจในการถือครองศีลแบบพระ)
(แต่ถ้าเขาบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันในขณะที่เป็นฆราวาส เขาจะกอดเมียต่อไปก็ไม่แปลก เพราะว่าเขาพอใจในการถือครองศีล5แบบฆราวาสอยู่)
แต่ไม่ได้หมายความว่า "แม้ตายก็ไม่ยอมสึก" (เพราะอาจจะมีเหตุจำเป็นให้ต้องสึก เช่น สึกมาเพื่อดูแลพ่อแม่ หรืออาจจะสึกมาเพื่ออย่างอื่นก็ได้)
(เช่น อาจจะสึกออกมาเพื่อทำงานเพื่อศาสนาได้ถนัดมือกว่า เพราะอยู่ในกรอบศีลพระอาจจะทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก)
(ไฮไลท์ของประเด็นในเรื่องนี้ก็คือ คนที่เป็นพระโสดาบัน เขายังตัดละกามฉันทะไม่ได้เด็ดขาด เมื่อไม่ได้เด็ดขาด นั่นแสดงว่ายังมีโอกาสสึกอยู่)
พระอริยะเจ้าจะมีกำลังใจไม่ถอยหลัง ไม่มีเสื่อม มีคติที่แน่นอน
แม้ว่าเขาจะสึกออกมาแล้ว แต่จิตใจภายในของเขาก็ยังเป็นพระอริยะเจ้าอยู่ (ยังมั่นคงในพระรัตนตรัย และ มีศีลบริสุทธิ์เหมือนเดิม)
ไม่ใช่ว่าพอสึกออกมาแล้ว จะกลายเป็นเวียนกลับมาเป็นคนเลวซะที่ไหน ไม่ใช่อย่างนั้น
เขาก็แค่เปลี่ยนจากการถือศีล 227 ข้อ มาถือศีล5บริสุทธิ์ ตามหลักพระโสดาบันที่เป็นฆราวาสเท่านั้น คุณธรรมพระโสดาบันของเขาก็ยังอยู่เหมือนเดิม
คุณธรรมพระโสดาบันของเขาไม่ได้เสื่อมถอยลง (พุทธศาสนิกชน ถือศีลตามสถานะเฉยๆ ความเป็นพระอริยะเจ้าขึ้นอยู่กับจิตที่สะอาดภายใน)
ไม่อย่างนั้นฆราวาสจะเป็นพระอริยะเจ้ากันได้หรือ? เขาจะยืนอยู่ตรงจุดไหนของโลก จะห่มผ้าเหลืองอยู่ หรือใส่เสื้อยืด เขาก็ยังเป็นพระอริยะ
การสึกออกมาเป็นฆราวาส ไม่ได้ทำให้ความเป็นพระอริยะเจ้าของเขาเสื่อมถอยลง
เพราะฉนั้น คนที่เขามีจิตใจมั่นคง ไม่มีเสื่อมถอยแล้ว ถ้าเขาเห็นเหตุจำเป็นอันควร เขาจะสึกออกมาจัดการธุระก็ไม่แปลก
และข้อสำคัญ เขาก็รู้ด้วยว่า คนเราสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเพศฆราวาสได้
ไม่ใช่ว่าพอสึกออกมาเป็นฆราวาส แล้วคุณธรรมพระโสดาบันของเขาจะเสื่อมถอยลงกลายเป็นปุถุชน ซะที่ไหน?

ถ้าใช้ตรรกะของคำพูดของคุณในภาพด้านบนนี้ สงสัยโลกนี้คงจะไม่มีพระอริยะเจ้าที่เป็นฆราวาสเลยซักคนเดียว
(คุณเจ้าของกระทู้ คุณไม่มีความรู้เรื่องพระอริยะเจ้าที่เป็นฆราวาส คุณพูดเหมือนว่าจะต้องอยู่ในสถานะพระสงฆ์เท่านั้น ถึงจะเป็นพระอริยะเจ้าได้)
ในสมัยพุทธกาล ฆราวาสขอทานยังเป็นพระโสดาบันได้เลย จิตสะอาดมันอยู่ภายใน ไม่ใช่จะต้องไปถือศีล227ข้อ ถึงจะเป็นพระโสดาบันได้
และอย่าลืมว่า ฆราวาสสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเพศฆราวาสได้
มีจิตสะอาดหมดจดจากกิเลสเหมือนกับพระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ ได้เหมือนกันหมดทุกอย่าง
(เพียงแต่ฆราวาสเมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว จะอยู่ได้เพียงแค่ 1 วัน เพราะร่างกายของคนธรรมดาๆ จะไม่สามารถรองรับคุณวิเศษของความเป็นพระอรหันต์ได้ จะต้องบวชเป็นพระ ถือศีล227ข้อ ถึงจะอยู่ได้จนครบอายุขัยของตนเอง)
ไปอ่านต่อได้ที่ ==> https://pantip.com/topic/39265449/comment4

คุณเจ้าของกระทู้ ที่คุณบอกว่า......
"การที่ปุถุชนคิดแทนภิกษุที่เป็นพระโสดาบันว่า สึกได้หากมีเหตจำเป็น อันนั้นคือการเอาความนึกคิดของปุถุชนไปคิดแทนพระอริยะนะครับ"
(แล้วคุณเคยสงสัยตัวเองมั้ยว่า คุณเองน่ะแหละที่กำลังคิดแทนพระอริยะเจ้าอยู่?)
ฆราวาสที่เป็นพระโสดาบัน ยังมีเมีย มีลูกได้อยู่เลย อารมณ์ตัดละกิเลสสังโยชน์ของพระโสดาบันยังไม่สูงนัก (ยังตัดละกามฉันทะไม่ได้เลย)
พระโสดาบัน ฆราวาส กับ พระโสดาบัน ที่เป็นพระภิกษุ ตัดละกิเลสสังโยชน์ได้ 3 ข้อ เท่าๆกัน (ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง)
ไม่ได้หมายความว่า พระโสดาบันที่เป็นพระภิกษุ จะมีอารมณ์ตัดละกิเลสสังโยชน์ได้สูงกว่า ฆราวาสที่เป็นพระโสดาบัน ซะที่ไหน?
นั่นหมายความว่า อารมณ์จิตภายในเหมือนกัน เพียงแต่ใครกำลังอยู่ในสถานะอะไรเท่านั้น (ถ้าบวชพระอยู่ก็ถือศีล227 ถ้าฆราวาสก็ถือศีล5บริสุทธิ์)
เพราะฉนั้น ถ้าบวชอยู่ จะสึกออกมาก็ไม่แปลก
เพราะอารมณ์ของพระโสดาบันนั้น ยังไม่สูงนัก ยังเป็นแค่ "ชาวบ้านชั้นดี" ธรรมดาๆเท่านั้น (ยังตัดละกามฉันทะไม่ได้เลย)
แต่ส่วนมากเขาจะไม่สึกเท่านั้นเอง เพราะวิถีชีวิตของฆราวาสมีความวุ่นวายมาก เป็นทางคับแคบ
การสึกเคลื่อนออกจากความเป็นเพศบรรตชิต จึงไม่อยากออก เพราะเขาคิดว่าอยู่ตรงนี้เหมาะสมดีแล้ว
(อย่าลืมว่าเขาบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันในขณะที่กำลังเป็นพระสงฆ์อยู่ เขาจึงพอใจในการถือครองศีลแบบพระ)
(แต่ถ้าเขาบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันในขณะที่เป็นฆราวาส เขาจะกอดเมียต่อไปก็ไม่แปลก เพราะว่าเขาพอใจในการถือครองศีล5แบบฆราวาสอยู่)
แต่ไม่ได้หมายความว่า "แม้ตายก็ไม่ยอมสึก" (เพราะอาจจะมีเหตุจำเป็นให้ต้องสึก เช่น สึกมาเพื่อดูแลพ่อแม่ หรืออาจจะสึกมาเพื่ออย่างอื่นก็ได้)
(เช่น อาจจะสึกออกมาเพื่อทำงานเพื่อศาสนาได้ถนัดมือกว่า เพราะอยู่ในกรอบศีลพระอาจจะทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก)
(ไฮไลท์ของประเด็นในเรื่องนี้ก็คือ คนที่เป็นพระโสดาบัน เขายังตัดละกามฉันทะไม่ได้เด็ดขาด เมื่อไม่ได้เด็ดขาด นั่นแสดงว่ายังมีโอกาสสึกอยู่)
พระอริยะเจ้าจะมีกำลังใจไม่ถอยหลัง ไม่มีเสื่อม มีคติที่แน่นอน
แม้ว่าเขาจะสึกออกมาแล้ว แต่จิตใจภายในของเขาก็ยังเป็นพระอริยะเจ้าอยู่ (ยังมั่นคงในพระรัตนตรัย และ มีศีลบริสุทธิ์เหมือนเดิม)
ไม่ใช่ว่าพอสึกออกมาแล้ว จะกลายเป็นเวียนกลับมาเป็นคนเลวซะที่ไหน ไม่ใช่อย่างนั้น
เขาก็แค่เปลี่ยนจากการถือศีล 227 ข้อ มาถือศีล5บริสุทธิ์ ตามหลักพระโสดาบันที่เป็นฆราวาสเท่านั้น คุณธรรมพระโสดาบันของเขาก็ยังอยู่เหมือนเดิม
คุณธรรมพระโสดาบันของเขาไม่ได้เสื่อมถอยลง (พุทธศาสนิกชน ถือศีลตามสถานะเฉยๆ ความเป็นพระอริยะเจ้าขึ้นอยู่กับจิตที่สะอาดภายใน)
ไม่อย่างนั้นฆราวาสจะเป็นพระอริยะเจ้ากันได้หรือ? เขาจะยืนอยู่ตรงจุดไหนของโลก จะห่มผ้าเหลืองอยู่ หรือใส่เสื้อยืด เขาก็ยังเป็นพระอริยะ
การสึกออกมาเป็นฆราวาส ไม่ได้ทำให้ความเป็นพระอริยะเจ้าของเขาเสื่อมถอยลง
เพราะฉนั้น คนที่เขามีจิตใจมั่นคง ไม่มีเสื่อมถอยแล้ว ถ้าเขาเห็นเหตุจำเป็นอันควร เขาจะสึกออกมาจัดการธุระก็ไม่แปลก
และข้อสำคัญ เขาก็รู้ด้วยว่า คนเราสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเพศฆราวาสได้
ไม่ใช่ว่าพอสึกออกมาเป็นฆราวาส แล้วคุณธรรมพระโสดาบันของเขาจะเสื่อมถอยลงกลายเป็นปุถุชน ซะที่ไหน?

ถ้าใช้ตรรกะของคำพูดของคุณในภาพด้านบนนี้ สงสัยโลกนี้คงจะไม่มีพระอริยะเจ้าที่เป็นฆราวาสเลยซักคนเดียว
(คุณเจ้าของกระทู้ คุณไม่มีความรู้เรื่องพระอริยะเจ้าที่เป็นฆราวาส คุณพูดเหมือนว่าจะต้องอยู่ในสถานะพระสงฆ์เท่านั้น ถึงจะเป็นพระอริยะเจ้าได้)
ในสมัยพุทธกาล ฆราวาสขอทานยังเป็นพระโสดาบันได้เลย จิตสะอาดมันอยู่ภายใน ไม่ใช่จะต้องไปถือศีล227ข้อ ถึงจะเป็นพระโสดาบันได้
และอย่าลืมว่า ฆราวาสสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเพศฆราวาสได้
มีจิตสะอาดหมดจดจากกิเลสเหมือนกับพระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ ได้เหมือนกันหมดทุกอย่าง
(เพียงแต่ฆราวาสเมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว จะอยู่ได้เพียงแค่ 1 วัน เพราะร่างกายของคนธรรมดาๆ จะไม่สามารถรองรับคุณวิเศษของความเป็นพระอรหันต์ได้ จะต้องบวชเป็นพระ ถือศีล227ข้อ ถึงจะอยู่ได้จนครบอายุขัยของตนเอง)
ไปอ่านต่อได้ที่ ==> https://pantip.com/topic/39265449/comment4
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
ขอบคุณท่านสะพานที่ให้ความคิดเห็นครับ
การเป็นพระภิกษุ ซึ่งเป็นเพศที่สูงยิ่ง
ผ้ากาสาวพัสตร์ คือธงชัยของพระอรหันต์
โดยสภาพจิตแล้ว พระโสดาบันย่อมมีความต้องการ อยู่ในสมณเพศมากกว่าเพศฆราวาส อันนี้เป็นที่เข้าใจตรงกัน
และ ผมก็ยอมรับอีกว่า หากจะให้พระอริยบุคคล แม้ขั้นโสดาบันจะให้ท่านสึก ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่หากจำเป็นจริงๆ เช่นต้องขับรถไปรับส่งพ่อแม่ ให้ไปถ่ายเลือดทุกวัน หรือออกมาทำมาหากินใช้หนี้ให้พ่อแม่
ผมว่า กรรมที่บีบคั้นบุคคลให้ต้องทำเรื่องไม่น่าปรารถนา มันก็มีมาก..... ผมก็คิดว่า เพื่อรักษา สารูปของสมณะ
ท่านก็ต้องทำในเรื่องที่ถูกต้อง
ท่านคงไม่สึกเพื่อกาม
ท่านคงไม่สึกเพื่อทรัพย์
แต่หากจะต้องสึก เพื่อรักษาธรรมไว้
ผมก็ยังคิดว่า ท่านควรจะทำ-อย่างที่ควรจะเป็น ไม่ได้ทำอย่างที่อยากให้เป็น
ปล..... หากพิจารณาตามพระสูตร ท่านก็ว่าพระโสดาบันไม่สึก ..... จริงตามนั้น
แต่ คำว่า เหตุจำเป็นจริงๆ.......อันนี้ก็ต้องพิจารณาว่า อะไรคือเหตุจำเป็นจริงๆ ที่ว่า
การเป็นพระภิกษุ ซึ่งเป็นเพศที่สูงยิ่ง
ผ้ากาสาวพัสตร์ คือธงชัยของพระอรหันต์
โดยสภาพจิตแล้ว พระโสดาบันย่อมมีความต้องการ อยู่ในสมณเพศมากกว่าเพศฆราวาส อันนี้เป็นที่เข้าใจตรงกัน
และ ผมก็ยอมรับอีกว่า หากจะให้พระอริยบุคคล แม้ขั้นโสดาบันจะให้ท่านสึก ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่หากจำเป็นจริงๆ เช่นต้องขับรถไปรับส่งพ่อแม่ ให้ไปถ่ายเลือดทุกวัน หรือออกมาทำมาหากินใช้หนี้ให้พ่อแม่
ผมว่า กรรมที่บีบคั้นบุคคลให้ต้องทำเรื่องไม่น่าปรารถนา มันก็มีมาก..... ผมก็คิดว่า เพื่อรักษา สารูปของสมณะ
ท่านก็ต้องทำในเรื่องที่ถูกต้อง
ท่านคงไม่สึกเพื่อกาม
ท่านคงไม่สึกเพื่อทรัพย์
แต่หากจะต้องสึก เพื่อรักษาธรรมไว้
ผมก็ยังคิดว่า ท่านควรจะทำ-อย่างที่ควรจะเป็น ไม่ได้ทำอย่างที่อยากให้เป็น
ปล..... หากพิจารณาตามพระสูตร ท่านก็ว่าพระโสดาบันไม่สึก ..... จริงตามนั้น
แต่ คำว่า เหตุจำเป็นจริงๆ.......อันนี้ก็ต้องพิจารณาว่า อะไรคือเหตุจำเป็นจริงๆ ที่ว่า
ความคิดเห็นที่ 5
ภิกษุผู้เจริญสติปัฏฐานไม่ลาสิกขา
[๑๒๗๙] สมัยหนึ่ง ท่านพระอนุรุทธะอยู่ ณ สลฬาคาร ใกล้พระนครสาวัตถี ณ
ที่นั้นแล ท่านพระอนุรุทธะเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วได้กล่าวว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เปรียบ
เหมือนแม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน เมื่อเป็นเช่นนั้น
หมู่มหาชนถือเอาจอบและตะกร้ามา ด้วยประสงค์ว่า จักทดแม่น้ำคงคาให้ไหลกลับ หลั่งกลับ
บ่ากลับ ดังนี้ ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน หมู่มหาชนนั้นจะพึงทดน้ำคงคาให้
ไหลกลับ หลั่งกลับ บ่ากลับ ได้บ้างหรือ?
ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า ไม่ได้ ขอรับ.
อ. เพราะเหตุไร?
ภิ. เพราะการที่จะทดแม่น้ำคงคาอันไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่
ทิศปราจีน ให้ไหลกลับ หลั่งกลับ บ่ากลับ มิใช่กระทำให้ง่าย หมู่มหาชนนั้นจะพึงเป็นผู้มีส่วน
แห่งความเหน็ดเหนื่อยลำบากเปล่าแน่นอน.
อ. ฉันนั้นเหมือนกัน ผู้มีอายุทั้งหลาย พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา มิตร
อมาตย์ ญาติหรือสาโลหิต จะพึงเชื้อเชิญภิกษุผู้เจริญ กระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔ ให้ยินดี
ด้วยโภคะว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ จงมาเถิด ท่านจะครองผ้ากาสาวะเหล่านี้อยู่ทำไม ท่านจะเป็นผู้มี
ศีรษะโล้นมือถือกระเบื้องเที่ยวบิณฑบาตอยู่ทำไม นิมนต์ท่านสึกมาบริโภคสมบัติและบำเพ็ญบุญ
เถิด ข้อที่ภิกษุผู้เจริญ ผู้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ จักลาสิกขาออกมานั้น มิใช่ฐานะที่จะ
มีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตที่น้อมไปในวิเวก โน้มไปในวิเวก โอนไปในวิเวก
ตลอดกาลนาน จักหวนสึก มิใช่ฐานะที่จะมีได้.
[๑๒๘๐] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ภิกษุย่อมเจริญ กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔
อย่างไร? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ... ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
อยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มี
สัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุย่อม
เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ อย่างนี้แล.
จบ สูตรที่ ๘
[๑๒๗๙] สมัยหนึ่ง ท่านพระอนุรุทธะอยู่ ณ สลฬาคาร ใกล้พระนครสาวัตถี ณ
ที่นั้นแล ท่านพระอนุรุทธะเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วได้กล่าวว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เปรียบ
เหมือนแม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน เมื่อเป็นเช่นนั้น
หมู่มหาชนถือเอาจอบและตะกร้ามา ด้วยประสงค์ว่า จักทดแม่น้ำคงคาให้ไหลกลับ หลั่งกลับ
บ่ากลับ ดังนี้ ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน หมู่มหาชนนั้นจะพึงทดน้ำคงคาให้
ไหลกลับ หลั่งกลับ บ่ากลับ ได้บ้างหรือ?
ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า ไม่ได้ ขอรับ.
อ. เพราะเหตุไร?
ภิ. เพราะการที่จะทดแม่น้ำคงคาอันไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่
ทิศปราจีน ให้ไหลกลับ หลั่งกลับ บ่ากลับ มิใช่กระทำให้ง่าย หมู่มหาชนนั้นจะพึงเป็นผู้มีส่วน
แห่งความเหน็ดเหนื่อยลำบากเปล่าแน่นอน.
อ. ฉันนั้นเหมือนกัน ผู้มีอายุทั้งหลาย พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา มิตร
อมาตย์ ญาติหรือสาโลหิต จะพึงเชื้อเชิญภิกษุผู้เจริญ กระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔ ให้ยินดี
ด้วยโภคะว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ จงมาเถิด ท่านจะครองผ้ากาสาวะเหล่านี้อยู่ทำไม ท่านจะเป็นผู้มี
ศีรษะโล้นมือถือกระเบื้องเที่ยวบิณฑบาตอยู่ทำไม นิมนต์ท่านสึกมาบริโภคสมบัติและบำเพ็ญบุญ
เถิด ข้อที่ภิกษุผู้เจริญ ผู้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ จักลาสิกขาออกมานั้น มิใช่ฐานะที่จะ
มีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตที่น้อมไปในวิเวก โน้มไปในวิเวก โอนไปในวิเวก
ตลอดกาลนาน จักหวนสึก มิใช่ฐานะที่จะมีได้.
[๑๒๘๐] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ภิกษุย่อมเจริญ กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔
อย่างไร? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ... ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
อยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มี
สัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุย่อม
เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ อย่างนี้แล.
จบ สูตรที่ ๘
ความคิดเห็นที่ 18

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณท่าน จขกท ที่ได้ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่า จะไปโยงกับประเด็นไหนหรือเปล่า
เมื่อได้อ่านทั้งความเห็นของเพื่อนสมาชิก ทั้งพระสูตรที่เพื่อนสมาชิกได้กรุณานำมาแสดง และผมได้นำความเห็นทั้งหลายไปไตร่ตรอง คิดอย่างถี่ถ้วน ก็ทำให้รู้ว่า เรื่องสมมุติที่ผมคิดเอง มันขาดเหตุผลรองรับจริงๆ
ทำให้รู้ว่า นายทำหมู ยังรู้ธรรมไม่ทั่วถึง ยังมีความคลาดเคลื่อน ผมก็ต้องขอโทษ และน้อมรับในการแสดงความเห็นที่ไม่ถูกต้อง...... และขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ที่ให้คำตักเตือนในกรณีของกระทู้เป็นอย่างมาก
สรุป......จากพระสูตร พระอริยบุคคล หากบวชแล้ว ย่อมไม่สึก.......เป็นคำที่ถูกต้องแล้ว
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณท่าน จขกท ที่ได้ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่า จะไปโยงกับประเด็นไหนหรือเปล่า
เมื่อได้อ่านทั้งความเห็นของเพื่อนสมาชิก ทั้งพระสูตรที่เพื่อนสมาชิกได้กรุณานำมาแสดง และผมได้นำความเห็นทั้งหลายไปไตร่ตรอง คิดอย่างถี่ถ้วน ก็ทำให้รู้ว่า เรื่องสมมุติที่ผมคิดเอง มันขาดเหตุผลรองรับจริงๆ
ทำให้รู้ว่า นายทำหมู ยังรู้ธรรมไม่ทั่วถึง ยังมีความคลาดเคลื่อน ผมก็ต้องขอโทษ และน้อมรับในการแสดงความเห็นที่ไม่ถูกต้อง...... และขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ที่ให้คำตักเตือนในกรณีของกระทู้เป็นอย่างมาก
สรุป......จากพระสูตร พระอริยบุคคล หากบวชแล้ว ย่อมไม่สึก.......เป็นคำที่ถูกต้องแล้ว
ความคิดเห็นที่ 4
นทีสูตร
ไม่มีผู้สามารถให้ผู้เจริญอริยมรรคกลับเป็นคนเลวได้
[๒๙๖] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน ครั้งนั้น หมู่มหาชนพา
กันถือเอาจอบและตะกร้ามาด้วยประสงค์ว่า พวกเราจักทำการทดแม่น้ำคงคานี้ให้ไหลกลับ ให้
หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน หมู่มหาชน
นั้นจะพึงทำการทดแม่น้ำคงคาให้ไหลกลับ ให้หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ ได้ละหรือ?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่ได้ พระเจ้าข้า.
พ. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร.
ภิ. เพราะแม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน
การที่จะทำการทดแม่น้ำคงคาให้ไหลกลับ ให้หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ มิใช่กระทำได้ง่าย แต่เป็น
การแน่นอนว่า หมู่มหาชนพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความลำบากยากแค้น แม้ฉันใด.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา มิตร สหาย หรือญาติ
สาโลหิต จะพึงเชื้อเชิญภิกษุผู้เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ผู้กระทำให้มากซึ่งอริยมรรค
อันประกอบด้วยองค์ ๘ ด้วยโภคะทั้งหลาย เพื่อนำไปตามใจว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ เชิญท่านมาเถิด
ท่านจะนุ่งห่มผ้ากาสายะเหล่านี้ทำไม? ท่านจะเป็นคนโล้นถือกระเบื้องเที่ยวไปทำไม? ท่านจงสึก
มาบริโภคโภคะและกระทำบุญเถิด ภิกษุผู้เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ผู้กระทำให้มาก
ซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นั้น จักลาสิกขาสึกออกเป็นคฤหัสถ์ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมี
ได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะว่าจิตที่น้อมไปในวิเวก โน้มไปในวิเวก โอนไปในวิเวก
ตลอดกาลนานนั้น จักสึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้.
[๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อม
กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ
ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.
ไม่มีผู้สามารถให้ผู้เจริญอริยมรรคกลับเป็นคนเลวได้
[๒๙๖] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน ครั้งนั้น หมู่มหาชนพา
กันถือเอาจอบและตะกร้ามาด้วยประสงค์ว่า พวกเราจักทำการทดแม่น้ำคงคานี้ให้ไหลกลับ ให้
หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน หมู่มหาชน
นั้นจะพึงทำการทดแม่น้ำคงคาให้ไหลกลับ ให้หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ ได้ละหรือ?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่ได้ พระเจ้าข้า.
พ. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร.
ภิ. เพราะแม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน
การที่จะทำการทดแม่น้ำคงคาให้ไหลกลับ ให้หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ มิใช่กระทำได้ง่าย แต่เป็น
การแน่นอนว่า หมู่มหาชนพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความลำบากยากแค้น แม้ฉันใด.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา มิตร สหาย หรือญาติ
สาโลหิต จะพึงเชื้อเชิญภิกษุผู้เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ผู้กระทำให้มากซึ่งอริยมรรค
อันประกอบด้วยองค์ ๘ ด้วยโภคะทั้งหลาย เพื่อนำไปตามใจว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ เชิญท่านมาเถิด
ท่านจะนุ่งห่มผ้ากาสายะเหล่านี้ทำไม? ท่านจะเป็นคนโล้นถือกระเบื้องเที่ยวไปทำไม? ท่านจงสึก
มาบริโภคโภคะและกระทำบุญเถิด ภิกษุผู้เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ผู้กระทำให้มาก
ซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นั้น จักลาสิกขาสึกออกเป็นคฤหัสถ์ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมี
ได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะว่าจิตที่น้อมไปในวิเวก โน้มไปในวิเวก โอนไปในวิเวก
ตลอดกาลนานนั้น จักสึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้.
[๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อม
กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ
ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.
แสดงความคิดเห็น
พระอริยบุคคล สึกได้ ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ?
ทำหมูครับ ยังยืนยันคำตอบเดิมอยู่หรือเปล่าครับ