เปิดกรุตำนานไทย

"เสือเย็น"



เชื่อว่าถ้าพูดถึงการแปลงร่างจาก มนุษย์เป็นสัตว์ หลายคนอาจจะนึกถึง มนุษย์หมาป่า หรือ เสือสมิง และก็มีอีกหลายคนเช่นกันที่อาจจะไม่เคยได้ยินชื่อของ "เสือเย็น"  มาก่อนหรือบางคนอาจจะได้ยินมาบ้าง และคิดว่า เสือเย้น กับ เสือสมิง นั้นเหมือนกัน แต่ที่จริงทั้งสองเสือนั้น ต่างกันหลายอย่างเลย คือ เสือเย็น จะเป็นวิชาอาคมที่ใช้แปลงร่างเป็นเสือ แต่สามารถควบคุมสติของตนเองและไม่อาละวาดฆ่าคนได้ แต่ถ้าเป็นเสือสมิงจะไม่สามารถควบคุมสติของตนเองได้เมื่อกลายร่าง

ถึงกายจะเป็นเสือเหมือนกัน แต่เสือเย็นจะมีนัยน์ตาเป็นมนุษย์ ส่วนเสือสมิงจะมีนัยน์ตาเป็นจันทร์เสี้ยวเหมือนกับตาแมว ซึ่งตำนานของเสือสมิงนั้น ก็อาจเป็นเสือที่กินคนมาจำนวนมาก จนวิญญาณคนเข้าสิงทำให้สามารถจำแลงร่างเป็นคนได้บางครั้งหรือเสือสมิงก็คือคนที่ใช้อาคมเหมือนกับเสือเย้น แต่ด้วยไปทำผิดศีลผิดข้อห้ามต่อครูบาอาจารย์จนของเข้าตัวและต้องกลายเป็นเสือสมิงไป 

ส่วนการออกหากินนั้น ถ้าเป็นเสือที่เป็นสัตว์ป่าจริงๆ มันจะล่าเพื่อพอกินอิ่ม หรือ มื้อหนึ่งทำให้มันอยู่ไปได้หลายวัน แต่สำหรับเสือสมิงนั้นจะทำการล่าเพื่อความบันเทิงมากกว่า โดยจะเล่นและทำร้ายเหยื่อก่อนจับกินเป็นอาหาร และจะทำแบบนี้จนครบ 3 มื้อเช่นเดียวกับมนุษย์ และ เสือเย็น นั้นถ้าหิวก็จะกลับร่างเป็นคนก่อน แล้วไปหาผักผลไม้ในป่ากิน เมื่ออิ่มก็จะบริกรรมคาถากลับร่างเป็นเสือเย็นเหมือนเดิม และถ้าจะดื่มน้ำ เสือเย็นจะเอาปากจุ่มลงไปในน้ำเลย ไม่ใช้ลิ้นเลียน้ำเข้าปาก ซึ่งแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานทั่วไป

ชาวป่าชาวเขา มักจะบอกว่า เสือเย็นจะไม่ไล่ล่าคนเพื่อความสนุก แต่จะคอยดูแลปกปักษ์รักษาผู้คนที่เดินผ่านแนวป่า เพื่อไม่ให้ได้รับอันตราย หรือออกมาปกป้องพระธุดงค์ที่มาปฏิบัติธรรมในกลางป่า เพื่อป้องกันโจรผู้ร้ายหรือสัตว์ป่าเข้ามาทำร้ายด้วย  ซึ่งอาคมแปลงกายเป็นเสือนั้นจะต้องใช้คู่กับยันต์เสือต่างๆ


โดยจะขอยกตัวอย่างคือ คาถาเสือ๗ป็อดขึ้นมา  หมายถึงยันต์เสือนั้นประกอบด้วย 7 ส่วน คือ เท่าสี่ หางหนึ่ง อกหนึ่ง หัวหนึ่ง  จะมีการครอบหัวเสือและห่มหนังเสือระหว่างทำการสัก วันถัดมาก็สักอีก 7 วง เหมือนเดิมเป็นอันเสร็จพิธี ผู้ที่ลงอักขระนี้จะต้องปฏิบัติตามกฎ 3 ข้อนี้อย่างเคร่งครัด คือ ไม่ทำผิดต่อครูบาอาจารย์ไม่รักษาสัตย์ที่ให้ , ไม่กินเหล้าร่วมกับแก้วของคนอื่น หรือลอดชายกระโปรงหญิง  และห้ามอาบน้ำเจ็ดบ่อในวันเดือนดับ ถ้าละเมิดในสิ่งเหล่านี้ของก็จะเสื่อมและเข้าตัวจนทำให้กลายเป็นเสือสมิงในที่สุด
Cr.http://sudpaelk.blogspot.com/2019/04/blog-post_34.html

" ยักษ์แบกเสา" อาถรรพ์ดอนเมืองโทลเวย์

เชื่อว่าคนที่สัญจรไปมาบนถนนวิภาวดีคงจะต้องเคยสังเกตเห็นบางอย่างของ "เสาโทลเวย์" ที่แตกต่างไปจากเสาอื่น ซึ่งมีเสาอยู่ 2 ต้น ที่มี "รูปปั้นยักษ์ท่าทางเหมือนกำลังยืนแบกเสาอยู่"  บางคนอาจจะเคยรู้ที่มาของเสาแปลกๆ 2 ต้นนี้มาบาง แต่บางคนอาจจะยังไม่เคยทราบว่าแท้จริงแล้ว เพราะทางด่วนแห่งนี้เคยมีอาถรรพ์ถึงขั้นต้องสร้างยักษ์สองตนนี้ขึ้นมา

ซึ่งเรื่องราวอาถรรพ์สุดสยองนี้เกิดขึ้น เมื่อปี พ.ศ.  2535  ที่เริ่มมีการก่อสร้างดอนเมืองโทลเวย์ขึ้น ซึ่งในระหว่างการก่อสร้าง เกิดอุปสรรคขึ้นมากมาย ไม่ราบรื่น ติดขัด จนกระทั่งช่วงที่จะทำการยกเสาต้นนี้ขึ้น ก็เกิดอุปสรรคขึ้นอีก ทำอย่างไรก็ยกเสาไม่ขึ้น พอสร้างมาถึงแยกลาดพร้าว ต้องสร้างทางยกกระดับเหินข้ามแยกลาดพร้าว แต่สร้างเสาและคานได้ไม่กี่วันก็พังลงมาทับคนตาย ซึ่งเกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่หลายครั้ง ทั้งที่ทำถูกต้องตามหลักวิศวกรรมทุกประการก็ยังไม่ดีขึ้น โดยเจอเหตุการณ์ทั้งคานถล่มสร้างต่อไม่ได้ มีคนงานก็เสียชีวิตจำนวนมาก เสาก็ยกขึ้นไม่ได้ซะอย่างนั้น แยกอื่นไม่มีปัญหาอะไรยกเว้นแยกลาดพร้าว จึงมีผู้แนะนำให้ปั้นรูปยักษ์ แบกถนนไว้ที่เสาเพื่อแก้เคล็ด

เมื่อมีผู้แนะนำเช่นนั้น ต่อมาทางโครงการได้ขอให้ "กรมศิลปากร"  ช่วยปั้น "ยักษ์สองตนนี้" ขึ้นมาโดยการแกะสลัก "ยักษ์ทำท่าแบกเสา" ปรากฏว่าเกิดเรื่องเหลือเชื่อขึ้นอย่างมาก เพราะเมื่อแกะสลักรูปยักษ์เสร็จ เสาต้นนั้นก็ยกขึ้นอย่างง่ายดาย และสถานะการเงินของโครงการดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้คนต่างใช้งานทางด่วนแห่งนี้มากขึ้น และไม่ค่อยมีอุบัติเหตุอย่างเมื่อก่อนและในปัจจุบันยักษ์แบกเสาก็ยังคงอยู่ที่เดิม ทางลงสะพานข้ามแยกสุทธิสารฝั่งขาออก 1 ตน และ ทางลงสะพานข้ามห้าแยกลาดพร้าวฝั่งขาเข้า 1 ตน
ข้อมูลจาก : clipmass
Cr.https://www.tsood.com/contents/156396

ตำนานความรัก ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน

ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยนางนอน จังหวัดเชียงราย นักธรณีวิทยาได้จัดลำดับให้ ถ้ำหลวงเป็นถ้ำที่ยาวเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย ด้วยความยาวทั้งหมด 10,316 เมตร เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ มีน้ำซับตลอดทั้งปี และจะมีน้ำไหลในช่วงฤดูฝน
      ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยสวยงาม เกล็ดหินสะท้อนแสง ธารน้ำและถ้ำลอด ถ้ำหลวงจึงเป็นหนึ่งในถ้ำที่ยังคงมีการสำรวจจากนักท่องเที่ยวอยู่ตลอด เพราะยังไม่มีใครเคยไปถึงจุดที่ลึกที่สุด และมีค้างคาวอาศัยอยู่ด้วย
 
ตำนานของถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน :
ตำนานที่ 1
      เจ้าหญิงแห่งเมืองเชียงรุ้ง สิบสองปันนา รักกับชายเลี้ยงม้าในวัง และทรงครรภ์ จึงหนีตามกันไปจนถึงที่ราบใกล้แม่น้ำโขง ขณะนั้นเจ้าหญิงก็ทรงครรภ์ได้หลายเดือนแล้วจึงเดินทางต่อไม่ไหว ชายหนุ่มจึงอาสาออกไปหาอาหารมาให้ แต่หายไปไม่กลับมาอีกเลย
      เจ้าหญิงโดนทหารของพระราชบิดา มาล้อมจับได้ และทราบข่าวว่าชายคนรักถูกฆ่าโดยทหารของพระราชบิดาไปแล้วในป่า นางเสียใจมาก เลยเอาปิ่นปักผมแทงพระเศียรตนเอง จนเลือดไหลออกมาเป็นสาย กลายเป็น “แม่น้ำแม่สาย” ร่างที่นอนเหยียดยาวจากทิศใต้จรดทิศเหนือ ก็กลายเป็น “ดอยนางนอน” และตรงท้องที่นูนขึ้นมาก็เป็น “ดอยตุง” อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้

ตำนานที่ 2
       พญานาคตัวหนึ่งออกตามหาลูกสาวที่ถูกพญาครุฑลักพาตัวไป จนพบลูกสาวนอนอยู่ตรงบริเวณที่เป็นต้นน้ำ ปัจจุบันเรียกว่า “ขุนน้ำนางนอน” พญานาคขอลูกสาวคืน แต่พญาครุฑขอแลกตัวนางกับทองคำ
ทุกวันนี้แหล่งน้ำที่พญานาคนำทองคำขึ้นจากบาดาลนั้นเรียกว่า “หนองตานาค” บริเวณที่พญานาคส่งทองคำให้พญาครุฑเรียกว่า “หนองละกา” ส่วนทองคำถูกนำไปเก็บไว้ที่ “ถ้ำทรายทอง” และพญานาคยังได้สร้างเจดีย์ เป็นอนุสรณ์ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “พระธาตุจอมนาค” จนถึงปัจจุบัน
 
ตำนานที่ 3
      เจ้าหญิงเมืองพุกาม กรีธาทัพออกตามหาเจ้าชายที่นางรัก นางออกรบ และขยายอาณาเขตมาเรื่อยๆ จนมาถึง “เวียงสี่ทวง” จึงพบกับเจ้าชาย แต่ปรากฏว่าเจ้าชายหนีหายไปกับสาวสวยชาวเวียงนี้อีกครั้ง นางรู้สึกเศร้าสลดจนตรอมใจตาย
       ก่อนตายได้ตั้งจิตอธิษฐานให้ร่างของนางกลายเป็นเทือกเขา ที่ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ดอยนางนอน” น้ำตาที่ไหลรินกลายเป็น “ขุนน้ำนางนอน” ส่วนไพร่พลของนางก็กลายมาเป็นชนเผ่าหลากชาติพันธุ์บนภูเขาแห่งนี้นั่นเอง
Cr.https://travel.trueid.net/detail/vW904k0xpp7G

ตำนานที่มาของคำว่า หมอชิต

หลายคนคงคุ้นเคยกับสถานีขนส่งหมอชิตเป็นแน่เพราะเป็นสถานที่หลักในการรับส่งผู้คนกลับภูมิลำเนาไม่ว่าจะภาคไหนจังหวัดอะไรต้องมาลงที่นี่เสมอ  แต่ใครจะรู้บางว่าคำว่าหมอชิตนั้นมีที่มาที่ไปจากอะไร

หมอชิตหรือนายชิต นภาศัพท์ เป็นคนบางพระ จังหวัดชลบุรี โดยก่อนหน้านี้พื้นที่บริเวณหมอชิต นั้นเป็นตลาดนัดผลไม้ซึ่งชาวสวนนิยมนำมาขายกัน เรียกตลาดนัดหมอชิต จนมาเปลี่ยนเป็นสถานีขนส่งเอาตอนหลังจึงเรียกตามชื่อเจ้าของพื้นที่คือหมอชิตว่า สถานีขนส่งหมอชิต

หมอชิตนั้นยังเป็นผู้ผลิตยานัตถุ์หมอชิตอีกด้วย ก่อนหน้าที่จะมาผลิตยานัตถุ์ท่านเคยทำงานเป็นเสมียนที่ห้างเต็กเฮงหยู ก่อนย้ายมาห้างเพ็ญภาค จนเมื่อเริ่มแต่งงานจึงคิดถึงความก้าวหน้าเลยออกมาเปิดร้านเป็นของตัวเองโดยเริ่มจากหน้าวัดมหรรณพารามใช้เครื่องหมายการค้าตรามังกร หลังจากนั้นได้ย้ายไปอยู่เสาชิงช้า ก่อนจะมาเปิดร้านที่ปากคลองตลาด ในสมัยนั้นชาวบ้านจะรู้จักกันดีในชื่อร้านขายยาตรามังกร

ช่วงนี้เองที่ได้ตำรายาโบราณจากบรรพบุรุษมาจึงคิดปรุงยานัตถุ์ขาย จนเป็นที่นิยมจากกิจการเล็กๆ สู่กิจการที่มีความเจริญก้าวหน้า จนตั้งเป็นโรงงานปรุงยาที่บ้านถนนเพชรบุรี ปัจจุบัน ได้เปลี่ยนมาดำเนินในรูปบริษัทยานัตถุ์หมอชิตแทน

หมอชิตนั้นเป็นต้นแบบของคนขยันมีความคิดหัวก้าวหน้าไม่อยู่กับที่ จากเสมียนสู่นายห้างจนเป็นพ่อค้าร่ำรวย ทำประโยชน์ต่อสังคมมากมาย ทั้งยังเป็นกรรมการสมาคมพ่อค้าไทย และเมื่อทางราชการพระราชทานตั้งยศพ่อค้าไทย
หมอชิตได้รับแต่งตั้งเป็นชั้นเอกทางพานิชกรรมท่านถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ.2496 เมื่อมีอายุได้ 58 ปี
Cr.https://topmanman.blogspot.com/2017/10/blog-post.html

“ตำนานเสือดำมักกะสัน”

“ตำนานเสือดำมักกะสัน” เรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นกลางกรุง
ย้อนกลับเมื่อประมาณ 40 ปี ประมาณช่วงปี พ.ศ. 2521 เคยมีข่าวครึกโครมว่ามีผู้พบเห็นเสือดำตัวหนึ่ง เดินไปมาอยู่กลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร

เรื่องราวของเจ้าเสือดำที่อยู่ผิดที่ผิดเวลานี้เกิดขึ้นที่บริเวณโรงซ่อมรถไฟ และเป็นสุสานรถไฟที่รวบรวมซากรถไฟเก่าที่หมดวาระ ซึ่งเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย พื้นที่บริเวณนั้นมีสภาพเป็นป่ากลางเมืองเต็มไปด้วยต้นไม้ ชาวบ้านที่พักอาศัยย่านนั้นได้พบกับเหตุการณ์ผิดปกติคือสัตว์เลี้ยงที่ไว้หายไปอย่างไร้ร่องรอยทีละตัวสองตัวในเวลาไล่เลี่ยกัน 

จนมีข่าวลือกันหนาหูว่ามีคนพบเสือดำเดินเพ่นพ่านอยู่แถวสุสานรถไฟมักกะสัน สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าไปดักจับเสือดำตัวนั้นอยู่หลายครั้งแต่กลับไม่พบ ทำให้เกิดข่าวลือไปในทางไสยศาสตร์ว่าเสือดำตัวนี้อาจเป็นเสือสมิง จนกระทั่งในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็สามารถจับเจ้าเสือดำได้จริงๆ ทำให้ชาวบ้านต่างโล่งใจไปตามๆ กัน

แต่อีก 2 ปีต่อมา ความจริงก็ปรากฏว่าเป็นเสือดำตัวนั้นเป็นเสือที่เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ซื้อมาในราคา 3,000 บาท และนำมาปล่อยไว้เองเพื่อผลทางจิตวิทยา ก่อนจะจับไปปล่อยไว้ในป่าห้วยขาแข้ง จึงถือเป็นบทสรุปคลายความสงสัยให้กับประชาชนและเป็นการปิดตำนานเสือดำมักกะสัน
ที่มาข้อมูลและภาพประกอบจาก photoontour9.com และ th.wikipedia.org
Cr.https://www.ch3thailand.com/news/scoop/10671
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่