
ผมมีกิจกรรมที่น่าสนใจอยากนำมาเล่าเพื่อเผยแพร่ข้อมูล ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีจิตสาธารณะ ผู้ใจบุญที่ชอบช่วยเหลือบุคคลอื่น และผู้ที่อยากทำให้สังคมของเราดีขึ้น โดยกิจกรรมที่ผมตั้งใจนำเสนอนี้มีชื่อว่า “ติดคุกเพียงกาย แต่ใจอิสระด้วยหนังสือ” จริงๆ แล้วชื่อนี้เป็นหัวข้อหนึ่งของเวทีเสวนาที่จัดในงานจตุรัสจามจุรีบุ๊คแฟร์ ครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ณ โถงชั้น G อาคารจามจุรีสแควร์ จัดโดยศูนย์หนังสือแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เนื้อหาของเวทีเสวนานี้เป็นงานกิจกรรมสาธารณะประโยชน์เพื่อสังคม จัดโดยมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก โดยพี่ตุ๊บปอง เรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป เป็นกิจกรรมที่ต่อยอดมาจาก “โครงการหนังสือเล่มแรก” ที่พี่ตุ๊บปองทำต่อเนื่องมานานกว่า 16 ปีแล้ว ในปีนี้พี่ตุ๊บปองและคณะที่ประกอบด้วยคุณแม่ซึ่งประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกน้อยด้วยวิธีการอ่านหนังสือให้ฟังแต่เล็ก คณะของพี่ตุ๊บปองติดต่อผ่านกรมราชทัณฑ์เพื่อขอเข้าไปสอนให้คุณแม่ที่กำลังท้องและคุณแม่ที่มีลูกน้อยซึ่งอยู่ระหว่างถูกคุมขังต้องโทษในเรือนจำหลายแห่ง เพื่อที่คุณแม่เหล่านั้นได้รู้จักวิธีการเลี้ยงลูกด้วยการอ่านหนังสือ “ตามแนวคิด อ่าน ท่อง ร้อง เล่น” เพื่อเสริมพัฒนาการที่ดีของลูกน้อย

ตัวผมได้มีโอกาสไปฟังพี่ตุ๊บปองพูดเวทีเสวนาแล้วก็สนใจกิจกรรมนี้เป็นพิเศษ ผมจึงขออนุญาตพี่ตุ๊บปองตามเข้าไปสังเกตการณ์การทำกิจกรรมในเรือนจำด้วย ซึ่งผมได้ไปร่วมกิจกรรมมาครั้งหนึ่ง ณ ทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำกลางคลองเปรม ผมจึงนำข้อมูลทั้งหมดมาเรียบเรียงเพื่อนำเสนอเป็นเรื่องราวผ่านกระทู้นี้ โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่สาธารณะชนทั่วไปด้วย
โดยเนื้อหาในกระทู้นี้ผมขออนุญาตแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนแรกจะเป็นข้อมูลจากเวทีเสวนาในหัวข้อ “ติดคุกเพียงกาย แต่ใจอิสระด้วยหนังสือ” ที่จะทำให้เห็นภาพรวมขงกิจกรรมในครั้งี้ , ส่วนที่สองจะเป็นรายละเอียดเผยแพร่อย่างเป็นทางการของ “โครงการแม่ในคุก ลูกในครรภ์ ชวนกันอ่านหนังสือ” ที่จัดโดย มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก ร่วมกับศูนย์หนังสือแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , แปลน ฟอร์ คิดส์ และพี่ตุ๊บปอง สำหรับผู้ใจบุญที่อยากร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย ส่วนที่สามจะเป็นบันทึกความรู้สึกส่วนตัวของผม ในฐานะที่ได้เข้าไปสังเกตการณ์กิจกรรมในทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำกลางคลองเปรม เพื่อให้เห็นภาพของงานกิจกรรมจริงๆ ว่าเป้นอย่างไรบ้าง
(ข้อมูลและรายละเอียดที่ปรากฏอยู่ในกระทู้นี้ อาจจะไม่ถูกต้องและครบถ้วนตามที่ท่านวิทยากรและท่านผู้คุมพูดทุกคำพูด ผมใช้วิธีจดบันทึกและนำมาเขียนเรียบเรียงขึ้นใหม่ โดยตัดลดทอนบางส่วนออกและเสริมข้อมูลบางส่วนเพิ่มเข้าไป เป็นการเขียนผ่านความรู้สึกส่วนตัวในการเล่าเรื่อง ดังนั้นถ้ามีข้อมูลใดผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ผมก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ขอขอบคุณครับ)

ส่วนที่ 1
งานเสวนาในหัวข้อ “ติดคุกเพียงกาย แต่ใจอิสระด้วยหนังสือ” วิทยากรโดยพี่ตุ๊บปอง เรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป , แม่กบ คุณพนิตนาฏ ศิริหาญยากร และแม่ย้ง คุณลลิตา เจริญวุฒิวงษา ภายในงานจตุรัสจามจุรีบุ๊คแฟร์ ครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ณ โถงชั้น G อาคารจามจุรีสแควร์ จัดโดยศูนย์หนังสือแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พี่ตุ๊บปอง เรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป
พี่ตุ๊บปอง เรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป
-ทางมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก เริ่มทำโครงการหนังสือเล่มแรก Book start ตั้งแต่ปี 2546 ตอนนั้นทำทั่วประเทศ โดยการมอบหนังสือให้แก่เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน ให้คุณแม่เอาไปอ่านให้ลูกฟังควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่ สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการหนังสือเล่มแรก ดูได้จากกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/39235395
-โครงการหนังสือเล่มแรกนั้น พี่ตุ๊บปองได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 16 ปีแล้ว โดยมีโครงการหนึ่งที่เกี่ยวข้องซึ่งพี่ตุ๊บปองมีความตั้งใจว่าจะทำมากคือ โครงการหนังสือเล่มแรกที่ทำให้แม่ที่ท้องอยู่ในคุก โดยตั้งชื่อโครงการไว้ว่า “แม่อยู่ในคุก ลูกอยู่ในครรภ์” (ตั้งชื่อโครงการโดยแม่ชีศันสนีย์) โดยได้ทำการขออนุญาตกรมราชทัณฑ์เพื่อขอเข้าไปทำโครงการฯ กับคุณแม่ที่อยู่ในคุก โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และภาคีเครือข่ายหนังสือเด็กต่างๆ มาร่วมมือกัน
-“โครงการแม่อยู่ในคุก ลูกอยู่ในครรภ์” นี้เป็นความตั้งใจของพี่ตุ๊บปอง โดยเริ่มต้นที่ทัณฑสถานหญิงกลางก่อน พี่ตุ๊บปองคิดถึงเด็กๆ ที่อยู่นอกสายตาของสังคม อยากให้เด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้นโดยได้ความรักความอบอุ่นจากแม่เหมือนเด็กทั่วๆ ไป โดยครั้งแรกที่เข้าไปในเรือนจำนั้นพี่ตุ๊บปองเข้าไปกอดบรรดาคุณแม่เหล่านั้น เพื่อให้เข้าได้รับความรู้สึกว่าเขาก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่ได้ถูกทอดทิ้งจากสังคมเลย

แม่กบ คุณพนิตนาฏ ศิริหาญยากร
แม่กบ คุณพนิตนาฏ ศิริหาญยากร
-ตอนที่พี่ตุ๊บปองติดต่อมาเชิญให้ไปช่วยในกิจกรรมนี้ ความรู้สึกแรกก็คิดว่า “เข้าไปชวนเขาอ่านหนังสือเหรอ? ดีจังเลย” เพราะลูกชายของแม่กบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กๆ เรารู้ว่าสิ่งที่จะทำให้ลูกมีประกายตาที่แวววาวก็คือ ของเล่นทุกรูปแบบ ตั้งแต่ชิ้นใหญ่ไปจนถึงชิ้นเล็ก ถัดมาคือหนังสือ ถัดมาคือกระดาษเอสี่เป็นรีมๆ และดินสอสี ดังนั้นพอมีคนมาชวนว่า “ไปชวนแม่ในคุกอ่านหนังสือให้ลูกฟังกันเถอะ” เราจะรู้สึกดีมากเลย เพราะว่าที่ผ่านมาเรารู้ว่าลูกเราเติบโตมากับหนังสือ จนกลายเป็นเด็กที่ดีได้อย่างไร
-เราอยากเห็นผู้ใหญ่อ่านหนังสือเป็นเล่มๆ อยากให้อ่านเกิน 8 บรรทัด อ่านให้เกิดแรงบันดาลใจต่างๆ แล้วเราก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีเด็กที่เกิดในคุกด้วย เด็กเหล่านั้นก็ควรจะได้รับโอกาสในการอ่านหนังสือด้วยเช่นกัน ตอนที่ได้เข้าไปในคุกนั้น ตอนแรกก็คิดแบบไม่แน่ใจว่าเราจะช่วยอะไรเขาบ้างไหม? แต่พอพี่ตุ๊บปองบอกว่า พี่ตุ๊บปองทำงานแบบนี้มานาน พี่ตุ๊บปองให้ใช้หัวใจนำทางมาตลอด เราจึงรู้สึกว่าเราสัมผัสได้นะ เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนี้ด้วย
-พอได้เข้าไปทำกิจกรรมชวนแม่อ่านหนังสือในคุกแล้ว เวลาที่เราเจอคนที่เป็นแม่เหมือนกับตัวเรา มีความเป็นแม่เหมือนกัน มันก็สื่อสารกันได้ง่ายขึ้น ปกติแล้วส่วนตัวเราเป็นคนที่ชอบคุยถึงเนื้อถึงตัว ประมาณว่าพูดคุยไปจับแขนหรือโอบเอวคนที่คุยด้วยตลอด พอคิดว่าจะต้องเข้าไปเจอคุณแม่ที่อยู่ในคุกแล้ว ใจหนึ่งมันก็กล้าๆ กลัวๆ อยู่เหมือนกัน แต่พอได้เข้าไปทำกิจกรรมข้างในคุกแล้ว ได้เห็นแล้วว่าพวกเขาก็เป็นแม่เหมือนกับเรา เขาก็รักลูกของเขาเหมือนที่เรารักลูกของเรา ดังนั้นความรู้สึกลังเลไม่มั่นใจมันค่อยๆ หมดไปเอง
-ตอนที่เข้าไปทำกิจกรรมให้คุณแม่ที่อยู่ในคุกนั้น สิ่งหนึ่งที่เขาไม่อาจจะปกปิดเราได้คือภาษากาย คุณแม่ในคุกเหล่านั้นเขารู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาในทันทีที่เราเข้าไปหาพวกเขา ดังนั้นพอเราไปในครั้งต่อๆ ไป (ไปทุก 2 เดือน) เรารู้สึกได้ว่าคุณแม่เหล่านี้เขาเฝ้าคอยเรา คอยว่าเมื่อไหร่เราจะเข้าไปหาเขาอีก ความรู้สึกแบบนี้มันมีค่าสำหรับผู้ให้และผู้รับเป็นอย่างมาก
-ยิ่งตอนที่เห็นคุณแม่ในคุกเขาเอาลูกนั่งบนตักแล้วอ่านหนังสือให้ลูกฟังนั้น มันรู้สึกว่าหัวใจของคนเป็นแม่อย่างเราก็เต้นแรงและอิ่มเอมตามไปด้วยเช่นกัน
-ฝากถึงผู้ที่มีจิตศรัทธาอยากจะบริจาคหนังสือเข้าร่วมกับโครงการฯ นี้ อยากจะบอกว่าทุกคนสามารถมีส่วนช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นได้ โลกใบนี้ยังต้องการน้ำใจจากท่านทั้งหลายอีกเยอะ ส่วนตัวเชื่อว่าหัวใจของการให้นั้นสามารถส่งต่อไปถึงมือของผู้รับได้เสมอ

แม่ย้ง คุณลลิตา เจริญวุฒิวงษา
แม่ย้ง คุณลลิตา เจริญวุฒิวงษา
-ตอนนั้นพี่ตุ๊บปองมาชวน เขาจะให้ร่วมกิจกรรมอะไรเราก็ยินดีทำร่วมกับพี่ตุ๊บปองทั้งหมด พี่ตุ๊บปองจึงชวนเข้าไปทำกิจกรรมในคุกด้วยกัน ก็รับปากพี่ตุ๊บปองและไปร่วมกิจกรรมด้วย ซึ่งในครั้งแรกที่ได้เข้าไปนั้น ตัวเองรู้สึกว่าสายตาของพวกคุณแม่ที่อยู่ในคุกนั้น เฝ้ามองเราด้วยความสงสัยว่าพวกเรา(ทีมของพี่ตุ๊บปอง)เป็นใคร? และจะเข้ามาทำอะไร? แต่พอพวกเขารู้ว่าเราจะมาช่วยเขา เราจะมาให้โอกาสแก่เขา สายตาของเขาก็ยอมรับเรามากขึ้น
-การทำกิจกรรมในคุกแบบนี้ เหมือนว่าเราหยิบเอาหนังสือไปส่งให้แก่มือเขา เราพูดคุยบอกเขาว่าหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์อย่างไรแก่ลูกน้อยของเขา ช่วยสอนวิธีการอ่าน ท่อง ร้อง เล่น ตามหลักสูตรของพี่ตุ๊บปอง สอนให้เขารู้ว่าเขาจะเอาหนังสือเล่มนี้ไปเล่นกับลูกได้อย่างไร?
-การทำให้ใครสักคนรู้สึกว่าเขามีตัวตนอยู่ในสังคม และทำให้เขารู้ว่าการเป็นแม่นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสะท้อนกลับมายังใจของผู้ให้เช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดในเวลานั้นก็คือการแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการคลอดลูก แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกด้วยหนังสือ บอกเขาว่าหนังสือทำให้ลูกเราดีขึ้นอย่างไร
-ฝากถึงผู้ที่มีจิตศรัทธาอยากจะบริจาคหนังสือเข้าร่วมกับโครงการฯ นี้ แค่ท่านซื้อหนังสือมาบริจาคให้แค่เล่มเดียว ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาได้แล้ว คณะผู้ทำงานยังต้องการหนังสืออีกจำนวนมาก ที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการทำกิจกรรมฯ ในครั้งต่อๆ ไป

พี่ตุ๊บปอง เสริมต่อท้ายว่า
-จริงอย่างที่แม่ย้งบอกว่า การทำให้ใครสักคนรู้สึกว่าเขามีตัวตนอยู่ในสังคมนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรารู้ว่าคุณแม่ที่เพิ่งผ่านการคลอดลูกมาจะมีอารมณ์ที่แปรปวนมาก การท้องทำให้การผลิตฮอร์โมนผิดปกติ อาจทำให้หลังคลอดบุตรเกิดมีสภาวะซึมเศร้าได้ ยิ่งเวลาที่คุณแม่ซึมเศร้าจนร้องไห้แล้วไม่มีลูกให้กอดนั้น มันจะเป็นทุกข์มากยิ่งขึ้นก็ได้
-พี่ตุ๊บปองบอกว่า ตอนนี้โครงการ “แม่อยู่ในคุก ลูกอยู่ในครรภ์” นี้กำลังเงินติดลบ ไม่มีหน่วยงานมาให้ทุนสนับสนุนเพิ่มเติมเลย แต่เราต้องทำโครงการนี้ต่อไป เพราะเรารู้สึกว่าเราต้องช่วยเขา(แม่ที่อยู่ในคุก) ถ้าเราไม่ช่วยแล้วเขาอาจจะแย่ได้ และเราก็คิดว่าลูกทุกคนคือเด็กของแผ่นดิน ไม่ว่าลูกน้อยจะเกิดอยู่ที่ใดก็ตาม
-ตอนนี้เราอยากหนังสือเพิ่มเติมจำนวนมาก โดยเป็นหนังสือเล่มที่เราต้องการใช้ทำกิจกรรม เช่น “ตั้งไข่ล้ม” , “กระต๊าก กระต๊าก” , “ติ๊กต่อก” , “กล่อมลูกน้อย” ฯลฯ เพื่อเอาเข้าไปให้คุณแม่ที่อยู่ในคุก เราอยากให้เขา “ติดคุกเพียงกาย แต่ใจอิสระด้วยหนังสือ” เราตั้งใจทำให้ได้อย่างนี้จริงๆ
ติดคุกเพียงกาย แต่ใจอิสระด้วยหนังสือ ... "โครงการแม่ในคุก ลูกในครรภ์ ชวนกันอ่านหนังสือ"
เนื้อหาของเวทีเสวนานี้เป็นงานกิจกรรมสาธารณะประโยชน์เพื่อสังคม จัดโดยมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก โดยพี่ตุ๊บปอง เรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป เป็นกิจกรรมที่ต่อยอดมาจาก “โครงการหนังสือเล่มแรก” ที่พี่ตุ๊บปองทำต่อเนื่องมานานกว่า 16 ปีแล้ว ในปีนี้พี่ตุ๊บปองและคณะที่ประกอบด้วยคุณแม่ซึ่งประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกน้อยด้วยวิธีการอ่านหนังสือให้ฟังแต่เล็ก คณะของพี่ตุ๊บปองติดต่อผ่านกรมราชทัณฑ์เพื่อขอเข้าไปสอนให้คุณแม่ที่กำลังท้องและคุณแม่ที่มีลูกน้อยซึ่งอยู่ระหว่างถูกคุมขังต้องโทษในเรือนจำหลายแห่ง เพื่อที่คุณแม่เหล่านั้นได้รู้จักวิธีการเลี้ยงลูกด้วยการอ่านหนังสือ “ตามแนวคิด อ่าน ท่อง ร้อง เล่น” เพื่อเสริมพัฒนาการที่ดีของลูกน้อย
โดยเนื้อหาในกระทู้นี้ผมขออนุญาตแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนแรกจะเป็นข้อมูลจากเวทีเสวนาในหัวข้อ “ติดคุกเพียงกาย แต่ใจอิสระด้วยหนังสือ” ที่จะทำให้เห็นภาพรวมขงกิจกรรมในครั้งี้ , ส่วนที่สองจะเป็นรายละเอียดเผยแพร่อย่างเป็นทางการของ “โครงการแม่ในคุก ลูกในครรภ์ ชวนกันอ่านหนังสือ” ที่จัดโดย มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก ร่วมกับศูนย์หนังสือแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , แปลน ฟอร์ คิดส์ และพี่ตุ๊บปอง สำหรับผู้ใจบุญที่อยากร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย ส่วนที่สามจะเป็นบันทึกความรู้สึกส่วนตัวของผม ในฐานะที่ได้เข้าไปสังเกตการณ์กิจกรรมในทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำกลางคลองเปรม เพื่อให้เห็นภาพของงานกิจกรรมจริงๆ ว่าเป้นอย่างไรบ้าง
(ข้อมูลและรายละเอียดที่ปรากฏอยู่ในกระทู้นี้ อาจจะไม่ถูกต้องและครบถ้วนตามที่ท่านวิทยากรและท่านผู้คุมพูดทุกคำพูด ผมใช้วิธีจดบันทึกและนำมาเขียนเรียบเรียงขึ้นใหม่ โดยตัดลดทอนบางส่วนออกและเสริมข้อมูลบางส่วนเพิ่มเข้าไป เป็นการเขียนผ่านความรู้สึกส่วนตัวในการเล่าเรื่อง ดังนั้นถ้ามีข้อมูลใดผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ผมก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ขอขอบคุณครับ)
งานเสวนาในหัวข้อ “ติดคุกเพียงกาย แต่ใจอิสระด้วยหนังสือ” วิทยากรโดยพี่ตุ๊บปอง เรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป , แม่กบ คุณพนิตนาฏ ศิริหาญยากร และแม่ย้ง คุณลลิตา เจริญวุฒิวงษา ภายในงานจตุรัสจามจุรีบุ๊คแฟร์ ครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ณ โถงชั้น G อาคารจามจุรีสแควร์ จัดโดยศูนย์หนังสือแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
-ทางมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก เริ่มทำโครงการหนังสือเล่มแรก Book start ตั้งแต่ปี 2546 ตอนนั้นทำทั่วประเทศ โดยการมอบหนังสือให้แก่เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน ให้คุณแม่เอาไปอ่านให้ลูกฟังควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่ สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการหนังสือเล่มแรก ดูได้จากกระทู้นี้ https://pantip.com/topic/39235395
-โครงการหนังสือเล่มแรกนั้น พี่ตุ๊บปองได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 16 ปีแล้ว โดยมีโครงการหนึ่งที่เกี่ยวข้องซึ่งพี่ตุ๊บปองมีความตั้งใจว่าจะทำมากคือ โครงการหนังสือเล่มแรกที่ทำให้แม่ที่ท้องอยู่ในคุก โดยตั้งชื่อโครงการไว้ว่า “แม่อยู่ในคุก ลูกอยู่ในครรภ์” (ตั้งชื่อโครงการโดยแม่ชีศันสนีย์) โดยได้ทำการขออนุญาตกรมราชทัณฑ์เพื่อขอเข้าไปทำโครงการฯ กับคุณแม่ที่อยู่ในคุก โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และภาคีเครือข่ายหนังสือเด็กต่างๆ มาร่วมมือกัน
-“โครงการแม่อยู่ในคุก ลูกอยู่ในครรภ์” นี้เป็นความตั้งใจของพี่ตุ๊บปอง โดยเริ่มต้นที่ทัณฑสถานหญิงกลางก่อน พี่ตุ๊บปองคิดถึงเด็กๆ ที่อยู่นอกสายตาของสังคม อยากให้เด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้นโดยได้ความรักความอบอุ่นจากแม่เหมือนเด็กทั่วๆ ไป โดยครั้งแรกที่เข้าไปในเรือนจำนั้นพี่ตุ๊บปองเข้าไปกอดบรรดาคุณแม่เหล่านั้น เพื่อให้เข้าได้รับความรู้สึกว่าเขาก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่ได้ถูกทอดทิ้งจากสังคมเลย
-ตอนที่พี่ตุ๊บปองติดต่อมาเชิญให้ไปช่วยในกิจกรรมนี้ ความรู้สึกแรกก็คิดว่า “เข้าไปชวนเขาอ่านหนังสือเหรอ? ดีจังเลย” เพราะลูกชายของแม่กบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กๆ เรารู้ว่าสิ่งที่จะทำให้ลูกมีประกายตาที่แวววาวก็คือ ของเล่นทุกรูปแบบ ตั้งแต่ชิ้นใหญ่ไปจนถึงชิ้นเล็ก ถัดมาคือหนังสือ ถัดมาคือกระดาษเอสี่เป็นรีมๆ และดินสอสี ดังนั้นพอมีคนมาชวนว่า “ไปชวนแม่ในคุกอ่านหนังสือให้ลูกฟังกันเถอะ” เราจะรู้สึกดีมากเลย เพราะว่าที่ผ่านมาเรารู้ว่าลูกเราเติบโตมากับหนังสือ จนกลายเป็นเด็กที่ดีได้อย่างไร
-เราอยากเห็นผู้ใหญ่อ่านหนังสือเป็นเล่มๆ อยากให้อ่านเกิน 8 บรรทัด อ่านให้เกิดแรงบันดาลใจต่างๆ แล้วเราก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีเด็กที่เกิดในคุกด้วย เด็กเหล่านั้นก็ควรจะได้รับโอกาสในการอ่านหนังสือด้วยเช่นกัน ตอนที่ได้เข้าไปในคุกนั้น ตอนแรกก็คิดแบบไม่แน่ใจว่าเราจะช่วยอะไรเขาบ้างไหม? แต่พอพี่ตุ๊บปองบอกว่า พี่ตุ๊บปองทำงานแบบนี้มานาน พี่ตุ๊บปองให้ใช้หัวใจนำทางมาตลอด เราจึงรู้สึกว่าเราสัมผัสได้นะ เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนี้ด้วย
-พอได้เข้าไปทำกิจกรรมชวนแม่อ่านหนังสือในคุกแล้ว เวลาที่เราเจอคนที่เป็นแม่เหมือนกับตัวเรา มีความเป็นแม่เหมือนกัน มันก็สื่อสารกันได้ง่ายขึ้น ปกติแล้วส่วนตัวเราเป็นคนที่ชอบคุยถึงเนื้อถึงตัว ประมาณว่าพูดคุยไปจับแขนหรือโอบเอวคนที่คุยด้วยตลอด พอคิดว่าจะต้องเข้าไปเจอคุณแม่ที่อยู่ในคุกแล้ว ใจหนึ่งมันก็กล้าๆ กลัวๆ อยู่เหมือนกัน แต่พอได้เข้าไปทำกิจกรรมข้างในคุกแล้ว ได้เห็นแล้วว่าพวกเขาก็เป็นแม่เหมือนกับเรา เขาก็รักลูกของเขาเหมือนที่เรารักลูกของเรา ดังนั้นความรู้สึกลังเลไม่มั่นใจมันค่อยๆ หมดไปเอง
-ตอนที่เข้าไปทำกิจกรรมให้คุณแม่ที่อยู่ในคุกนั้น สิ่งหนึ่งที่เขาไม่อาจจะปกปิดเราได้คือภาษากาย คุณแม่ในคุกเหล่านั้นเขารู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาในทันทีที่เราเข้าไปหาพวกเขา ดังนั้นพอเราไปในครั้งต่อๆ ไป (ไปทุก 2 เดือน) เรารู้สึกได้ว่าคุณแม่เหล่านี้เขาเฝ้าคอยเรา คอยว่าเมื่อไหร่เราจะเข้าไปหาเขาอีก ความรู้สึกแบบนี้มันมีค่าสำหรับผู้ให้และผู้รับเป็นอย่างมาก
-ยิ่งตอนที่เห็นคุณแม่ในคุกเขาเอาลูกนั่งบนตักแล้วอ่านหนังสือให้ลูกฟังนั้น มันรู้สึกว่าหัวใจของคนเป็นแม่อย่างเราก็เต้นแรงและอิ่มเอมตามไปด้วยเช่นกัน
-ฝากถึงผู้ที่มีจิตศรัทธาอยากจะบริจาคหนังสือเข้าร่วมกับโครงการฯ นี้ อยากจะบอกว่าทุกคนสามารถมีส่วนช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นได้ โลกใบนี้ยังต้องการน้ำใจจากท่านทั้งหลายอีกเยอะ ส่วนตัวเชื่อว่าหัวใจของการให้นั้นสามารถส่งต่อไปถึงมือของผู้รับได้เสมอ
-ตอนนั้นพี่ตุ๊บปองมาชวน เขาจะให้ร่วมกิจกรรมอะไรเราก็ยินดีทำร่วมกับพี่ตุ๊บปองทั้งหมด พี่ตุ๊บปองจึงชวนเข้าไปทำกิจกรรมในคุกด้วยกัน ก็รับปากพี่ตุ๊บปองและไปร่วมกิจกรรมด้วย ซึ่งในครั้งแรกที่ได้เข้าไปนั้น ตัวเองรู้สึกว่าสายตาของพวกคุณแม่ที่อยู่ในคุกนั้น เฝ้ามองเราด้วยความสงสัยว่าพวกเรา(ทีมของพี่ตุ๊บปอง)เป็นใคร? และจะเข้ามาทำอะไร? แต่พอพวกเขารู้ว่าเราจะมาช่วยเขา เราจะมาให้โอกาสแก่เขา สายตาของเขาก็ยอมรับเรามากขึ้น
-การทำกิจกรรมในคุกแบบนี้ เหมือนว่าเราหยิบเอาหนังสือไปส่งให้แก่มือเขา เราพูดคุยบอกเขาว่าหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์อย่างไรแก่ลูกน้อยของเขา ช่วยสอนวิธีการอ่าน ท่อง ร้อง เล่น ตามหลักสูตรของพี่ตุ๊บปอง สอนให้เขารู้ว่าเขาจะเอาหนังสือเล่มนี้ไปเล่นกับลูกได้อย่างไร?
-การทำให้ใครสักคนรู้สึกว่าเขามีตัวตนอยู่ในสังคม และทำให้เขารู้ว่าการเป็นแม่นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสะท้อนกลับมายังใจของผู้ให้เช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดในเวลานั้นก็คือการแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการคลอดลูก แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกด้วยหนังสือ บอกเขาว่าหนังสือทำให้ลูกเราดีขึ้นอย่างไร
-ฝากถึงผู้ที่มีจิตศรัทธาอยากจะบริจาคหนังสือเข้าร่วมกับโครงการฯ นี้ แค่ท่านซื้อหนังสือมาบริจาคให้แค่เล่มเดียว ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาได้แล้ว คณะผู้ทำงานยังต้องการหนังสืออีกจำนวนมาก ที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการทำกิจกรรมฯ ในครั้งต่อๆ ไป
-จริงอย่างที่แม่ย้งบอกว่า การทำให้ใครสักคนรู้สึกว่าเขามีตัวตนอยู่ในสังคมนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรารู้ว่าคุณแม่ที่เพิ่งผ่านการคลอดลูกมาจะมีอารมณ์ที่แปรปวนมาก การท้องทำให้การผลิตฮอร์โมนผิดปกติ อาจทำให้หลังคลอดบุตรเกิดมีสภาวะซึมเศร้าได้ ยิ่งเวลาที่คุณแม่ซึมเศร้าจนร้องไห้แล้วไม่มีลูกให้กอดนั้น มันจะเป็นทุกข์มากยิ่งขึ้นก็ได้
-พี่ตุ๊บปองบอกว่า ตอนนี้โครงการ “แม่อยู่ในคุก ลูกอยู่ในครรภ์” นี้กำลังเงินติดลบ ไม่มีหน่วยงานมาให้ทุนสนับสนุนเพิ่มเติมเลย แต่เราต้องทำโครงการนี้ต่อไป เพราะเรารู้สึกว่าเราต้องช่วยเขา(แม่ที่อยู่ในคุก) ถ้าเราไม่ช่วยแล้วเขาอาจจะแย่ได้ และเราก็คิดว่าลูกทุกคนคือเด็กของแผ่นดิน ไม่ว่าลูกน้อยจะเกิดอยู่ที่ใดก็ตาม
-ตอนนี้เราอยากหนังสือเพิ่มเติมจำนวนมาก โดยเป็นหนังสือเล่มที่เราต้องการใช้ทำกิจกรรม เช่น “ตั้งไข่ล้ม” , “กระต๊าก กระต๊าก” , “ติ๊กต่อก” , “กล่อมลูกน้อย” ฯลฯ เพื่อเอาเข้าไปให้คุณแม่ที่อยู่ในคุก เราอยากให้เขา “ติดคุกเพียงกาย แต่ใจอิสระด้วยหนังสือ” เราตั้งใจทำให้ได้อย่างนี้จริงๆ