สมัยเรียนมัธยมต้นม.1 เคยโดนครูลงโทษแบบอับอายขายขี้หน้าอย่างถึงที่สุด คือ ครูสั่งให้ออกมาหน้าห้อง. แล้วประจานความผิดสารพัดให้เพื่อนฟัง แล้วให้ย้ายโต๊ะมานั่งคนเดียวในแถวปลายสุดของห้อง พร้อมสั่งเพื่อนในห้องไม่ให้คบ จากนั้นก็ไม่มีเพื่อนคนไหนคบด้วย เจอหน้ากันก็พูดจาเยาะเย้ยดูถูกดูหมิ่นในความผิดที่เราก่อขึ้น วันนั้นทั้งวันไม่มีความร่าเริงสดใสเลย มีแต่ความเศร้าหมอง เป็นการลงโทษที่หนักที่สุดในวัยเรียนละ หนักยิ่งกว่าไม้เรียวเป็นร้อยพันเท่า
ความผิดก็ไม่ได้ร้ายแรงยังพอให้อภัยกันได้ แต่กลับเอาเป็นความผิดเป็นเรื่องอย่างใหญ่โต
จิตใจโดนทำร้ายจนบอบซ้ำอย่างหนัก
เพราะช่วงนั้นอายุ 12 ถึง 17 ปี เป็นช่วงที่โดนทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง จิตใจเลยบอบซ้ำมาก
โดนทำร้ายทางจิตใจจนฝังใจอยู่หลายเรื่อง จิตใจเหมือนกระสอบทรายที่มีแต่รับแรงชกจากวาจาคำพูดของคนที่เกลียดชังหรือคิดไม่ดีอยู่หลายๆคน จนมีรอยพลุนหลายรู ส่วนมากเป็นญาติ เป็นคนรอบข้าง เป็นเพื่อน ไม่คิดเลยว่า เขาจะเกลียดชังเราอย่างหนักถึงขนาดนี้
ทุกวันนี้อาศัยการศึกษาพระธรรมและเจริญจิตตภาวนาเลยช่วยเยียวยาฟื้นฟูจิตใจให้ดีขึ้นเยอะมากพอสมควร สมานบาดแผลที่ฝังใจจากอดีต
เพื่อนๆเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มามั้ยและผ่านมันมาได้อย่างไร ร่วมแชร์ประสบการณ์ด้วยกันครับ
ประสบการณ์เลวร้ายที่สุดในสมัยเรียนมัธยมต้น
ความผิดก็ไม่ได้ร้ายแรงยังพอให้อภัยกันได้ แต่กลับเอาเป็นความผิดเป็นเรื่องอย่างใหญ่โต
จิตใจโดนทำร้ายจนบอบซ้ำอย่างหนัก
เพราะช่วงนั้นอายุ 12 ถึง 17 ปี เป็นช่วงที่โดนทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง จิตใจเลยบอบซ้ำมาก
โดนทำร้ายทางจิตใจจนฝังใจอยู่หลายเรื่อง จิตใจเหมือนกระสอบทรายที่มีแต่รับแรงชกจากวาจาคำพูดของคนที่เกลียดชังหรือคิดไม่ดีอยู่หลายๆคน จนมีรอยพลุนหลายรู ส่วนมากเป็นญาติ เป็นคนรอบข้าง เป็นเพื่อน ไม่คิดเลยว่า เขาจะเกลียดชังเราอย่างหนักถึงขนาดนี้
ทุกวันนี้อาศัยการศึกษาพระธรรมและเจริญจิตตภาวนาเลยช่วยเยียวยาฟื้นฟูจิตใจให้ดีขึ้นเยอะมากพอสมควร สมานบาดแผลที่ฝังใจจากอดีต
เพื่อนๆเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มามั้ยและผ่านมันมาได้อย่างไร ร่วมแชร์ประสบการณ์ด้วยกันครับ