เมื่อต้นเดือนที่ผ่านผมได้เห็นข่าวเกี่ยวกับหุ้นตัวหนึ่งที่ผมกำลังรอคอยการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ นั้นคือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) (โออาร์) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของประเทศเรานั้นคือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ที่มีข่าวลืออกมาว่า ปตท. ล้มแผนเอาบริษัทลูกซึ่งก็คือ โออาร์ เข้าตลาด
อันเนื่องมาจาก นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้แจ้งว่ากระทรวงพลังงานเตรียมเชิญผู้บริหาร ปตท.มาหารือภายในเดือนกันยายนนี้ เพื่อขอความชัดเจนแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะเรื่องนี้ ไม่ใช่เฉพาะโออาร์ เท่านั้น แต่จะต้องมองประโยชน์ของประเทศ และเศรษฐกิจชุมชนด้วย(ที่มาข่าว : www.bangkokbiznews.com)
และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา คุณชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. ได้ออกมาชี้แจ้งว่าในการประชุมคณะกรรมการ ปตท. เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา ยังไม่มีวาระของโออาร์นำเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาในส่วนของความคืบหน้าในประเด็นดังกล่าว ปัจจุบันโออาร์อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อนำโออาร์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
อย่างไรก็ตาม ปตท. ไม่สามารถให้รายละเอียดการดำเนินการในเรื่องนี้ได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดตามกฎหมาย ทั้งนี้ ในฐานะผู้ถือหุ้นของโออาร์ ปตท. ขอยืนยันว่าการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวจะได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และจะมีการพิจารณารายละเอียดรวมทั้งสถานการณ์และช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อไปหากมีความคืบหน้าที่สำคัญประการใดที่เหมาะสมต่อไป หากมีความคืบหน้าที่สำคัญประการใดที่ ปตท. สามารถแจ้งได้ตามกฎหมาย ปตท.จะแจ้งให้ทราบต่อไป (ที่มาข่าว :
https://www.kaohoon.com/content/308996)
ทางแอดมินจึงมีความคันไม้คันมือขอเขียนถึงผลได้ผลเสียการนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ที่มีประสบการณ์ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มานานพอสมควร(ก็ 16 ปีได้ครับ) ก่อนอื่นเลยเราต้องทำความรู้จักคำ ๆ หนึ่งก่อนครับ นั้นคือคำว่า “Spin-off”

คำว่า “Spin-off” หากแปลว่าตรง ๆ ตัวเลยก็คือ ปั่นออกไปหรือเหวี่ยงออกไป ซึ่งหากใช้ในเชิงวิชาการแล้วไม่ได้หมายความถึงขนาดนั้นครับแต่มันคือชื่อเรียกของกระบวนการที่นำบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมของบริษัทจดทะเบียน(บริษัทแม่)แยกออกมาเสนอขายหุ้นต่อประชาชน (Initial Public Offering: IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ซึ่งภายหลังจากการนำบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมเข้าจดทะเบียนแล้วบริษัทแม่ต้องยังมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ดำรงสถานะในการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งไม่ได้แปลว่าปั่นหรือเหวี่ยงไปไหนครับ

ข้อดีของบริษัทแม่ที่จะได้รับจากการ Spin-off คือ
1. ลดภาระในการสนับสนุนด้านเงินทุนเนื่องจากบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วม สามารถระดมทุนได้เองทั้งผ่านการทำ IPO และระดมทุนด้วยเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ภายหลังจากเข้าจดทะเบียนสำเร็จแล้ว
2. บริษัทย่อยหรือบริษัทร่วม ที่ถูก Spin-off จะต้องปรับระบบการบริหารจัดการเพื่อเข้าสู่มาตรฐานการเป็นบริษัทจดทะเบียนอย่างเต็มตัวทำให้กลไกในการดูแลการจัดการของกลุ่มบริษัทมีความโปร่งใสเทียบเท่าบริษัทจดทะเบียน
และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. ราคาหุ้นของบริษัทแม่จะสะท้อนราคาหุ้นของบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมได้มากขึ้นเนื่องจากมีราคาตลาดอ้างอิง

ส่วนบริษัทลูกที่ถูกแยกออกมาก็จะได้ผลดีคือ
1. มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้นโดยสามารถระดมทุนด้วยตัวเองไม่จำเป็นต้องพึ่งแหล่งเงินทุนจากบริษัทแม่เป็นหลักซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเติบโต
2. ส่งเสริมให้บริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดีขึ้น
3. สะท้อนมูลค่าของกิจการซึ่งจะสะท้อนไปที่ราคาของบริษัทแม่อีกด้วย

ส่วนผู้ที่ถือหุ้นแม่อยู่ก็จะได้ผลดีคือ
1. เพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนโดยสามารถเลือกลงทุนในบริษัทแม่หรือบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมก็ได้ตามแต่นโยบายการลงทุนของแต่ละราย
2. อาจได้สิทธิจองซื้อหุ้น IPO ของบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมในกรณีที่มีการให้สิทธิ์ก่อน (Pre-emptive right)
(ที่มาจาก:ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)
ซึ่งจากในอดีตที่ผ่านมาส่วนใหญ่การ Spin-off จะเพิ่มมูลค่าในระยะยาวให้ทั้งบริษัทแม่และบริษัทลูกโดยจะสะท้อนไปที่ราคาหุ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเชิงบวกครับเพราะบริษัทแม่จะลดภาระเรื่องรายจ่ายซึ่งแต่เดิมอาจจะเป็นต้นทุนของบริษัทแม่ที่ต้องกู้ยืมเพื่อนำมาขยายการลงทุนให้แก่บริษัทลูกแต่ถ้าหากนำบริษัทลูกเข้าตลาดก็จะได้เงินสดมาใช้หนี้อาจจะหมดเรื่องของภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพื่อให้บริษัทลูกใช้ในการดำเนินงาน และอีกทั้งกลไกการทำงานอาจจะทับซ้อนล่าช้าจากโครงสร้างองค์กรที่ บริษัทแม่ต้องสั่งผ่านผู้มีอำนาจในบริษัทลูกในเชิงธุรกิจแล้วช้าชั่วโมงเดียวก็อาจสูญเสียรายได้มากมายนักส่วนบริษัทลูกหากแยกอกมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้วก็จะมีความคล่องตัวเพิ่มสูงขึ้นและได้เงินทุนที่เพิ่มขึ้นอาจจะนำไปสู่การขยายธุรกิจให้เป็นสากลได้เรื่องความโปร่งใสนั้นยิ่งมีสูงขึ้นเพราะต้องผ่านการตรวจสอบทั้งจากตลาดหลักทรัพย์และองค์รัฐบาลเอกชนโดยนักวิเคราะห์แต่ละที่อีก
หากย้อนกลับมาถามว่าหุ้นใหญ่ระดับประเทศคือ ปตท. การนำ โออาร์ เข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วประเทศชาติอะไร? ผมตอบแบบรวม ๆ เลยครับว่า ได้มหาศาลครับ ทั้งทางตรงและทางอ้อมครับ ทางตรงคือการระดมทุนเพื่อขยายกิจการของโออาร์ ที่มีธุรกิจค้าปลีกที่เกี่ยวกับน้ำมันและไม่ใช่น้ำมันเอาแค่กาแฟ อเมซอน ออกสู่ตลาดโลกแค่ธุรกิจเดียวก่อนนะครับ ถ้าสมมุติว่า กาแฟ อเมซอน นำเงินออกไปลงทุนช่วงนี้ ช่วงที่ค่าเงินบาทกำลังแข็ง ๆ นี่แหละครับ ได้มหาศาลเลยครับจากเดิมต้องใช้เงิน 35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯตอนนี้เหลือ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯอาจจะได้เพิ่มอีก 10 สาขาในงบประมาณเท่าเดิมแบบฟรี ๆ เพราะค่าเงินแข็งเลยนะครับ
อีกทั้งยังเป็นการช่วยธนาคารแห่งประเทศไทยในการบริหารค่าเงินทางอ้อมครับ ทางเทคนิคไม่ขอพูดถึงนะครับ เมื่อกาแฟ อเมซอนไปตั้งสาขาต่างประเทศมาก ๆเข้า กาแฟในประเทศก็ขายได้เพิ่มสูงขึ้นเพราะต้องส่งออกให้กาแฟอเมซอนเอาไปขายก็เป็นการช่วยคนปลูกกาแฟในประเทศไปในตัว มีร้านต่างประเทศแล้วนำสินค้าในประเทศไปขายก็เป็นการช่วยเหลือชุมชนช่วยเหลือสินค้าโอทอปอีกทาง อเมซอนทำกำไรได้สิ้นปีก็ส่งเงินกลับบริษัทในประเทศไทยก็หารายได้เข้าประเทศ และเป็นการโปรโมทโฆษณาสินค้าไทย กาแฟไทย ไปในตัว พอนึกภาพออกไหมครับว่าอย่างร้านกาแฟร้านขนมเค้กในฝรั่งเศสหรืออิตาลี อ่านตรงนี้คงมีหลายๆคนหัวเราะเยาะว่า ผมเพ้อเจ้อไปเอง ใครมันจะกินกาแฟหรือขนมแล้วอยากไปที่ประเทศเจ้าของต้นตำรับ ผมยืนยันเสียงแข็งเลยครับว่า มีนะครับ มีเยอะด้วยลองไปถามฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทยสิครับ ถ้าเขาบอกมาเพราะกินอาหารไทยอร่อย เลยอยากมาเมืองไทยนี่แยะเยอะนะครับ ผมลองใช้ภาษอังกฤษบวกภาษามือถามฝรั่งมานักต่อนักแล้วครับพบคำตอบว่าชอบเมืองไทยและอยากมาเมืองไทยเพราะเคยกินอาหารไทยและเห็นรูปเมืองไทยสวยๆ ในร้านอหารไทยในประเทศของเขาเลยเกิดความอยากมาเมืองไทยครับ.
ปล.บทความนี้เขียนขึ้นเผยแพร่ความรู้ หากมีการกล่าวพาดพิงหรือมีผิดพลาดประการใดขอกราบอภัยไว้ ณ.ที่นี้นะครับ
ฝากติดตามเพจให้ความการเงินการลงทุนน้องใหม่ที่
https://www.facebook.com/Mr.MoneyNeverSleeps/
ขอบพระคุณที่ติดตามและให้กำลังใจกันนะครับ
ผลดีของการนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กรณีศึกษา โออาร์
อันเนื่องมาจาก นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้แจ้งว่ากระทรวงพลังงานเตรียมเชิญผู้บริหาร ปตท.มาหารือภายในเดือนกันยายนนี้ เพื่อขอความชัดเจนแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะเรื่องนี้ ไม่ใช่เฉพาะโออาร์ เท่านั้น แต่จะต้องมองประโยชน์ของประเทศ และเศรษฐกิจชุมชนด้วย(ที่มาข่าว : www.bangkokbiznews.com)
และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา คุณชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. ได้ออกมาชี้แจ้งว่าในการประชุมคณะกรรมการ ปตท. เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา ยังไม่มีวาระของโออาร์นำเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาในส่วนของความคืบหน้าในประเด็นดังกล่าว ปัจจุบันโออาร์อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อนำโออาร์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
อย่างไรก็ตาม ปตท. ไม่สามารถให้รายละเอียดการดำเนินการในเรื่องนี้ได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดตามกฎหมาย ทั้งนี้ ในฐานะผู้ถือหุ้นของโออาร์ ปตท. ขอยืนยันว่าการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวจะได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และจะมีการพิจารณารายละเอียดรวมทั้งสถานการณ์และช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อไปหากมีความคืบหน้าที่สำคัญประการใดที่เหมาะสมต่อไป หากมีความคืบหน้าที่สำคัญประการใดที่ ปตท. สามารถแจ้งได้ตามกฎหมาย ปตท.จะแจ้งให้ทราบต่อไป (ที่มาข่าว : https://www.kaohoon.com/content/308996)
ทางแอดมินจึงมีความคันไม้คันมือขอเขียนถึงผลได้ผลเสียการนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ที่มีประสบการณ์ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มานานพอสมควร(ก็ 16 ปีได้ครับ) ก่อนอื่นเลยเราต้องทำความรู้จักคำ ๆ หนึ่งก่อนครับ นั้นคือคำว่า “Spin-off”
1. ลดภาระในการสนับสนุนด้านเงินทุนเนื่องจากบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วม สามารถระดมทุนได้เองทั้งผ่านการทำ IPO และระดมทุนด้วยเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ภายหลังจากเข้าจดทะเบียนสำเร็จแล้ว
2. บริษัทย่อยหรือบริษัทร่วม ที่ถูก Spin-off จะต้องปรับระบบการบริหารจัดการเพื่อเข้าสู่มาตรฐานการเป็นบริษัทจดทะเบียนอย่างเต็มตัวทำให้กลไกในการดูแลการจัดการของกลุ่มบริษัทมีความโปร่งใสเทียบเท่าบริษัทจดทะเบียน
และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. ราคาหุ้นของบริษัทแม่จะสะท้อนราคาหุ้นของบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมได้มากขึ้นเนื่องจากมีราคาตลาดอ้างอิง
1. มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้นโดยสามารถระดมทุนด้วยตัวเองไม่จำเป็นต้องพึ่งแหล่งเงินทุนจากบริษัทแม่เป็นหลักซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเติบโต
2. ส่งเสริมให้บริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดีขึ้น
3. สะท้อนมูลค่าของกิจการซึ่งจะสะท้อนไปที่ราคาของบริษัทแม่อีกด้วย
ส่วนผู้ที่ถือหุ้นแม่อยู่ก็จะได้ผลดีคือ
1. เพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนโดยสามารถเลือกลงทุนในบริษัทแม่หรือบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมก็ได้ตามแต่นโยบายการลงทุนของแต่ละราย
2. อาจได้สิทธิจองซื้อหุ้น IPO ของบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมในกรณีที่มีการให้สิทธิ์ก่อน (Pre-emptive right)
(ที่มาจาก:ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)
ซึ่งจากในอดีตที่ผ่านมาส่วนใหญ่การ Spin-off จะเพิ่มมูลค่าในระยะยาวให้ทั้งบริษัทแม่และบริษัทลูกโดยจะสะท้อนไปที่ราคาหุ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเชิงบวกครับเพราะบริษัทแม่จะลดภาระเรื่องรายจ่ายซึ่งแต่เดิมอาจจะเป็นต้นทุนของบริษัทแม่ที่ต้องกู้ยืมเพื่อนำมาขยายการลงทุนให้แก่บริษัทลูกแต่ถ้าหากนำบริษัทลูกเข้าตลาดก็จะได้เงินสดมาใช้หนี้อาจจะหมดเรื่องของภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพื่อให้บริษัทลูกใช้ในการดำเนินงาน และอีกทั้งกลไกการทำงานอาจจะทับซ้อนล่าช้าจากโครงสร้างองค์กรที่ บริษัทแม่ต้องสั่งผ่านผู้มีอำนาจในบริษัทลูกในเชิงธุรกิจแล้วช้าชั่วโมงเดียวก็อาจสูญเสียรายได้มากมายนักส่วนบริษัทลูกหากแยกอกมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้วก็จะมีความคล่องตัวเพิ่มสูงขึ้นและได้เงินทุนที่เพิ่มขึ้นอาจจะนำไปสู่การขยายธุรกิจให้เป็นสากลได้เรื่องความโปร่งใสนั้นยิ่งมีสูงขึ้นเพราะต้องผ่านการตรวจสอบทั้งจากตลาดหลักทรัพย์และองค์รัฐบาลเอกชนโดยนักวิเคราะห์แต่ละที่อีก
หากย้อนกลับมาถามว่าหุ้นใหญ่ระดับประเทศคือ ปตท. การนำ โออาร์ เข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วประเทศชาติอะไร? ผมตอบแบบรวม ๆ เลยครับว่า ได้มหาศาลครับ ทั้งทางตรงและทางอ้อมครับ ทางตรงคือการระดมทุนเพื่อขยายกิจการของโออาร์ ที่มีธุรกิจค้าปลีกที่เกี่ยวกับน้ำมันและไม่ใช่น้ำมันเอาแค่กาแฟ อเมซอน ออกสู่ตลาดโลกแค่ธุรกิจเดียวก่อนนะครับ ถ้าสมมุติว่า กาแฟ อเมซอน นำเงินออกไปลงทุนช่วงนี้ ช่วงที่ค่าเงินบาทกำลังแข็ง ๆ นี่แหละครับ ได้มหาศาลเลยครับจากเดิมต้องใช้เงิน 35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯตอนนี้เหลือ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯอาจจะได้เพิ่มอีก 10 สาขาในงบประมาณเท่าเดิมแบบฟรี ๆ เพราะค่าเงินแข็งเลยนะครับ
อีกทั้งยังเป็นการช่วยธนาคารแห่งประเทศไทยในการบริหารค่าเงินทางอ้อมครับ ทางเทคนิคไม่ขอพูดถึงนะครับ เมื่อกาแฟ อเมซอนไปตั้งสาขาต่างประเทศมาก ๆเข้า กาแฟในประเทศก็ขายได้เพิ่มสูงขึ้นเพราะต้องส่งออกให้กาแฟอเมซอนเอาไปขายก็เป็นการช่วยคนปลูกกาแฟในประเทศไปในตัว มีร้านต่างประเทศแล้วนำสินค้าในประเทศไปขายก็เป็นการช่วยเหลือชุมชนช่วยเหลือสินค้าโอทอปอีกทาง อเมซอนทำกำไรได้สิ้นปีก็ส่งเงินกลับบริษัทในประเทศไทยก็หารายได้เข้าประเทศ และเป็นการโปรโมทโฆษณาสินค้าไทย กาแฟไทย ไปในตัว พอนึกภาพออกไหมครับว่าอย่างร้านกาแฟร้านขนมเค้กในฝรั่งเศสหรืออิตาลี อ่านตรงนี้คงมีหลายๆคนหัวเราะเยาะว่า ผมเพ้อเจ้อไปเอง ใครมันจะกินกาแฟหรือขนมแล้วอยากไปที่ประเทศเจ้าของต้นตำรับ ผมยืนยันเสียงแข็งเลยครับว่า มีนะครับ มีเยอะด้วยลองไปถามฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทยสิครับ ถ้าเขาบอกมาเพราะกินอาหารไทยอร่อย เลยอยากมาเมืองไทยนี่แยะเยอะนะครับ ผมลองใช้ภาษอังกฤษบวกภาษามือถามฝรั่งมานักต่อนักแล้วครับพบคำตอบว่าชอบเมืองไทยและอยากมาเมืองไทยเพราะเคยกินอาหารไทยและเห็นรูปเมืองไทยสวยๆ ในร้านอหารไทยในประเทศของเขาเลยเกิดความอยากมาเมืองไทยครับ.
ปล.บทความนี้เขียนขึ้นเผยแพร่ความรู้ หากมีการกล่าวพาดพิงหรือมีผิดพลาดประการใดขอกราบอภัยไว้ ณ.ที่นี้นะครับ
ฝากติดตามเพจให้ความการเงินการลงทุนน้องใหม่ที่ https://www.facebook.com/Mr.MoneyNeverSleeps/
ขอบพระคุณที่ติดตามและให้กำลังใจกันนะครับ