แม้จะเป็นคนมองโลกในแง่ดีมีความหวัง แต่เห็นเศรษฐกิจไทยวันนี้แล้วคงต้องมองโลกแห่งความจริงอย่างระมัดระวัง
“เครื่องยนต์” เศรษฐกิจแต่ละตัวติดขัดไปหมด
ตั้งรัฐบาลช้า งบประมาณที่จะอัดฉีดแบบเต็ม ๆ ก็มีปัญหา กว่างบฯใหม่จะใช้ได้ก็ต้นปีหน้า
การส่งออกก็เดี้ยง การท่องเที่ยวก็หนัก เจอค่าเงินบาทแข็งเข้าไปอีก
สินค้าเกษตรก็ราคาตกต่ำมาหลายปีแล้ว
ภัยแล้งกระหน่ำเข้าไปในช่วงที่พืชผลต้องการน้ำ แห้งตายหมด
พอน้ำมากว่าเกษตรกรจะปลูกรอบใหม่ก็ใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะให้ผล
“กำลังซื้อ” ต่างจังหวัดก็ไม่มี
“คนจน” จนจริง ๆ นะครับ
ดูจากการแจกเงิน 500 บาทผ่าน “บัตรคนจน” ครั้งล่าสุดที่คนยอมไปรอคิวหลายชั่วโมงหน้าตู้เอทีเอ็ม
แสดงให้เห็นว่าเงินจำนวน 500 บาทมีความหมายมากสำหรับเขา และเขาไม่มีจริง ๆ
เพราะถ้ายังพอมีเงินใช้จ่ายอยู่ เราจะรออีก 2-3 วันค่อยไปกดเงิน จะได้ไม่ต้องรอคิวนานเป็นชั่วโมง
การยอมรอคิวนาน ๆ เพื่อให้ได้เงิน 500 ในวันนั้นเลยมีนัยที่ต้องตีความ
“ความหมาย” ที่ซ่อนอยู่ในปรากฏการณ์นี้ คือ เขาไม่มีเงินจริง ๆ
เขารอ “พรุ่งนี้” ไม่ได้
มีอดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่เป็นทีมทำงานของรัฐบาลชุดนี้ถามเพื่อน ส.ส.
ต่างจังหวัดว่าเศรษฐกิจไม่ดีจริง ๆ หรือ
คือ เขาเชื่อว่ากระแสที่บอกว่าเศรษฐกิจไม่ดีเป็นเรื่อง “การเมือง”
นักการเมืองฝ่ายค้านพยายามหาเรื่องโจมตีรัฐบาล
จริง ๆ แล้วเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่
ฟังแบบนี้แล้วหนาวเลยครับ
เขาไม่รู้จริง ๆ
ล่าสุด บริษัท GM General Motors Thailand ที่ผลิตรถเชฟโรเลต ประกาศเลิกจ้างพนักงานประจำและพนักงานชั่วคราว 300 คน
เพราะยอดขาดรถตกลงมาก
บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่อีกรายก็เริ่มลดค่าโอทีของพนักงานแล้ว
คือ ทำงานตามเวลาปกติไม่ต้องทำนอกเวลาทำงาน
จำได้ว่าคนในวงการอุตสาหกรรมเคยบอกว่าแรงงานทั่วไป ค่าโอทีมีความหมายกับเขามาก
ทุกคนยอมเพิ่มเวลาทำงานเพื่อแลกกับรายรับพิเศษก้อนนี้
การปลดคนงานและลดค่าโอทีของอุตสาหกรรมรถยนต์ไม่เหมือนกับการลดคนในธุรกิจสื่อหรือวงการการเงิน
เพราะสื่อกับการเงิน เจอกระแส Disrupt
เช่นเดียวกับธุรกิจค้าปลีก นักธุรกิจที่เป็นเจ้าของศูนย์การค้าบอกว่าร้านค้าบ่นอุบมาเป็นปีแล้ว
ยิ่ง 4-5 เดือนยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิม
เทคโนโลยีทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป
“คู่แข่ง” รายใหม่ที่แย่งตลาดมาจากไหนก็ไม่รู้
แต่อุตสาหกรรมรถยนต์ยังไม่เจอกระแส disrupt
เพราะรถยนต์ไฟฟ้ายอดขายในเมืองไทยยังน้อยมาก
ธุรกิจที่มีปัญหามาจากสภาวะเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
นี่คือ สัญญาณที่น่ากังวลมาก
วันก่อนผมฟังนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งให้ความเห็นเรื่องสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
หลังจากจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ
ในขณะที่คนอื่นโวยวาย เขากลับบอกว่า “ดี”
…ชัดเจนดี
ไม่ต้องฝันว่าเดี๋ยวจีน-สหรัฐก็เจรจากันได้ ฟันธงไปเลยว่ารบกันเลือดสาดแน่
พอเราสรุปชัดเจนว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปั่นป่วนและย่ำแย่
เราจะวางแผนได้ว่าจะทำอะไรต่อไป เหมือนกับเศรษฐกิจไทยวันนี้
ผมเข้าใจรัฐบาลว่า นอกเหนือจากความพยายามแก้ปัญหาแล้ว การจุดไฟ “ความหวัง” ให้กับคนไทยเป็นเรื่องจำเป็น
ต้องให้คนเชื่อว่าเศรษฐกิจยังดีอยู่ จะได้เอาเงินมาจับจ่ายใช้สอย หรือลงทุน
แต่หมอคนเดิมที่รักษาคนไข้มา 5 ปีแล้ว
ถ้า 5 ปียังรักษาไม่หายก็อย่าว่าคนไข้เลยครับที่เขาจะไม่เชื่อหมอ
วันนี้ถ้าเราเห็นข้อมูลเศรษฐกิจแล้วชัดเจนว่า สถานการณ์คงจะหนักหนาสาหัสกว่านี้อีกในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงครึ่งปีหน้าเป็นอย่างต่ำ
เราจะวางแผนรับมือได้
แต่ถ้ายังคิดแบบมี “ความหวัง” คิดว่าเดี๋ยวนักท่องเที่ยวก็มา
ประกันราคาพืชผลจะทำให้กำลังซื้อต่างจังหวัดดีขึ้น
แจกเงินคนไปเที่ยว เงินจะสะพัด หมุนหลายรอบ ฯลฯ
เดี๋ยวจะปรับตัวไม่ทันตอน “เผาจริง”
มีคนบอกว่า “ความหวัง” เวลาจะมา มักจะ…เดี๋ยว
แต่ตอนที่ “หายนะ” มา เขาไม่เคย “เดี๋ยว”
มีแต่…เดี๋ยวนี้ ทุกครั้ง
https://www.prachachat.net/opinion-column-2/news-367967
ครับ...หนาวจริงๆครับ หนาวตรงที่ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าระดับบริหารที่มีหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจเชื่อจริงๆว่าเศรษฐกิจยังดีอยู่เหมือนที่สะกดจิตมา5ปี ในเมื่อยังไม่ยอมรับว่ามีปัญหาแล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร
สัญญาณเตือน ทุกวันนี้ยังมีคนเชื่อจริงๆเหรอว่าเศรษฐกิจไม่ดีเป็นเพียงการโจมตีทางการเมือง?
“เครื่องยนต์” เศรษฐกิจแต่ละตัวติดขัดไปหมด
ตั้งรัฐบาลช้า งบประมาณที่จะอัดฉีดแบบเต็ม ๆ ก็มีปัญหา กว่างบฯใหม่จะใช้ได้ก็ต้นปีหน้า
การส่งออกก็เดี้ยง การท่องเที่ยวก็หนัก เจอค่าเงินบาทแข็งเข้าไปอีก
สินค้าเกษตรก็ราคาตกต่ำมาหลายปีแล้ว
ภัยแล้งกระหน่ำเข้าไปในช่วงที่พืชผลต้องการน้ำ แห้งตายหมด
พอน้ำมากว่าเกษตรกรจะปลูกรอบใหม่ก็ใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะให้ผล
“กำลังซื้อ” ต่างจังหวัดก็ไม่มี
“คนจน” จนจริง ๆ นะครับ
ดูจากการแจกเงิน 500 บาทผ่าน “บัตรคนจน” ครั้งล่าสุดที่คนยอมไปรอคิวหลายชั่วโมงหน้าตู้เอทีเอ็ม
แสดงให้เห็นว่าเงินจำนวน 500 บาทมีความหมายมากสำหรับเขา และเขาไม่มีจริง ๆ
เพราะถ้ายังพอมีเงินใช้จ่ายอยู่ เราจะรออีก 2-3 วันค่อยไปกดเงิน จะได้ไม่ต้องรอคิวนานเป็นชั่วโมง
การยอมรอคิวนาน ๆ เพื่อให้ได้เงิน 500 ในวันนั้นเลยมีนัยที่ต้องตีความ
“ความหมาย” ที่ซ่อนอยู่ในปรากฏการณ์นี้ คือ เขาไม่มีเงินจริง ๆ
เขารอ “พรุ่งนี้” ไม่ได้
มีอดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่เป็นทีมทำงานของรัฐบาลชุดนี้ถามเพื่อน ส.ส.
ต่างจังหวัดว่าเศรษฐกิจไม่ดีจริง ๆ หรือ
คือ เขาเชื่อว่ากระแสที่บอกว่าเศรษฐกิจไม่ดีเป็นเรื่อง “การเมือง”
นักการเมืองฝ่ายค้านพยายามหาเรื่องโจมตีรัฐบาล
จริง ๆ แล้วเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่
ฟังแบบนี้แล้วหนาวเลยครับ
เขาไม่รู้จริง ๆ
ล่าสุด บริษัท GM General Motors Thailand ที่ผลิตรถเชฟโรเลต ประกาศเลิกจ้างพนักงานประจำและพนักงานชั่วคราว 300 คน
เพราะยอดขาดรถตกลงมาก
บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่อีกรายก็เริ่มลดค่าโอทีของพนักงานแล้ว
คือ ทำงานตามเวลาปกติไม่ต้องทำนอกเวลาทำงาน
จำได้ว่าคนในวงการอุตสาหกรรมเคยบอกว่าแรงงานทั่วไป ค่าโอทีมีความหมายกับเขามาก
ทุกคนยอมเพิ่มเวลาทำงานเพื่อแลกกับรายรับพิเศษก้อนนี้
การปลดคนงานและลดค่าโอทีของอุตสาหกรรมรถยนต์ไม่เหมือนกับการลดคนในธุรกิจสื่อหรือวงการการเงิน
เพราะสื่อกับการเงิน เจอกระแส Disrupt
เช่นเดียวกับธุรกิจค้าปลีก นักธุรกิจที่เป็นเจ้าของศูนย์การค้าบอกว่าร้านค้าบ่นอุบมาเป็นปีแล้ว
ยิ่ง 4-5 เดือนยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิม
เทคโนโลยีทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป
“คู่แข่ง” รายใหม่ที่แย่งตลาดมาจากไหนก็ไม่รู้
แต่อุตสาหกรรมรถยนต์ยังไม่เจอกระแส disrupt
เพราะรถยนต์ไฟฟ้ายอดขายในเมืองไทยยังน้อยมาก
ธุรกิจที่มีปัญหามาจากสภาวะเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
นี่คือ สัญญาณที่น่ากังวลมาก
วันก่อนผมฟังนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งให้ความเห็นเรื่องสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
หลังจากจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ
ในขณะที่คนอื่นโวยวาย เขากลับบอกว่า “ดี”
…ชัดเจนดี
ไม่ต้องฝันว่าเดี๋ยวจีน-สหรัฐก็เจรจากันได้ ฟันธงไปเลยว่ารบกันเลือดสาดแน่
พอเราสรุปชัดเจนว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปั่นป่วนและย่ำแย่
เราจะวางแผนได้ว่าจะทำอะไรต่อไป เหมือนกับเศรษฐกิจไทยวันนี้
ผมเข้าใจรัฐบาลว่า นอกเหนือจากความพยายามแก้ปัญหาแล้ว การจุดไฟ “ความหวัง” ให้กับคนไทยเป็นเรื่องจำเป็น
ต้องให้คนเชื่อว่าเศรษฐกิจยังดีอยู่ จะได้เอาเงินมาจับจ่ายใช้สอย หรือลงทุน
แต่หมอคนเดิมที่รักษาคนไข้มา 5 ปีแล้ว
ถ้า 5 ปียังรักษาไม่หายก็อย่าว่าคนไข้เลยครับที่เขาจะไม่เชื่อหมอ
วันนี้ถ้าเราเห็นข้อมูลเศรษฐกิจแล้วชัดเจนว่า สถานการณ์คงจะหนักหนาสาหัสกว่านี้อีกในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงครึ่งปีหน้าเป็นอย่างต่ำ
เราจะวางแผนรับมือได้
แต่ถ้ายังคิดแบบมี “ความหวัง” คิดว่าเดี๋ยวนักท่องเที่ยวก็มา
ประกันราคาพืชผลจะทำให้กำลังซื้อต่างจังหวัดดีขึ้น
แจกเงินคนไปเที่ยว เงินจะสะพัด หมุนหลายรอบ ฯลฯ
เดี๋ยวจะปรับตัวไม่ทันตอน “เผาจริง”
มีคนบอกว่า “ความหวัง” เวลาจะมา มักจะ…เดี๋ยว
แต่ตอนที่ “หายนะ” มา เขาไม่เคย “เดี๋ยว”
มีแต่…เดี๋ยวนี้ ทุกครั้ง
https://www.prachachat.net/opinion-column-2/news-367967
ครับ...หนาวจริงๆครับ หนาวตรงที่ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าระดับบริหารที่มีหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจเชื่อจริงๆว่าเศรษฐกิจยังดีอยู่เหมือนที่สะกดจิตมา5ปี ในเมื่อยังไม่ยอมรับว่ามีปัญหาแล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร