จิตหลง จิตไม่รู้ จิตเจตนาสร้างกรรม
การสร้างกรรมเป็นสังขารทั้งหลาย
ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร
กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
จิตเกิด กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ทำให้เกิดวิญญาณ คือวิบากกรรม
ที่มีกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม
อวิชชา เป็นเหตุหลักที่ทำให้จิตเกิดเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ ดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น
เพราะมีความไม่รู้ จึงมีการกระทำที่เป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง
ซึ่งเป็นอภิสังขาร คือ เจตนา อันเป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง
เป็นเหตุให้มีการเกิดในภพต่าง ๆ อยู่ร่ำไป
เจตนาเป็นกรรม ในขณะที่กระทำกรรม ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม ก็ตาม
เป็นอภิ-สังขาร ที่สะสมอยู่ในจิตพร้อมที่จะให้ผลเกิดขึ้นในภายหน้า
และในขณะนั้นก็ต้องมีจิตมีเจตสิกประการอื่น ๆ ที่เกิดร่วมด้วย
แต่เป็นจิตคนละประเภทกันกับวิญญาณ
อันเป็นผลมาจากอภิสังขาร
ซึ่งจะเห็นได้ว่า เพราะกามวจรกุศลเป็นปัจจัย
จึงทำให้ได้เกิดในสุคติภูมิ กล่าวคือ เกิดเป็นมนุษย์และเกิดเป็นเทวดา
เพราะอกุศลกรรม เป็นปัจจัย จึงทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ
เพราะรูปาวจรกุศล เป็นปัจจัย จึงให้เกิดเป็นรูปพรหมบุคคล และ
เพราะอรูปาวจรกุศล เป็นปัจจัย จึงทำให้เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล ตามระดับขั้นของฌาน
ทั้งหมดล้วนเป็นความเป็นไปของธรรมเท่านั้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน
จิตเกิดสังขารและกำหนดรู้
กายสังขาร เจตนาทางกาย
วจีสังขาร เจตนาทางวาจา
มโนสังขาร เจตนาทางใจ
มีอานาปนสติ มีสติปัฏฐาน4
สำรวม กาย วาจา ใจ
ที่เป็นกายกรรม มี 3 อย่าง คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
ที่เป็นวจีกรรม มี 4 คือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
ที่เป็นมโนกรรม มี 3 คือ ไม่โลภอยากได้ของเขา ไม่พยาบาทปองร้าย เห็นชอบตามคลองธรรม (สัมมาทิฐิ)
วิญญาณ6
จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตา คือรู้รูปด้วยตา หรือการเห็น
โสตวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางหู คือรู้เสียงด้วยหู หรือการได้ยิน
ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือรู้กลิ่นด้วยจมูก หรือการได้กลิ่น
ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือรู้รสด้วยลิ้น หรือการรู้รส
กายวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางกาย คือรู้โผฏฐัพพะด้วยกาย หรือการรู้สึกกายสัมผัส
มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางใจ คือรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ หรือการนึกคิด
ก็ถูกระงับไป จิตก็บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว จิตขาวรอบ
จิตเจตนาคิด ปรุงแต่ง เกิดวิญญาณ