เศรษฐกิจแย่มาก จะเป็นแบบนี้ไปนานเท่าไหร่คะ?

สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเรา เราอยากให้ทุกๆคนช่วยตอบเราหน่อยว่าเราไม่ได้เป็นอยู่คนเดียวใช่ไหม (อาจจะยาวนะคะ แต่อยากให้อ่านจริงๆ;-;)

ก่อนอื่นเลย เราอายุสิบหกค่ะ พ่อกับแม่เป็นเกษตรกร มีที่ประมาณ60ไร่ (รวมเช่า) เมื่อก่อนมีกินมีใช้ปกติเลยค่ะ ปีหนึ่งเงินเข้าครอบครัวเราประมาณสี่-ห้าแสน (เราถามจากแม่มา) มันอาจจะไม่ใช่จำนวนเงินที่เยอะมาก แต่สำหรับครอบครัวเรา มันทำให้อยู่ได้เป็นปีๆเลย แม่เลยเริ่มดาวน์รถหกล้อค่ะ อันที่จริงรถคันนี้อยู่กับเรามาสิบปีแล้วซึ่งก็ทำเงินให้บ้านพ่อสมควร คุณพ่อเป็นคนขับค่ะ ทุกๆหน้าอ้อย พ่อจะขับรถคันนี้ เขาเลยรักรถมาก ถึงจะเก่าจะมีอายุการใช้งานนานเพราะเป็นรถมือสอง แต่ครอบครัวเรารักรถคันนี้จริงๆค่ะ (ปัจจุบันกำลังขายค่ะT^T)

พอขึ้นมอหนึ่งเราเข้ามาเรียนในเมือง แม่เราเห็นว่าขับรถมอเตอร์ไซค์มารับ-ส่งไม่ไหวแน่ๆ เพราะไกลมาก คุณแม่เลยเริ่มดาวน์รถยนต์มาใช้ค่ะ ตอนนั้นทุกคนสนับสนุนแม่เรามาก เอามาเลยจะได้ให้ลูกใช้,เอามาเลยจะได้มีไปรับ-ส่ง ตากับยายเวลาป่วย ตอนแรกพ่อเราไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายก็ยอมตามน้ำ เราเคยถามแม่ว่าจะส่งได้แน่หรอ แต่แม่ก็มั่นใจว่าส่งได้ค่ะ

พอเราขึ้นมอสามมันก็เริ่มแย่เรื่อยๆ เงินอ้อยเงินมันไม่ได้เหมือนเดิม จากที่กินข้าวอยู่กับสงบสุขก็เริ่มร้อนรน เพราะเงินที่เข้ามาในบ้านน้อยลงมากๆ แม่เลยตัดสินใจปล่อยรถยนต์ค่ะ ตอนแรกเราก็เสียดาย แต่พอเห็นพ่อกับแม่ทำงานหนักเราเลยว่า ทนนั่งมอ'ไซค์ไปก็ได้ แต่มันหนักกว่านั้นค่ะ (คือร้องแล้วTT) หนักแบบที่น่ากลัวมาก แม่กับพ่อเราทำงานไม่ได้พักเลย กินข้าวก็นานๆกินดี อาหารแมวไม่มี อาหารหมาไม่มี เกือบโดนตัดค่าไฟ ไม่มีค่าโทรศัพท์ และอีกเยอะแยะมากมาย เราเลยถามแม่ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ (คือเราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงินที่บ้านเลยค่ะ เราสนแค่ว่าตั้งใจเรียน และใช้เงินให้น้อยที่สุด) แม่ก็บอกว่าแม่กู้เงินมานะ ส่งรถยนต์(ที่ขายไปแล้ว) กับรถหกล้อ 

พอญาติเรารู้ว่าแม่กู้เงินเยอะมาก ก็ตาโตกันใหญ่ ลุมด่าเละเทะ แต่ก็มีญาติบางคนที่ช่วยนะคะ แต่ก็ช่วยไปนินทาไป (ตอนแรกยังชมกันอยู่เลย) จนแม่เราว่าไม่ไหวแล้ว ขอไปทำงานในกรุงเทพฯ ดีกว่า คือคุณพ่อเรารักแม่มากค่ะ เขาไม่ยอมให้ไป จนกระทั่งเราขึ้นมอสี่ เขาถึงยอม เพราะมันแย่จริงๆ ขั้นหนักที่ว่าอาจส่งเราเรียนต่อไม่ได้ 

แต่ยังดีค่ะ เรามีป้า และป้าก็ไม่มีลูก เขาเลยช่วยส่งเสีย แต่บางเรื่องเราก็เกรงใจไม่ไปขอ 

เรางงมากเลยค่ะ ไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นแบบนี้ หลายคนเขาก็ว่าแม่เราว่าบริหารเงินไม่เป็น จากที่เกือบเป็นเจ๊ก็เจ๋งสะงั้น ไม่มีใครพูดถึงเศรษฐกิจเลย คือเราเข้าใจนะคะ เงินแค่สี่-ห้าแสนมันไม่มาก แต่นั่นก็แค่เงินอ้อย มันมีรายละเอียดอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ บางคนก็พูดถึงการบริหารของรัฐบาลชุดที่แล้ว (และชุดนี้) ว่าทำงานแย่เศรษฐิเลยไม่ดี เพราะพี่เราที่เคยขายของได้เงินหลักหมื่นตอนนี้ก็เจ๋งเหมือนกัน

ปล.เราไม่ได้บัตรคนจนนะคะ แม่ไม่ยอมทำเด็ดขาดเลย

สุดท้าย เรามีคำถามเกี่ยวกับการเงินต่างๆ ที่อยากให้ทุกคนตอบหน่อยค่ะ

1. ทำไมถึงเป็นแบบนี้ คนอื่นเป็นกันไหมคะ
2. แล้วเป็นเนี่ย คิดว่าเพราะอะไรกันหรอคะ
3. เกี่ยวกับรัฐบาลชุดนี้ไหมคะ (เพราะป้าครั่งชาติแถวบ้านเถียงใจขาดเลยว่าไม่เกี่ยว)
4. มีหนทางไหนที่จะทำให้ดีขึ้นบ้าง
5. มีแหล่งกู้เงินดอกถูกๆไหมคะ เพราะเราไม่อยากให้ปล่อยรถหกล้อเลย
6. ถ้าปัจจุบันจะซ้ำกับวิกฤตต้มยํากุ้ง แล้วจะเกิดอะไรร้ายแรงหรือเปล่า
7. ฆ่าตัวตายบาปไหมคะ

ตรงๆ อยากบอกว่าไม่อยากอดตายค่ะ ยังอยากมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าให้มีชีวิตพร้อมความอดอยากแบบไม่มีศักดิ์ต้องขอญาติไปวันๆ ก็ตายดีกว่าค่ะ
ช่วยหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ/\
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
โทษทุกอย่าง ไม่โทษตัวเอง

1. รถหกล้อผ่อนไม่หมด ออกรถยนต์อีก

2. บอกขี่มอไซย์ไม่ไกว แต่พอมาตอนนี้ทำไมไหว คุณมีมอไซย์ อีกหลายคนเขาปั่นจักรยาน อีกหลายคนขึ้นรถเมล์ อีกหลายคนเดิน

3. บอกว่ารายได้ดีไม่เท่าเก่าแต่ยังดันทุรัง ทำแบบเดิม จะโทษใคร

4.สินค้าเกษตรมันเอาแน่เอานอน ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมา

อย่าโทษใครเลย อย่างที่ญาติคุณบอก แม่คุณบริหารเงินผิดพลาดเอง

ไม่พร้อมแต่ยังออกรถยนต์ ไม่พอยังกู้นอกระบบมาจ่ายอีก

อย่าไปโทษว่าญาติยุ ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวเองว่าไหวไม่ไหว ไม่ใช่แค่ตอนนั้นไหว เลยออกคิดง่ายไป

ถ้าออกมาแล้วสร้างรายได้ ว่าไปอย่างนี้แค่ออกมารับส่งลูก รายได้ไม่เพิ่มมีแต่รายจ่าย พ่อคุณเขาคงดูออกแต่แรก ถึงได้ห้าม สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น

ตอนนี้ก็ต้องหางานพิเศษช่วยเพิ่มรายได้แหละ
ความคิดเห็นที่ 13
1. ช่างคนอื่นเถอะ เขาเป็นหรือไม่เป็น คุณรู้ไปไม่ได้เกินประโยชน์ครับ
2. เอาประเด็นคุณก่อน เรื่องอ้อย ปัจจุบันรัฐเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตเลยลดการใช้น้ำตาล ซึ่งมีผลกับราคาอ้อยแน่นอน
รัฐอ้างคนไทยกินหวานเยอะ เลยพยายามหาทางลดน้ำตาลลง โดยการบีบผู้ผลิตด้วยการขึ้นภาษี, บางคนมองว่ารัฐถังแตกเลยหาเรื่องขึ้นภาษีเอาเงิน ซึ่งผมคิดว่าไม่จริง เพราะหลักอุปสงค์อุปทาน เมื่อราคาของแพงขึ้น ปริมาณที่ขายได้จะลดลง เมื่อเกินจุดนึงกำไรจะลดลง (ถูกเกินไปแต่ขายเยอะก็ไม่ดี แพงไปแต่ขายได้น้อยก็ไม่ดี) การขึ้นภาษีจึงไม่ได้หมายความว่ารัฐจะได้เงินเพิ่มขึ้นเสมอไป แต่ปริมาณน้ำตาลที่คนไทยกินลดลงแน่นอน เพราะผู้ผลิตต้องการกำไรสูงสุด จึงเปลี่ยนสูตรใช้สารให้ความหวานหรือลดน้ำตาลลงทำให้โดนภาษีน้อยกว่าแทน
3. ประเด็นของคุณ รัฐก็มีส่วน แต่ครอบครัวคุณเองก็มีส่วน เพราะเกษตรกร ราคาขึ้นกับความต้องการตลาด ผลผลิตขึ้นกับสภาพอากาศ เท่าที่อ่านเหมือนว่าคุณเจอปัญหาตอน ม 3 ก็ราว 15-16 ซึ่งหมายความว่าเพิ่งเจอปัญหามาประมาณปีเดียวก็ไปไม่เป็นแล้วนะครับ จะบอกว่าบ้านคุณบริหารจัดการความเสี่ยงไม่เป็นก็น่าจะได้
4. ไม่ทราบครับ ราคาสินค้าขึ้นกับความต้องการของตลาด อาจจะต้องเพิ่มพืชชนิดอื่นปลูกดู หรือเปลี่ยนงานทำ
5. เก็บรถไว้ แล้วกู้เงินเพิ่ม จ่ายดอกเบี้ย มีแต่จะทำให้แย่ลงนะครับ
6. สถานการณ์โลกตอนนี้ยังไม่เกิดวิกฤตนะครับ แค่กำลังจะเริ่ม ทั่วโลกคาดว่าใกล้ๆนี้ จากที่หลายประเทศที่เศรษฐกิจไม่ดี + จีนกับอเมริกาตีกัน ดังนั้นลดหนี้ได้ควรจะลด
7. แล้วแต่มุมมอง ถ้ามีศาสนาก็บาป ถ้าไม่มีก็ไม่บาป(มั้ง) แต่ฆ่าตัวตายหนี้ความทุกข์ มันก็เป็นการหนี้ความสุขไปด้วยในตัว ยังไงสักวันก็ต้องตายอยู่แล้ว จะรีบตายไปทำไม ศักดิ์ศรีกินไม่ได้ครับ ถ้ามีศักดิ์ศรีขนาดนั้น ก็ให้ญาติทำบุญทำคุณไว้ แล้วคุณก็ทดแทนบุญคุณในอนาคตสิ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่