สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
พระพุทธเจ้าฉันอะไรเวลาป่วย พระสาวกฉันอะไรเวลาป่วย คนสมัยก่อนกินอะไรเวลาป่วย และอะไรคือน้ำมูตรเน่า?
---------------------------
เรื่องการกินหรือดื่มปัสสาวะนั้น ใครจะเชื่อจะปฏฺิบัติก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ไม่ควรไปอ้างที่มามั่วๆ หรือแม้แต่อ้างศาสนา เพื่อบูชาความโง่เขลาของตัวเอง
.
เมื่อเราศึกษาจากพระไตรปิฎก เราจะเห็นพระพุทธเจ้ากล่าวถึงน้ำมูตรเน่าน้อยมาก
.
อาจจะมีเพียงที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงข้อปฏิบัติบางข้อของพระสงฆ์ เช่นเรื่องการถือนิสสัย แต่ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้เพื่อพระสงฆ์ ในช่วงเวลาที่ไม่มีลาภหรือได้รับถวายเภสัช น้ำมูตรเน่านั้นก็ไม่ใช่ดื่มปัสสาวะเปล่าๆ อีก แต่เป็นยาดองผสมกับผลไม้บางชนิดที่ต้องอาศัยปัสสาวะหรือน้ำดองบางอย่างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยา ตามการรักษาในสมัยนั้น และไม่ใช่ว่าทุกโรคภัยไข้เจ็บ อาศัยปัสสาวะอย่างเดียวรักษา
.
แต่แทบไม่มีที่พระองค์จะตรัสสรรเสริญคุณของการดื่มน้ำมูตรเน่าหรือปัสสาวะคนแต่อย่างใด ในพระไตรปิฎกมีแต่พูดถึงว่าใครป่วยเป็นอะไรก็รักษาโรคตามอาการ
.
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่พระพุทธเจ้าถูกสะเก็ดหินที่พระเทวทัตกลิ้งใส่ พระพุทธเจ้าก็ให้หมอชีวกช่วยผ่าตัดเอาเลือดคั่งออก แล้วพันผ้าพันแผล ไม่ได้บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงเอาปัสสาวะของใครหรือของพระองค์มารดแผลแต่อย่างใด
.
ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่าถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระอาการท้องผูก (คัมภีร์ใช้คำว่า ทรงมีร่างกายหมักหมมไปด้วยโทษ หรือก็คือมีของเสียที่ถ่ายไม่ออก) จึงให้หมอชีวกช่วยทำยาถ่ายถวาย
.
หมอชีวกก็ถวายยาดมจากดอกบัวอบยาระบาย ให้พระพุทธเจ้าทรงสูดกลิ่นเพื่อเป็นยาระบาย พระพุทธเจ้าทรงรับยาดมระบายนั้นและทรงถ่ายถึงสามสิบครั้ง ทำให้ร่างกายเบาสบายขึ้น
.
ไม่ปรากฏว่าพระองค์เสวยน้ำปัสสาวะแทนยาระบายแต่อย่างใด
.
ไม่ใช่แต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น
.
พระสารีบุตรป่วยเป็นโรคลมจุกเสียดแน่นท้อง พระมหาโมคคัลลานะถามว่า เมื่อก่อนกินยาอะไรถึงหาย พระสารีบุตรก็บอกว่าหายเพราะฉันกระเทียม
.
พอฉันกระเทียม อาการป่วยก็หายไป
.
เวลาชาวพุทธไปที่วัดเชตวัน หรือไปวัดในช่วงเวลาเย็น ก็มักหยิบน้ำปานะบ้าง หยิบเภสัช ชีส เนยแข็ง น้ำมัน น้ำผึ้ง ไปถวายพระ เป็นเภสัช ไม่ปรากฏว่ามีใครเอาน้ำปัสสาวะไปถวายพระ
.
พระบางรูปมีอาการเจ็บตา ก็ขอให้หมอรักษาตาปรุงยาถวาย ไม่มีพระรูปไหนเอาปัสสาวะมาทาตาหรือหยอดตา
.
------------------
บางทีผมเจอคนอ้างพระสูตรบางพระสูตร มาบอกว่าพระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ฉันปัสสาวะ เช่นอ้างมหาธรรมสมาทานสูตร
.
แต่อ้างเพราะเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า?
.
ในมหาธรรมสมาทานสูตร มีข้อความหนึ่งว่า
.
----------------------------------------------
"ภิกษุทั้งหลาย (สมมติว่า) มีน้ำมูตรเน่าที่ระคนด้วยตัวยา
ต่างๆ ทีนั้น ก็มีคนเป็นโรคผอมเหลืองมาถึง, พวกคนก็พูดกะเขาอย่างนี้ ว่า "นี่แน่ะ นาย นี้น้ำมูตรเน่าที่เอาตัวยาต่างๆ มาระคน ถ้าคุณต้องการก็ดื่มเถิด, และขณะที่คุณกำลังดื่มมันอยู่นั้นแหละ จะไม่อาเจียน เพราะสี เพราะกลิ่น หรือเพราะรสเลย อีกทั้งเมื่อดื่มเสร็จแล้ว คุณก็จะมีความสุขด้วย"
.
เขาก็ดื่มมันโดยที่ได้พิจารณาแล้ว และก็ไม่บ้วนทิ้งด้วย. และตอนที่เขากำลัง ดื่มมันอยู่นั้นแหละ ไม่ว่าสีไม่ว่ากลิ่น หรือรส ก็ไม่ทำให้อาเจียน แต่ทว่าเมื่อดื่มเสร็จแล้ว เขาก็มีความสุขแม้ฉันใด; ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวถึงการถือมั่นสิ่งนี้ คือถือมั่นสิ่งที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่ต่อไปมีสุขเป็นผลว่ามีการ
เปรียบเป็นฉันนั้น.
----------------------------------------------
.
แล้วก็มีคนเอามาอ้างกันเต็มไปหมดว่า มหาธรรมสมาทานสูตรนี่แหละที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ดื่มน้ำปัสสาวะ
.
แต่คนอ้างก็คงอ่านไม่เข้าใจเองว่า มหาธรรมสมาทานสูตรนั้น พระพุทธเจ้าตรัสถึงการยึดมั่นถือมั่น หรือการปฏิบัติตนบางอย่าง มีทั้งสุข ทั้งทุกข์ และมีผลเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง
.
พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างมาสี่ตัวอย่างคือ มีคนที่ยื่นหม้อน้ำเต้าเจือยาพิษบ้าง หม้อน้ำสัมฤทธิ์เจือยาพิษบ้าง น้ำมูตรเจือด้วยยานานาประเภทบ้าง และเภสัชนานาประเภทผสมด้วยเนยแข็ง ชีส น้ำมัน น้ำผึ้งบ้าง ให้คนดื่ม
.
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
.
การถือปฏิบัติบางอย่าง มีเป็นทุกข์ขณะปฏิบัติ และมีผลเป็นทุกข์ในอนาคต (เหมือนดื่มน้ำในน้ำเต้าเจือยาพิษ)
.
การถือปฏิบัติบางอย่าง มีผลเป็นสุขในขณะปฏิบัติ และมีผลเป็นทุกข์ในอนาคต (เหมือนดื่มน้ำในหม้อสัมฤทธิ์เจือยาพิษ)
.
การถือปฏิบัติบางอย่าง มีทุกข์ในขณะปฏิบัติ แต่มีผลเป็นสุขในอนาคต (เหมือนคนป่วยโรคบางประเภท ต้องดื่มน้ำมูตรเจือด้วยยาประเภทต่างๆ ทำให้หายโรค แต่ขณะดื่มก็มีความทุกข์อยู่)
.
การถือปฏิบัติบางอย่าง มีสุขในขณะปฏิบัติ และมีผลเป็นสุขในอนาคต (เหมือนคนป่วยด้วยโรคบางประเภท เมื่อได้ดื่มยาเภสัชต่างๆ ที่มีรสอร่อย เมื่อดื่มก็เป็นสุข และโรคก็หาย)
.
มหาธรรมสมาทานสูตร มีจุดมุ่งหมายเพื่อการสอนว่า มีการปฏิบัติตนบางอย่าง ทำให้มีผลเป็นทั้งทุกข์หรือสุข
.
ทั้งนี้ก็เพื่อจะตรัสว่า พระธรรมในพระพุทธศาสนานั้น เป็นสิ่งที่มีสุขทั้งขณะปฏิบัติ และมีสุขทั้งในอนาคต เหมือนเภสัชยาที่มีรสอร่อย และรักษาโรคได้ด้วย เป็นคำสอนที่คนทั้งหลายสรรเสริญ
.
นั่นหมายความว่า พระสูตรนี้ไม่ได้มุ่งหมายประโยชน์อะไรของน้ำมูตรเน่าหรือน้ำปัสสาวะเลย แต่มุ่งหมายถึงการปฏิบัติความดีต่างหาก
.
โดยสรุปแล้ว พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสสรรเสริญคุณของน้ำมูตรเน่าหรือน้ำปัสสาวะใดๆ ไม่เคยบอกว่าเป็นยารักษาโรคทุกชนิด แต่ตรัสว่าเป็นยาเฉพาะโรคบางชนิดที่มีความจำเป็นต้องใช้
.
และน้ำมูตรเน่าสมัยนั้น เขาหมายถึงปัสสาวะวัว หรือฉี่วัว และต้องนำมาผสมกับผลไม้บางชนิด ดองเพื่อเป็นยา ไม่ใช่ว่าดื่มน้ำปัสสาวะสดๆ แต่อย่างใด
.
เมื่อเราค้นคว้าในพระสูตรหรือพระวินัยบ้าง เฉพาะเรื่องสุขภาพหรือการปฏิบัติทางกาย พระพุทธเจ้าตรัสถึงแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ ที่ปฏิบัติได้แม้แต่ปัจจุบัน เช่น
.
ตรัสถึงประโยชน์ของไม้ชำระฟัน ว่าทำให้ฟันสะอาด ได้รับรสอาหารดี เสลดไม่ติดคอ
.
ตรัสถึงประโยชน์ของการเดินจงกรม ว่าทำให้สมาธิอยู่ได้นาน ทำให้ร่างกายแข็งแรง เดินทางไกลได้สบาย
.
ตรัสถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำข้าวยาคู ว่าย่อยง่าย ช่วยลดอาการลมจุกเสียดแน่นท้อง เป็นต้น
.
หรือแม้แต่เวลาพระสงฆ์ป่วยเป็นโรคระบาดในช่วงบางฤดู พระพุทธเจ้าก็อนุญาตให้ฉันเภสัชห้าอย่าง ไม่ปรากฏว่าทรงแนะนำให้พระฉันเยี่ยวแต่อย่างใด
.
--------------------------
.
บ่อยครั้งที่เราศึกษาและเชื่อมั่นในคำสอนหรือพระวจนะของพระพุทธเจ้า ปัญหาสำคัญก็คือ
.
เราคิดจริงๆ หรือว่า สิ่งที่เราเชื่อนั้นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ?
.
จริงหรือว่าบางครั้งเรื่องไร้สาระมากมายที่เราเชื่อว่านั่นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดไว้จริงๆ
.
นั่นจะไม่ใช่การกล่าวตู่พระพุทธเจ้าโดยอ้างเอาเองหรอกหรือ?
.
และนั่นจะไม่ทำลายพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้า ทำราวกับพระองค์เป็นคนโง่เขลาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เพียงเพราะความโง่เขลาของเราเองหรอกหรือ??
.
ถ้าเราศรัทธาในพระพุทธเจ้า ก็ไม่ควรทำเช่นนั่น
-------------------------------
อ้างอิง
เรื่องทรงรับยาดมระบายจากหมอชีวก
http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=05&siri=34#p195
เรื่องพระสารีบุตรต้องฉันกระเทียมรักษาโรคลมจุกเสียด
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=07&A=1370&Z=1387
เรื่องพุทธานุญาตเภสัช ๕ อย่าง
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=05&A=723&Z=774
เรื่องหมอชีวกผ่าพระบาทรักษาอาการห้อเลือดของพระพุทธเจ้า
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=17&p=1
https://www.facebook.com/chohovision/photos/a.1579112668995928/2337321969841657
---------------------------
เรื่องการกินหรือดื่มปัสสาวะนั้น ใครจะเชื่อจะปฏฺิบัติก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ไม่ควรไปอ้างที่มามั่วๆ หรือแม้แต่อ้างศาสนา เพื่อบูชาความโง่เขลาของตัวเอง
.
เมื่อเราศึกษาจากพระไตรปิฎก เราจะเห็นพระพุทธเจ้ากล่าวถึงน้ำมูตรเน่าน้อยมาก
.
อาจจะมีเพียงที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงข้อปฏิบัติบางข้อของพระสงฆ์ เช่นเรื่องการถือนิสสัย แต่ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้เพื่อพระสงฆ์ ในช่วงเวลาที่ไม่มีลาภหรือได้รับถวายเภสัช น้ำมูตรเน่านั้นก็ไม่ใช่ดื่มปัสสาวะเปล่าๆ อีก แต่เป็นยาดองผสมกับผลไม้บางชนิดที่ต้องอาศัยปัสสาวะหรือน้ำดองบางอย่างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยา ตามการรักษาในสมัยนั้น และไม่ใช่ว่าทุกโรคภัยไข้เจ็บ อาศัยปัสสาวะอย่างเดียวรักษา
.
แต่แทบไม่มีที่พระองค์จะตรัสสรรเสริญคุณของการดื่มน้ำมูตรเน่าหรือปัสสาวะคนแต่อย่างใด ในพระไตรปิฎกมีแต่พูดถึงว่าใครป่วยเป็นอะไรก็รักษาโรคตามอาการ
.
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่พระพุทธเจ้าถูกสะเก็ดหินที่พระเทวทัตกลิ้งใส่ พระพุทธเจ้าก็ให้หมอชีวกช่วยผ่าตัดเอาเลือดคั่งออก แล้วพันผ้าพันแผล ไม่ได้บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงเอาปัสสาวะของใครหรือของพระองค์มารดแผลแต่อย่างใด
.
ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่าถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระอาการท้องผูก (คัมภีร์ใช้คำว่า ทรงมีร่างกายหมักหมมไปด้วยโทษ หรือก็คือมีของเสียที่ถ่ายไม่ออก) จึงให้หมอชีวกช่วยทำยาถ่ายถวาย
.
หมอชีวกก็ถวายยาดมจากดอกบัวอบยาระบาย ให้พระพุทธเจ้าทรงสูดกลิ่นเพื่อเป็นยาระบาย พระพุทธเจ้าทรงรับยาดมระบายนั้นและทรงถ่ายถึงสามสิบครั้ง ทำให้ร่างกายเบาสบายขึ้น
.
ไม่ปรากฏว่าพระองค์เสวยน้ำปัสสาวะแทนยาระบายแต่อย่างใด
.
ไม่ใช่แต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น
.
พระสารีบุตรป่วยเป็นโรคลมจุกเสียดแน่นท้อง พระมหาโมคคัลลานะถามว่า เมื่อก่อนกินยาอะไรถึงหาย พระสารีบุตรก็บอกว่าหายเพราะฉันกระเทียม
.
พอฉันกระเทียม อาการป่วยก็หายไป
.
เวลาชาวพุทธไปที่วัดเชตวัน หรือไปวัดในช่วงเวลาเย็น ก็มักหยิบน้ำปานะบ้าง หยิบเภสัช ชีส เนยแข็ง น้ำมัน น้ำผึ้ง ไปถวายพระ เป็นเภสัช ไม่ปรากฏว่ามีใครเอาน้ำปัสสาวะไปถวายพระ
.
พระบางรูปมีอาการเจ็บตา ก็ขอให้หมอรักษาตาปรุงยาถวาย ไม่มีพระรูปไหนเอาปัสสาวะมาทาตาหรือหยอดตา
.
------------------
บางทีผมเจอคนอ้างพระสูตรบางพระสูตร มาบอกว่าพระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ฉันปัสสาวะ เช่นอ้างมหาธรรมสมาทานสูตร
.
แต่อ้างเพราะเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า?
.
ในมหาธรรมสมาทานสูตร มีข้อความหนึ่งว่า
.
----------------------------------------------
"ภิกษุทั้งหลาย (สมมติว่า) มีน้ำมูตรเน่าที่ระคนด้วยตัวยา
ต่างๆ ทีนั้น ก็มีคนเป็นโรคผอมเหลืองมาถึง, พวกคนก็พูดกะเขาอย่างนี้ ว่า "นี่แน่ะ นาย นี้น้ำมูตรเน่าที่เอาตัวยาต่างๆ มาระคน ถ้าคุณต้องการก็ดื่มเถิด, และขณะที่คุณกำลังดื่มมันอยู่นั้นแหละ จะไม่อาเจียน เพราะสี เพราะกลิ่น หรือเพราะรสเลย อีกทั้งเมื่อดื่มเสร็จแล้ว คุณก็จะมีความสุขด้วย"
.
เขาก็ดื่มมันโดยที่ได้พิจารณาแล้ว และก็ไม่บ้วนทิ้งด้วย. และตอนที่เขากำลัง ดื่มมันอยู่นั้นแหละ ไม่ว่าสีไม่ว่ากลิ่น หรือรส ก็ไม่ทำให้อาเจียน แต่ทว่าเมื่อดื่มเสร็จแล้ว เขาก็มีความสุขแม้ฉันใด; ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวถึงการถือมั่นสิ่งนี้ คือถือมั่นสิ่งที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่ต่อไปมีสุขเป็นผลว่ามีการ
เปรียบเป็นฉันนั้น.
----------------------------------------------
.
แล้วก็มีคนเอามาอ้างกันเต็มไปหมดว่า มหาธรรมสมาทานสูตรนี่แหละที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ดื่มน้ำปัสสาวะ
.
แต่คนอ้างก็คงอ่านไม่เข้าใจเองว่า มหาธรรมสมาทานสูตรนั้น พระพุทธเจ้าตรัสถึงการยึดมั่นถือมั่น หรือการปฏิบัติตนบางอย่าง มีทั้งสุข ทั้งทุกข์ และมีผลเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง
.
พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างมาสี่ตัวอย่างคือ มีคนที่ยื่นหม้อน้ำเต้าเจือยาพิษบ้าง หม้อน้ำสัมฤทธิ์เจือยาพิษบ้าง น้ำมูตรเจือด้วยยานานาประเภทบ้าง และเภสัชนานาประเภทผสมด้วยเนยแข็ง ชีส น้ำมัน น้ำผึ้งบ้าง ให้คนดื่ม
.
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
.
การถือปฏิบัติบางอย่าง มีเป็นทุกข์ขณะปฏิบัติ และมีผลเป็นทุกข์ในอนาคต (เหมือนดื่มน้ำในน้ำเต้าเจือยาพิษ)
.
การถือปฏิบัติบางอย่าง มีผลเป็นสุขในขณะปฏิบัติ และมีผลเป็นทุกข์ในอนาคต (เหมือนดื่มน้ำในหม้อสัมฤทธิ์เจือยาพิษ)
.
การถือปฏิบัติบางอย่าง มีทุกข์ในขณะปฏิบัติ แต่มีผลเป็นสุขในอนาคต (เหมือนคนป่วยโรคบางประเภท ต้องดื่มน้ำมูตรเจือด้วยยาประเภทต่างๆ ทำให้หายโรค แต่ขณะดื่มก็มีความทุกข์อยู่)
.
การถือปฏิบัติบางอย่าง มีสุขในขณะปฏิบัติ และมีผลเป็นสุขในอนาคต (เหมือนคนป่วยด้วยโรคบางประเภท เมื่อได้ดื่มยาเภสัชต่างๆ ที่มีรสอร่อย เมื่อดื่มก็เป็นสุข และโรคก็หาย)
.
มหาธรรมสมาทานสูตร มีจุดมุ่งหมายเพื่อการสอนว่า มีการปฏิบัติตนบางอย่าง ทำให้มีผลเป็นทั้งทุกข์หรือสุข
.
ทั้งนี้ก็เพื่อจะตรัสว่า พระธรรมในพระพุทธศาสนานั้น เป็นสิ่งที่มีสุขทั้งขณะปฏิบัติ และมีสุขทั้งในอนาคต เหมือนเภสัชยาที่มีรสอร่อย และรักษาโรคได้ด้วย เป็นคำสอนที่คนทั้งหลายสรรเสริญ
.
นั่นหมายความว่า พระสูตรนี้ไม่ได้มุ่งหมายประโยชน์อะไรของน้ำมูตรเน่าหรือน้ำปัสสาวะเลย แต่มุ่งหมายถึงการปฏิบัติความดีต่างหาก
.
โดยสรุปแล้ว พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสสรรเสริญคุณของน้ำมูตรเน่าหรือน้ำปัสสาวะใดๆ ไม่เคยบอกว่าเป็นยารักษาโรคทุกชนิด แต่ตรัสว่าเป็นยาเฉพาะโรคบางชนิดที่มีความจำเป็นต้องใช้
.
และน้ำมูตรเน่าสมัยนั้น เขาหมายถึงปัสสาวะวัว หรือฉี่วัว และต้องนำมาผสมกับผลไม้บางชนิด ดองเพื่อเป็นยา ไม่ใช่ว่าดื่มน้ำปัสสาวะสดๆ แต่อย่างใด
.
เมื่อเราค้นคว้าในพระสูตรหรือพระวินัยบ้าง เฉพาะเรื่องสุขภาพหรือการปฏิบัติทางกาย พระพุทธเจ้าตรัสถึงแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ ที่ปฏิบัติได้แม้แต่ปัจจุบัน เช่น
.
ตรัสถึงประโยชน์ของไม้ชำระฟัน ว่าทำให้ฟันสะอาด ได้รับรสอาหารดี เสลดไม่ติดคอ
.
ตรัสถึงประโยชน์ของการเดินจงกรม ว่าทำให้สมาธิอยู่ได้นาน ทำให้ร่างกายแข็งแรง เดินทางไกลได้สบาย
.
ตรัสถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำข้าวยาคู ว่าย่อยง่าย ช่วยลดอาการลมจุกเสียดแน่นท้อง เป็นต้น
.
หรือแม้แต่เวลาพระสงฆ์ป่วยเป็นโรคระบาดในช่วงบางฤดู พระพุทธเจ้าก็อนุญาตให้ฉันเภสัชห้าอย่าง ไม่ปรากฏว่าทรงแนะนำให้พระฉันเยี่ยวแต่อย่างใด
.
--------------------------
.
บ่อยครั้งที่เราศึกษาและเชื่อมั่นในคำสอนหรือพระวจนะของพระพุทธเจ้า ปัญหาสำคัญก็คือ
.
เราคิดจริงๆ หรือว่า สิ่งที่เราเชื่อนั้นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ?
.
จริงหรือว่าบางครั้งเรื่องไร้สาระมากมายที่เราเชื่อว่านั่นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดไว้จริงๆ
.
นั่นจะไม่ใช่การกล่าวตู่พระพุทธเจ้าโดยอ้างเอาเองหรอกหรือ?
.
และนั่นจะไม่ทำลายพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้า ทำราวกับพระองค์เป็นคนโง่เขลาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เพียงเพราะความโง่เขลาของเราเองหรอกหรือ??
.
ถ้าเราศรัทธาในพระพุทธเจ้า ก็ไม่ควรทำเช่นนั่น
-------------------------------
อ้างอิง
เรื่องทรงรับยาดมระบายจากหมอชีวก
http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=05&siri=34#p195
เรื่องพระสารีบุตรต้องฉันกระเทียมรักษาโรคลมจุกเสียด
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=07&A=1370&Z=1387
เรื่องพุทธานุญาตเภสัช ๕ อย่าง
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=05&A=723&Z=774
เรื่องหมอชีวกผ่าพระบาทรักษาอาการห้อเลือดของพระพุทธเจ้า
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=17&p=1
https://www.facebook.com/chohovision/photos/a.1579112668995928/2337321969841657
แสดงความคิดเห็น
ดีแน่เหรอ ? น้ำปัสสาวะเอามาดื่ม หยอดตา อาบน้ำ ล้างแผล เชื่อเป็นยาดี
หนุ่มใหญ่ ดื่มน้ำปัสสาวะ เอามาหยอดตา อาบน้ำ ล้างแผล เชื่อเป็นยาดี ตุนไว้หลายขวด
จากกรณีโลกออนไลน์กำลังให้ความสนใจ จนกลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันเรื่องของ “ปัสสาวะ”เนื่องจากมีบางคนนำมาหยอดตา ล้างแผล เช็ดตัว หรือนำมากิน เพราะเชื่อว่า รักษาโรคได้ รวมทั้งกรณีร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง ใส่ปัสสาวะตัวเองลงไปผสมในน้ำซุปให้ลูกค้ากิน โดยอ้างว่าเป็นยารักษาที่ดี ที่จะแก้ปวดเมื่อยต่างรางกายได้ ตามที่ข่าวเสนอไปแล้วนั้น
(https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_2817451)
วันที่ 23 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกออนไลน์แห่แชร์โพสต์ของ สมาชิกเฟซบุ๊กรายหนึ่ง ที่โพสต์ลงกลุ่มมหัศจรรย์น้ำปัสสาวะ ยาดีที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการนำปัสสาวะมาหยอดตา และอาบน้ำ
โดยผู้โพสต์ ระบุว่า ผมเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม ที่จ.ราชบุรี เป็นคนชอบ ปฏิบัติธรรม การนั่งสมาธิ เผอิญได้มาเจอรุ่นพี่จิตอาสาแพทย์วิถีธรรมในงานเลี้ยง ได้คุยธรรมะกัน และด้วยความ ที่กินเจมาก่อนหน้านี้ 6 เดือน พี่จิตอาสาแนะนำให้ลองดื่มน้ำปัสสาวะดู เพื่อแก้อาการปวดเมื่อยตัว
เมื่อกลับไป บ้านเลยตัดสินใจทดลองดื่มน้ำปัสสาวะ ตอนแรกที่ดื่มมีรสเค็มมาก เพราะกินอาหารเจ รสจัด หลังจากนั้นเลยตัดสินใจไปค่ายสุขภาพที่ จ.มุกดาหาร และได้มีโอกาสเข้ากลุ่มโรค ต่างๆ พี่จิตอาสาในกลุ่มได้แนะนำให้ใช้น้ำปัสสาวะล้างจมูก แก้ไซนัส หยอดหูตาและอาบน้ำ
ทุกวันนี้จะใช้หยอดตา หยอดหูในตอนเช้า ดื่มและอาบน้ำ โดยการใช้น้ำปัสสาวะกับดวงตา จะปัสสาวะใส่ขวด ทิ้งค้างไว้หนึ่งคืนแล้วตอนเช้า นำเอามากรอกตาไปมา รู้สึกเย็นสบาย ตาโล่งดี ผลที่ได้คือ ตาจะมองชัดมากเลย
แต่สำหรับคนใหม่ อาจจะใช้น้ำปัสสาวะที่สดใหม่ ไม่ต้องหมักค้างคืน ใช้แบบสดๆ หยอดตาได้เลย โดยกรอกตาไปมาเพื่อบริหาร กล้ามเนื้อตา มีอยู่ครั้งหนึ่ง โดนหมากัดที่ขาขวาเขี้ยวจม เลือดออกมากก็ตัดสินใจไม่ไปหาหมอ แต่ใช้น้ำปัสสาวะ ที่หมักไว้ ล้างแผลสด แผลก็หายเร็วและไม่เป็นแผลเป็นแต่อย่างใด ปัจจุบันใช้น้ำปัสสาวะเป็นประจำทุกวันและ ได้หมักเก็บน้ำปัสสาวะเป็นขวดๆไว้ที่บ้านจำนวนมากเพื่อ เอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
Cr..khaosod.