[CR] ANYDAY VACATION | ตอน ขับรถเที่ยวเส้นทางยอดนิยม Munich-Austria ตอนใต้-Cesky Krumlov-Prague Day 5

ความเดิมตอนที่แล้ว Day 4 https://pantip.com/topic/39110070
ฝากเป็นกำลังใจและติดตามพวกเรากันได้ที่ช่องทางอื่นๆใน
Youtube : https://bit.ly/2GA80nr
Facebook : https://bit.ly/32Y3LvK

Day 5 Innsbruck-Hallstatt

แพลนเดิมของเราวันนี้คือเข้าชม Swarovski Crystal Worlds ในช่วงเช้าแล้วขับรถไป Salzburg  2 ชมใช้เวลาเที่ยวทั้งบ่ายจนถึงเย็นที่นี่แล้วขับรถต่อไปHallstatt แต่สุดท้ายมีเหตุให้ต้องปรับแผนกะทันหัน ซึ่งการเช่ารถก็มีข้อดีหนึ่งอย่างตรงความยืดหยุ่นของการเดินทางนี่เองแล้วตามไปดูกันว่าพวกเราปรับแผนกันอย่างไร 

เริ่มต้นเช้าวันนี้ด้วยการเก็บบรรยากาศของ Innsbruck ยามเช้าซึ่งพยากรณ์อากาศบอกไว้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของฝนก่อนอากาศจะเริ่มสดใสไปอีกหลายวัน...Triumphpforte 
รูปทางด้านหน้าของServitenkirche (Sankt Josef) ซึ่งมีส่วนนึงของโบสถ์น้อย(Chapel) ยื่นนูนออกมาจากผนังสวยแปลกตาไปอีกแบบ
ผ่านหน้า Annasäule (St. Anne’s Column) ตรงนี้ก็จะมองเห็น Hospital Church of the Holy Spirit อยู่ถัดไปอีกไม่ไกลเมฆหมอกหนาเลยมองไม่เห็นภูเขาเป็นฉากหลัง
เดินตรงไปจะมองเห็น Golden roof และหอประจำเมือง Stadtturm Innsbruck
บอกลาตัวเมือง Innsbruck ไปด้วยภาพ Golden roof เต็มตัว พร้อมออกเดินทางไป Swarovski Crystal Worlds ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไป แค่20 กม. 

ที่ Swarovski Kristallwelten เริ่มเปิดให้เข้าชมตั้งแต่08.30-19.30 (แต่1 ก.ค. ถึง31 ส.ค. จะเปิด 08.30-22.00) ที่นี่จะแบ่งเป็น3 โซนใหญ่คือThe Giant, The Garden และPlaytower and Labyrinth ว่าแล้วก็พาไปที่ทางเข้าของThe Giant กันเลย
อันนี้คือญาติสนิทของ The Giant 
The Giant ซึ่งเป็นส่วนจัดแสดงงาน art แสงสีเสียงและที่ขาดไม่ได้ก็คือ Crystal จาก Swarovski ที่นำมาจัดแสดงในห้องแบ่งเป็น17 themes เรียกว่า.     17 Chambers of Wonder นี่คือห้องเปิดตัวเรียกว่า“Blue hall” เป็นทรงห้องเฉียงๆใช้สีที่เรียกว่า International Klein Blue เป็นสีหลักและมีงานศิลปะประดับ Crystal อยู่หลายชิ้นเป็นการเรียกน้ำย่อยให้กับผู้ชม
ห้องนี้เรียกว่า “Crystal dome” ซึ่งไม่ต้องพูดเยอะ.. ชัดเจน 
Crystal ระยิบระยับเปลี่ยนสีไปมาเป็นฉากหลังให้ Portrait สวยๆ
ในความมืดมิดก็มีแสงสว่างจาก “Silen light” ต้นนี้ให้เราได้เฝ้ามองห้องนี้สวยมาก ก ไก่ ล้านตัว
ห้องนี้เปิดเข้าไปจะให้ความรู้สึกจี๊ดๆกับแสง Neon เคล้ากับเพลง Style ภาระตะกับห้องที่มีชื่อว่า“Ready to Love”  
ห้องสวยๆที่เล่นกับสีขาวและ Crystal สีเงินใน concept “Transparent Opacity” 

และ ห้องที่พวกเรายกให้เป็นที่สุดของที่นี่ ก็คือ “Chandelier in Grief” โคมระย้าที่หมุนในห้องที่ถูกสร้างมาในลักษณะ Infinity Mirror Room จะสะกดทุกคนให้ยืนมองและล่องลอยไปในอากาศ
นอกจากนี้ ยังมีห้องอื่นๆที่น่าสนใจสวยงามแปลกตามากมาย ขอย้ำว่าอยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัส เช่น Studio Job Wunderkammer เมืองจำลองแนว Miniature ที่ประดับ crystal ระยิบระยับ
FAMOS จัดแสดงแบบจำลองสถาปัตยกรรมของสถานที่สำคัญ ซึ่งทำจากCrystal
Timeless ห้องสุดท้ายที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ของ Swarovski รวมไปถึงผลงานบางส่วนของการออกแบบเครื่องประดับที่เคยถูกใช้ในพิธีสำคัญหรือบุคคลสำคัญต่างๆ.. รองเท้าแก้วคู่นี้ก็เช่นกัน
ก่อนจะออกประตูจะมี Zone ขายสินค้าของ Swarovski ยาวเป็นงูเลื้อยดักรอให้เสียทรัพย์ ทันใดนั้นสายตาเหลือบไปเห็นทางรอดนั่นก็คือ Stand ถ่ายรูปซึ่งอยู่เกือบถึงประตูทางออก(หลอกล่อไปถึงตรงนี้ก็ย้อนกลับไปเสียทรัพย์ลำบากแล้วอิอิ)

แต่เมื่อออกประตูมาก็พบว่าฝนหนาเม็ดกว่าที่คิด เช็คอากาศที่ Salzburg ก็ฝนทั้งวัน มองแพลนของทริปว่าจะขยับไปทางไหนดีและแล้วก็มาลงเอย ที่ Munich ซึ่งจะยังไม่มีฝนตกไปอีกประมาณ 4-5 ชั่วโมง คล้ายจะดูย้อนทางกลับไปนิด(แต่คิดว่าตัดสินใจถูกเพราะSalzburg ในวันที่ไม่มีฝนนั้นมัน...ร้อน..เอ๊ยยสวยจริงๆ555 ) ถึง Munich ก็บุกเขตนักท่องเที่ยว Marienplatz นั่นเอง 
ที่ Marienplatz เนืองแน่นไปด้วยผู้คนพวกเราจึงเลือกขึ้น St. Peter's Church Tower (ก็แค่บันไดกว่า300 ขั้นเท่านั้น) ค่าขึ้นชมคนละ3 ยูโร ตัวบันไดค่อนข้างแคบและต้องสวนกับคนที่กำลังเดินลงมาทำให้ต้องหยุดเป็นพักๆ แต่ขึ้นมาแล้วก็สวยคุ้มค่า 
การมองลงมาเห็น New Town Hall เลยไปจนถึงโบสถ์ Frauenkirche ทำให้หายเหนื่อยไปได้เยอะ
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งจะมองเห็นโบสถ์ Heiliggeistkirche (ปล. เวลายื่นกล้องออกไปถ่ายภาพโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือมันก็จะสั่นๆหน่อย ระวังหลุดมือกันด้วย) 
เมื่อลงมาถึงข้างล่างก็ออกสำรวจพื้นที่โดยรอบ (ไว้แพลนมาเก็บรูปซ้ำอีกทีเช้าวันสุดท้ายก่อนจะบินกลับ) จากนั้นก็หาอะไรเติมพลังเข้าท้องกันสักนิด
มุมตรงข้ามของร้าน Donisl จะพบกับ Wurmeck หรือ Dragon corner ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Munich city hall ว่ากันว่ามังกรตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ของความตายในช่วงที่มีโรคระบาดร้ายแรง(Plague) เกิดขึ้นแต่สุดท้ายเจ้ามังกรก็ถูกปราบพิชิตจากความกล้าหาญของชาวเมืองในที่สุด 
ภาพยอดโบสถ์ Frauenkirche จากฝั่งถนนนึง 
ไปสู่อีกฟากนึงของโบสถ์ Frauenkirche สีส้มอิฐนี่สวยจริงๆ
เดินไปมาก็เกือบครบ 4 ชั่วโมงซึ่งฝนก็มาตามนัดจริงๆ เมื่อฝนเม็ดแรกเริ่มตกลงมาก็เป็นเวลาที่ตัดสินใจเดินกลับไปที่รถ.. แต่เดี๋ยวๆเมื่อเดินเจอร้าน chocolate เจ้าดังสัญชาติBelgium ชื่อร้าน Neuhaus พร้อมเหลือบเห็นคำว่า Ice cream หน้าร้านก็อดไม่ได้ที่จะแวะเข้าไปที่นี่เป็นIce cream แบบdipping 
ลา Munich ในวันนี้ไปด้วยภาพด้านนอกของโบสถ์ Salvatorkirche ซึ่งในช่วงที่ไปมีการซ่อมถนนแถวนี้ทำให้ต้องหลบมุมเล็กน้อย

จากนั้นจึงออกจากเมืองขับรถมุ่งไปยัง Hallstatt ซึ่งอยู่ห่างออกไป3 ชั่วโมงด้วยใจหวังว่าฝนที่ Hallstatt จะยังปราณีให้พอเก็บรูปยามเย็นได้บ้าง เส้นทางขับรถไปHallstatt นั้นเรียกว่าไม่ได้ยากเย็นมากนัก จะมีแค่ช่วง50 กม. สุดท้ายเท่านั้นที่มีลักษณะเป็นเลนสวนกันลัดเลาะไปตามหมู่บ้านเล็กๆสลับกับเนินเขา 
ที่พักของเราอยู่ห่างจากTourist information ในระยะเดิน5 นาที (ช่วงกลางเดือนเม.ย. เป็นต้นไป ก็จะเริ่มมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาที่นี่จนไปพีคสูงสุดในช่วงเดือนก.ย. ทำให้ที่พักมักจะเต็มค่อนข้างเร็ว ที่พักในราคาน้อยกว่า 5,000 บาทนั้นเต็มตั้งแต่ช่วง 4 เดือนก่อนเดินทางแล้ว จึงไปจองที่พักเมืองใกล้ๆไว้ก่อน แต่ 1 เดือนก่อนเดินทาง "Grüner Anger" ก็โผล่มาในราคา108 ยูโรกับ ดีกรีอันดับ1 ใน16 ที่พักหมวด B&B พร้อมที่จอดรถและอาหารเช้า.. ก้อจัดสิค้าบ) 
เมื่อเดินมาด้านข้างมุมเดียวกับหน้าต่างห้องพักของเราก็จะได้บรรยากาศโอบล้อมด้วยภูเขาและสายหมอก 
แม้ว่าจะเป็นเวลาเกือบสองทุ่มและมีฝนตกแต่ที่นี่ก็ยังไม่มืด พวกเราจึงแวะไปจุดชมวิวตรงบริเวณ Tourist information ณ จุดตรงนี้ จะเป็นท่าเรือ Ferry และเป็นจุดจอดรถบัสที่จะพานักท่องเที่ยวมายังเมืองนี้อีกด้วย จากมุมนี้จะมองเห็น Evangelical Church of Hallstatt 
เนื่องจากฟ้าฝนยังไม่ค่อยเป็นใจและมีความล้ามาจากการเดินทาง พวกเราจึงตัดสินใจกลับโรงแรมไปวางแผนดัดแปลง trip พร้อมกับคาดหวังว่าพยากรณ์อากาศจะถูกต้องแม่นยำ เพราะตั้งแต่วันพรุ่งนี้เช้าน่าจะไม่เจอฝนอีกแล้ว จึงขอลาไปด้วยภาพทะเลสาบ Hallstatt ในวันน้ำไม่นิ่ง แล้วรอติดตามบรรยากาศยามเช้าที่ Hallstatt กับพวกเราในวันพรุ่งนี้ Day 6