เราเป็นมนุษย์ที่เรียน จบ ป.ตรี มา ด้วยเกียรตินิยม เเต่ชีวิตกลับต้องพบกับ ความคาดหวังของพ่อเเม่ ว่าอยากให้กลับมาช่วยงานครอบครัว ซึ่งในตอนเเรกมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้เครียด เเต่หลังๆมา เราต้องรับรู้ทั้งปัญหาครอบครัว ปัญหาระหว่างญาติพี่น้อง ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อเเละบันทอนจิตใจเรามากๆ เวลาทำงานของเราคือ 7วันเต็ม
ชีวิตเราไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เงินทุกบาททุกสตางค์ คือหาเข้าครอบครัว อยากได้อะไรต้องผ่านการอนุมัติจากพ่อเเม่ เหมือนเด็ก หรือไม่ก็หยิบใช้ตามใจชอบ เเต่ด้วยความที่เราเป็นคนไม่ชอบการหยิบเงินไปใช้ตามอำเภอใจ เราอยากให้พ่อเเม่เรากำหนดเงินเดือนให้ ซึ่งเราพูดกับท่านหลายรอบ ท่านก็บอกว่าที่หามาได้ทั้งหมดคือของเรา อยากได้เท่าไรให้เอาไป เเบบนี้เรียกว่าพ่อเเม่รังเเกฉันได้หรือเปล่า เราไม่ได้ต้องการเงินทั้งหมดของครอบครัว เเต่สิ่งที่ต้องการคืออยากให้กำหนดให้เราเหมือนพนักงานบริษัทเลย ถ้าท่านอยากให้เราทำงานช่วย โดยไม่มีปัญหาภายหลัง เราเชื่อว่าสิ่งที่พ่อเเม่เราทำเเละสอนเรามันไม่ถูกต้องที่ให้เราเข้ามาทำงาน เเล้วต้องเเบกรับกับปัญหาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ซึ่งเราไม่เกี่ยง เเต่เรื่องที่ผลักดันเงินทั้งหมดมาให้เราดูเเล เเละบีบให้เป็นความรับผิดชอบของเรา พร้อมทั้งต้องค่อยจุนเจือครอบครัวพี่สาวตลอดเวลาเราไม่โอเค จนเริ่มมีปากเสียงกันในบางครั้ง เพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ เเฟร์ จึงได้พูดเเละทักท้วงไป ให้ท่านได้รู้ว่าเราคิดอย่างไร เเต่ทุกครั้งที่พูดไป มักเกิดมีปากเสียงกับพ่อเเม่ทุกครั้ง ท่านชอบว่า ว่าเราไม่อยากช่วยเหลือครอบครัวพี่สาว ไม่รักพี่รักน้อง ซึ่งเราอยากบอกมากเลยว่า ไม่ใช่ไม่รัก ช่วยเหลือได้เเต่บางครั้งมันมากเกินไป เช่น พี่จะซื้อรถ เเต่เราต้องเป็นคนหาเอกสารทุกอย่าง ดำเนินการทุกอย่าง พี่ไม่ต้องทำอะไรเลยมีหน้าที่ขับรถออกจากโชว์รูมอย่างเดียว ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้โดนด่า ,พี่สาวไม่ได้ทำงานกับครอบครัวเเต่ได้เงินสัปดาห์ละ 1500 เเละเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ เล่านี้เเหละที่มันทำให้เราเกิดความน้อยใจในพ่อเเม่ เเละโชคชะตาของตัวเอง
อีกทั้งยังมาเห็นเพื่อนๆ ที่กล้าเลือกเดินในเส้นทางของตัวเอง เเล้วเค้าสามาถเลี้ยงดูตัวเองได้ โดยไม่ต้องขอเงินพ่อเเม่ ก็ยิ่งทำให้เราอายเพื่อนทุกครั้งที่เพื่อนมาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนสามารถทำนู่น ทำนี้ให้พ่อเเม่ได้ เเต่เราไม่สามารถทำได้ ได้เเต่ช่วยงานเท่านั้น
ซึ่งส่งผลให้เราเกิดความท้อเเท้ เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ในตัวเองที่สะสมมากขึ้น จนบางครั้งเราคิดว่าเราเข้าข่ายเป็น โรค"ซึมเศร้า" เพราะรู้สึกว่าตัวเองเก็บอารมณ์ได้ไม่ค่อยดีเหมือนเมื่อก่อน ในหัวคิดเเต่เรื่องตายๆ กับตาย รู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากอยู่คนเดียวไม่อยากเจอใคร ไม่อยากรับโทรศัพท์ ดูหนังก็ไม่สนุกเหมือนเดิมเพราะจิตใจไม่จดจ่ออยู่กับมัน ทำงานก็ไม่มีความสุข
คำถาม 1.เราคิดว่าเราเป็นโรค ซึมเศร้าเเหละ เเต่ไม่อยากกินยารักษาได้ไหม
2.ถ้าเราอยากเริ่มออกเดินทาง ไปเที่ยวบ้างเจอผู้คน ที่ไม่ใช่ครอบครัวตัวเองบ้าง มันจะทำให้อาการเราดีขึ้นไหม
3.อยากถามคนที่เรียนจบเเล้วมาช่วยงานที่บ้าน คุณมีวิธีการจัดการปัญหานี้ยังไง
4.เรารู้สึกว่าพ่อเเม่หวังดีเกินไป จนทำร้ายๆ ลูก เราควรพูดกับพ่อเเม่อย่างไร ว่าสิ่งที่เค้าทำอยู่ปัจจุบันไม่ถูกต้อง
สุดท้าย เราคิดว่าพ่อเเม่เราคงอยากให้ที่บ้านทำงานเเบบ กงสี เเต่เราว่า กงสีเเบบนี้มันไม่โอเค คนที่ทำดีไม่ได้ดี คนที่ไม่ทำอะไรเลยกลับได้ดี ถ้าบ้านเราเป็นเเบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เรากลัวความน้อยใจของเรามันสะสมจนเป็นโรคซึมเศร้าเเละฆ่าตัวตายในที่สุด เพราะเราไม่สามารถเปิดใจคุยกับใครในบ้านได้เลย พอจะมีวิธีบอกให้พ่อเเม่รับรู้ไหม ว่าการกระทำของเค้ามันทำร้ายเรามากๆ เเละอนาคตอาจส่งผลให้เรากับพี่สาวเกลียดกันไปเลยก็ได้
อยากออกจากวังวลความ "ซึมเศร้า" ไปพบทางสว่าง
ชีวิตเราไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เงินทุกบาททุกสตางค์ คือหาเข้าครอบครัว อยากได้อะไรต้องผ่านการอนุมัติจากพ่อเเม่ เหมือนเด็ก หรือไม่ก็หยิบใช้ตามใจชอบ เเต่ด้วยความที่เราเป็นคนไม่ชอบการหยิบเงินไปใช้ตามอำเภอใจ เราอยากให้พ่อเเม่เรากำหนดเงินเดือนให้ ซึ่งเราพูดกับท่านหลายรอบ ท่านก็บอกว่าที่หามาได้ทั้งหมดคือของเรา อยากได้เท่าไรให้เอาไป เเบบนี้เรียกว่าพ่อเเม่รังเเกฉันได้หรือเปล่า เราไม่ได้ต้องการเงินทั้งหมดของครอบครัว เเต่สิ่งที่ต้องการคืออยากให้กำหนดให้เราเหมือนพนักงานบริษัทเลย ถ้าท่านอยากให้เราทำงานช่วย โดยไม่มีปัญหาภายหลัง เราเชื่อว่าสิ่งที่พ่อเเม่เราทำเเละสอนเรามันไม่ถูกต้องที่ให้เราเข้ามาทำงาน เเล้วต้องเเบกรับกับปัญหาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ซึ่งเราไม่เกี่ยง เเต่เรื่องที่ผลักดันเงินทั้งหมดมาให้เราดูเเล เเละบีบให้เป็นความรับผิดชอบของเรา พร้อมทั้งต้องค่อยจุนเจือครอบครัวพี่สาวตลอดเวลาเราไม่โอเค จนเริ่มมีปากเสียงกันในบางครั้ง เพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ เเฟร์ จึงได้พูดเเละทักท้วงไป ให้ท่านได้รู้ว่าเราคิดอย่างไร เเต่ทุกครั้งที่พูดไป มักเกิดมีปากเสียงกับพ่อเเม่ทุกครั้ง ท่านชอบว่า ว่าเราไม่อยากช่วยเหลือครอบครัวพี่สาว ไม่รักพี่รักน้อง ซึ่งเราอยากบอกมากเลยว่า ไม่ใช่ไม่รัก ช่วยเหลือได้เเต่บางครั้งมันมากเกินไป เช่น พี่จะซื้อรถ เเต่เราต้องเป็นคนหาเอกสารทุกอย่าง ดำเนินการทุกอย่าง พี่ไม่ต้องทำอะไรเลยมีหน้าที่ขับรถออกจากโชว์รูมอย่างเดียว ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้โดนด่า ,พี่สาวไม่ได้ทำงานกับครอบครัวเเต่ได้เงินสัปดาห์ละ 1500 เเละเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ เล่านี้เเหละที่มันทำให้เราเกิดความน้อยใจในพ่อเเม่ เเละโชคชะตาของตัวเอง
อีกทั้งยังมาเห็นเพื่อนๆ ที่กล้าเลือกเดินในเส้นทางของตัวเอง เเล้วเค้าสามาถเลี้ยงดูตัวเองได้ โดยไม่ต้องขอเงินพ่อเเม่ ก็ยิ่งทำให้เราอายเพื่อนทุกครั้งที่เพื่อนมาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนสามารถทำนู่น ทำนี้ให้พ่อเเม่ได้ เเต่เราไม่สามารถทำได้ ได้เเต่ช่วยงานเท่านั้น
ซึ่งส่งผลให้เราเกิดความท้อเเท้ เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ในตัวเองที่สะสมมากขึ้น จนบางครั้งเราคิดว่าเราเข้าข่ายเป็น โรค"ซึมเศร้า" เพราะรู้สึกว่าตัวเองเก็บอารมณ์ได้ไม่ค่อยดีเหมือนเมื่อก่อน ในหัวคิดเเต่เรื่องตายๆ กับตาย รู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากอยู่คนเดียวไม่อยากเจอใคร ไม่อยากรับโทรศัพท์ ดูหนังก็ไม่สนุกเหมือนเดิมเพราะจิตใจไม่จดจ่ออยู่กับมัน ทำงานก็ไม่มีความสุข
คำถาม 1.เราคิดว่าเราเป็นโรค ซึมเศร้าเเหละ เเต่ไม่อยากกินยารักษาได้ไหม
2.ถ้าเราอยากเริ่มออกเดินทาง ไปเที่ยวบ้างเจอผู้คน ที่ไม่ใช่ครอบครัวตัวเองบ้าง มันจะทำให้อาการเราดีขึ้นไหม
3.อยากถามคนที่เรียนจบเเล้วมาช่วยงานที่บ้าน คุณมีวิธีการจัดการปัญหานี้ยังไง
4.เรารู้สึกว่าพ่อเเม่หวังดีเกินไป จนทำร้ายๆ ลูก เราควรพูดกับพ่อเเม่อย่างไร ว่าสิ่งที่เค้าทำอยู่ปัจจุบันไม่ถูกต้อง
สุดท้าย เราคิดว่าพ่อเเม่เราคงอยากให้ที่บ้านทำงานเเบบ กงสี เเต่เราว่า กงสีเเบบนี้มันไม่โอเค คนที่ทำดีไม่ได้ดี คนที่ไม่ทำอะไรเลยกลับได้ดี ถ้าบ้านเราเป็นเเบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เรากลัวความน้อยใจของเรามันสะสมจนเป็นโรคซึมเศร้าเเละฆ่าตัวตายในที่สุด เพราะเราไม่สามารถเปิดใจคุยกับใครในบ้านได้เลย พอจะมีวิธีบอกให้พ่อเเม่รับรู้ไหม ว่าการกระทำของเค้ามันทำร้ายเรามากๆ เเละอนาคตอาจส่งผลให้เรากับพี่สาวเกลียดกันไปเลยก็ได้