เส้นทางสู่การไปเป็นเด็กฝึกงานที่ต่างประเทศ (ณ ประเทศฝรั่งเศส)


นับจากวันที่ก้าวขาออกมาจากมหาวิทยาลัยวันสุดท้าย นี่ก็ผ่านมาเป็นระยะเวลากว่าสองปีแล้วที่เจ้าของกระทู้สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา (ปริญญาตรี) ซึ่งก็เป็นระยะเวลาที่นานพอๆ กับเวลาที่เจ้าของกระทู้ได้สำเร็จการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ (ฝึกงาน) จากต่างประเทศเหมือนกัน โดยในกระทู้นี้ผู้เขียนก็จะมาบอกกล่าวขั้นตอนสำหรับน้อง คนไหนที่สนใจจะไปฝึกงานที่ต่างประเทศ (ในที่นี้เจ้าของกระทู้ขอเจาะจงเป็น ณ ประเทศฝรั่งเศส) เพราะว่ามีน้องๆ ในสาขาให้ความสนใจและก็มาถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกๆ ปี

ก่อนอื่นเจ้าของกระทู้ขอเล่าเกี่ยวกับสาขาที่เจ้าของกระทู้เรียนมาก่อนว่า สาขาที่เจ้าของกระทู้เรียนมาคือ สาขาภาษาฝรั่งเศส ซึ่งจะเรียนเกี่ยวกับการใช้ภาษาฝรั่งเศสในทั้งสี่ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่านและเขียน โดยจะเรียนตั้งแต่เริ่มท่องตัวหนังสือเหมือนเราเริ่มเรียนภาษาไทยครั้งแรกนั้นแหละ ความพิเศษของสาขานี้คือผู้ก่อตั้งสาขายอมรับนิสิต/นักศึกษาทั้งที่มีพื้นฐานและก็ไม่มีพื้นฐานมาก่อน จึงทำให้ทุกคนเริ่มเรียนจากศูนย์พร้อมกัน จะมีก็เพียงแต่ว่าการปูพื้นฐานใหม่ก็เป็นเหมือนการทบทวนสำหรับคนที่มีพื้นฐานมาก่อนแล้วเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อน เพราะเราสามารถที่จะเรียนรู้และค้นหาข้อมูลเรียนเองได้ ที่พูดอย่างนี้เป็นเพราะเจ้าของกระทู้ก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านภาษาฝรั่งเศสมาก่อนเหมือนกัน ที่ตัดสินใจเรียนในสาขาภาษาฝรั่งเศสนี้ ก็เพราะว่าเจ้าของกระทู้ต้องการที่พูดให้ได้มากกว่าภาษาอังกฤษ และด้วยความที่ภาษาฝรั่งเศสมีรูปร่างคำที่เหมือนภาษาอังกฤษเจ้าของกระทู้เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นการง่ายในการเรียน และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง จากที่ในเทอมแรกเจ้าของกระทู้ฟังไม่รู้เรื่อง อ่านไม่ออก แต่ด้วยความพยายามและใฝ่รู้ หาข้อมูลเรียนเองบ้างยามว่าง จึงส่งผลทำให้เจ้าของกระทู้สามารถพูดได้ ฟังออกในเทอมที่สองและเทอมต่อๆ ไป จนจบหลักสูตรด้วยรางวัลเกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วย เห็นไหมล่ะว่าถ้าเราตั้งใจจริงๆ ก็สามารถทำได้ และในเทอมสุดท้ายก่อนจบการศึกษาทางสาขาจะต้องให้นิสิต/นักศึกษาไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพในที่ทำงานจริง ซึ่งตรงนี้แหละที่เป็นจุดพลิกผันของตัวเจ้าของกระทู้เองและสาขาด้วย

การที่เจ้าของกระทู้ได้ไปฝึกงานต่างประเทศ ณ ประเทศฝรั่งเศส เป็นการเปิดทางครั้งแรกให้กับน้องๆ ในสาขากระตือรือร้นและกล้าที่จะไปลองฝึกงานที่ประเทศเจ้าของภาษาโดยตรง เพื่อใช้ความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ในเหตุการณ์ชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นจริงและได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมของชาวฝรั่งเศสผ่านเจ้าของภาษาโดยตรง

มาถึงตรงนี้ก่อนที่เราจะเจาะลึกเข้าไปในเนื้อหามากกว่านี้ เจ้าของกระทู้ขอให้น้องๆ ถามตัวเองว่าน้องๆ พร้อมที่จะไปฝึกงานที่ต่างประเทศแล้วจริงๆ ใช่ไหม เพราะน้องๆ ต้องไปอยู่ต่างแดนต่างถิ่นที่ที่ผู้คนเขาพูดคนละภาษากับบ้านเกิดของเรา น้องๆ ต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากบ้านเรามาก มีความแตกต่างอย่างมากทั้งด้านวัฒนธรรม การกิน การใช้ชีวิตหรือแม้แต่มารยาทที่แตกต่างกัน ถ้าน้องๆ ยอมรับความแตกต่างเหล่านี้ได้แล้ว เจ้าของกระทู้ก็ขอต้อนรับเข้าสู่เนื้อหาที่มีดังต่อไปนี้      

เริ่มแรกต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเราสนใจที่จะไปฝึกงานด้านไหน เพราะมันจะเป็นการง่ายต่อการฝึก และง่ายต่อเราเมื่อไปสมัครทำงานในด้านนั้นๆ อย่างเช่นเจ้าของกระทู้ สนใจฝึกงานด้านการโรงแรม เพราะคิดว่าไม่น่าจะยาก และอีกอย่างคือต้องการฝึกทักษะทางภาษาด้านการพูดด้วย เลยตัดสินใจไปฝึกงานทางด้านสายนี้ พอจบออกมาก็เลยไปสมัครงานด้านการโรงแรมและก็เป็นพนักงานต้อนรับส่วนหน้ามาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อรู้แล้วว่าจะไปฝึกงานด้านไหน สิ่งที่จะต้องทำถัดมาคือหาข้อมูลและตัวแทนที่จะประสานงานหาที่ฝึกงานที่ประเทศฝรั่งเศสให้กับเรา (หรือถ้าใครมีคนรู้จักที่อยู่ที่ฝรั่งเศสก็ลองให้เขาหาให้ดูเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเงินผ่านตัวแทนคนกลาง) โดยเจ้าของกระทู้ได้เลือกตัวแทนผ่าน IEO Abroad ตามที่อยู่เว็บไซต์นี้ http://www.ieostudyabroad.com/jobfrance/ น้องๆ ลองเข้าไปหาข้อมูลดูเองนะว่าชอบที่ไหน โดยจะมีแนวให้เลือกอยู่สองอย่างคือ ไปฝึกภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก อันนี้ต้องเลือกแถวๆ ชานเมืองที่ไม่ได้อยู่ใกล้เมืองและใกล้แหล่งท่องเที่ยวเท่าไหร่นัก หรือไปฝึกภาษาอังกฤษเป็นหลัก อันนี้ต้องเลือกในเมืองและใกล้แหล่งท่องเที่ยวเพราะมีชาวต่างชาติเยอะทำให้ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก โดยเจ้าของกระทู้ตั้งใจไปฝึกทักษะภาษาพูดจึงเลือกที่จะไปฝึกที่โรงแรม Novotel Fontainebleau Ury โดยอยู่ที่หมู่บ้าน Ury เมือง Fontainebleau ชานเมืองปารีสถ้าแบ่งเป็นโซนก็โซนที่ห้า (นอกสุด) ซึ่งใช้เวลานั่งรถไฟต่อเดียวเข้าไปในปารีสไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ ทำให้ที่ฝึกงานที่นั้นเป็นอะไรที่ตรงกับจุดประสงค์หลักของเจ้าของกระทู้มาก

เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้วและน้องๆ พร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องติดต่อกับตัวแทนที่จะประสานงานให้เราที่เราเลือกไว้แล้วให้เขาประสานงานให้ ในขั้นตอนนี้มีรายละเอียดยิบย่อยซึ่งเจ้าของกระทู้ก็จำไม่ได้หมดว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่พอจำได้คร่าวๆ ว่าจะต้องเตรียมเอกสารหลายอย่างพอสมควรและก็สัมภาษณ์กับตัวแทนที่จะประสานงานให้เราที่เราเลือกไว้ นอกนั้นก็เป็นการดำเนินงานของเราเอง เช่น จองตั๋วเครื่องบิน สมัครประกันการเดินทาง ทำพาสปอร์ต เป็นต้น เพื่อที่จะได้เดินทางได้ง่ายขึ้น

เมื่อทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เราได้รับเข้าเป็นเด็กฝึกงานที่โรงแรมที่เราคาดหวังไว้ที่ประเทศฝรั่งเศสแล้ว ก็ถึงด่านที่โหดที่สุดของการไปฝึกงานที่ต่างประเทศ นั้นก็คือ การขอวีซ่า เพื่อที่จะได้เข้าประเทศนั้นๆ (อันนี้เจ้าของกระทู้ขอแอบบอกว่าถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้อาจารย์ประจำชั้นในสาขาติดต่อกับทางสถานทูตให้ว่าเราต้องการขอวีซ่าไปฝึกงานที่ฝรั่งเศสจะได้ของ่ายขึ้น เพราะเจ้าของกระทู้กว่าจะผ่านก็รอบที่สามนู้นแน่ะ เล่นเสียเงินค่าขอวีซ่ารอบแรกกับรอบสองไปเป็นหมื่นกว่าบาทเพราะไปขอเอง)

ถ้าอ่านมาถึงข้อนี้แล้ว เจ้าของกระทู้ก็ขอแสดงความยินดีด้วย หวังว่าน้องๆ คงผ่านด่านการขอวีซ่ามาได้แล้ว ซึ่งถ้าได้วีซ่าเข้าประเทศมาไว้ในครอบครองแล้วก็หมดห่วงอันอื่นเลย เจ้าของกระทู้ยังจำได้เลยวันที่ได้วีซ่าครั้งนั้น วันนั้นมันช่างเป็นวันที่สดใสมาก เดินไปยิ้มไปไม่หุบเพราะดีใจมาก กว่าจะผ่านมาได้ถึงจุดนี้ ที่เหลือก็แค่เตรียมตัว เตรียมกระเป๋ามุ่งหน้าบินไปใช้ภาษาฝรั่งเศสที่เรียนมาแบบเก๋ๆ ในประเทศเจ้าของภาษา ณ ประเทศฝรั่งเศส

เป็นยังไงบ้างน้องๆ ผู้เขียนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาในกระทู้นี้คงจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อตัวผู้อ่าน และเป็นการแนะนำแนวทางให้น้องๆ กล้าออกไปใช้ชีวิตฝึกงานที่ต่างประเทศกัน ถ้าน้องๆ มีข้อสงสัยอะไรหรืออยากรู้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็สามารถสอบถามได้ที่ใต้กระทู้นี้เลยนะ เจ้าของกระทู้ยินดีและพร้อมตอบทุกข้อสงสัยเลย

ข้างล่างนี้เป็นภาพตัวอย่างจากการไปเป็นเด็กฝึกงานที่ประเทศฝรั่งเศสนะ

มองดูใกล้ๆ อาจจะไม่ได้ใหญ่มากนะ แต่พอขึ้นไปเท่านั้นแหละ สูงจัง

คนเยอะมาก ดีนะที่สามารถลอดอุโมงค์ใต้วงเวียนเข้าไป ถ้าให้เดินข้ามถนนไปนะ หวาดเสียว...

สมัยก่อน ก่อนที่มาดามยังไม่ได้ถูกไฟเผาจากเพลิงไหม้ระหว่างซ่อมแซมเมื่อไม่นานมานี้ (เหตุเกิดปี 2019)

ชอบตรงนี้มาก ต้องนั่งรถและเดินขึ้นเขาชันๆ มา ขอย้ำว่าชันมาก แต่ก็คุ้มสำหรับวิวดีๆ ที่ได้จากตรงนี้

และนี้คือภาพมุมสูงและมุมกว้างของปารีส นั่งพักให้หายเหยื่อยแป๊บ

ถ้าคุณๆ สังเกตนะ ที่ในเมืองปารีสตึกจะไม่สูงมากและจะไม่มีตรงไหนที่ตึกผุดขึ้นมาโด่ๆ ทำให้วิวที่ได้เวลาถ่ายสถานที่สำคัญๆ มันชัดขึ้น

มองข้ามแม่น้ำแซนน์ไปก็จะเจอกับอาคารสไตล์ยุโรปประมาณนี้ทั่วทั้งปารีส

ล่องเรือที่แม่น้ำแซนน์ ก็เป็นอีกหนึ่งบรรยากาศที่หาที่ไหนไม่ได้เหมือนกันนะ


ตอนนี้ก็มาถึงพาร์ทที่โรงแรมที่ฝึกงานแล้ว

นี่คือโรงแรมที่มาฝึกงาน ไม่ใหญ่มากแต่อบอุ่น เน้นการจัดงานซะส่วนใหญ่ อยู่แถบๆ ชายป่า Fontainebleau ในหมู่บ้าน Ury ซึ่งถ้ามาเส้นนี้หมู่บ้านแห่งนี้จะเป็นหมู่บ้านแรกที่เจอและห่างจากตัวเมือง Fontainebleau ประมาณสิบกว่ากิโลเมตร

พี่ๆแผนกฟร้อนท์ ถ่ายมาได้แค่ภาพเดียว เสียดาย และน้องฝึกงานจากสเปน (ผู้หญิงเสื้อสีดำ)

เห็นดอกไม้ต้นนี้แล้วนึกถึงซากุระที่ญี่ปุ่นขึ้นมาทันทีเลย เต็มโรงแรมไปหมด ชอบมานั่งกินข้าว อาบแดด นอนอ่านหนังสือ เวลาว่าง

ข้างหลังก็จะเป็นส่วนของพื้นที่โรงแรมฝั่งส่วนขยาย สระว่ายน้ำ แล้วก็สปา ร่วมถึงห้องออกกำลังกาย

แคนทีนที่โรงแรมก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ แค่ยังกินอาหารฝรั่งเศสไม่ชินเฉยๆ แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ ขนมหวานฝรั่งเศส กินจนกลับมาแอบอวบนิดๆ

พระราชวังข้างหลังเป็นพระราชวังฟงเตลโบล ที่ที่ในหลวง ร.๙ กับพระราชินีพบกันและรักกันครั้งแรก เรื่องราวจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ขอโทษด้วยนะครับ แต่ผู้อ่านสามารถหาอ่านในพันทิปได้ มีอยู่หลายกระทู้ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน อยากจะบอกว่าสวยมาก ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอเลยจริงๆ
 
ภายในตัวเมืองฟงเตลโบล


พาร์ทแอบพาเที่ยววันหยุด (อย่าบอกแม่เรานะ)

ไปฝึกงานไกลถึงประเทศฝรั่งเศสทั้งที จะให้อยู่แค่ในตัวเมืองอย่างเดียว มันไม่ได้ มันต้องทัวร์อะราวนด์

ฮ่ะๆๆ อย่าเพิ่งดูเราเว่อร์ไปนะ ที่จริงเราได้บัตรกำนัลที่พักในเครืออัคคอร์สามวันสองคืนที่โรงแรมในเครืออัคคอร์เฉยๆหรอก และเราก็เลยเลือกลงใต้ไปเมืองลิยง เห็นเขาบอกว่าที่นั้นเป็นเมืองของเหล่าหนุ่มสาว ซึ่งมันก็จริงนะเธอ ต้องไปเที่ยวดูนะถ้ามีโอกาส

เสียดายมาเที่ยวตอนพายุเข้า ฝนก็จะตกอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา หนาวด้วย ลมพัดแรงมากด้วย (ตอนนี้กำลังนั่งรถเที่ยวชมเมืองลิยงอยู่) มาหลบฝนที่โหมกะหน่ำประหนึ่งว่าฟ้ารั่วกันที่พิพิธภัณฑ์ ที่นี้ทำให้ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากนะเธอ ทั้งความรู้ทางหลักทฤษฏี และวิถีชีวิตของชาวฝรั่งเศส

วันนี้ฟ้าเป็นใจ ถึงฟ้าจะไม่เปิด แต่ก็ฝนไม่ตก เลยมานั่งล่องเรือชมเมืองลิยงดู สวย สนุก และหนาว

สองข้างทางเมืองลิยงก็จะเป็นประมาณนี้แหละ (ข้างล่างที่หมด เลยต้องมานั่งรับลมหนาวข้างบนแทน)

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่