ทำงานเป็นพนักงานประจำสถานีบน BTS (รถไฟฟ้า) มันผิดมากหรอค่ะ ทำไมต้องมาดูถูกกันขนาดนี้

 ขอเกริ่นเรื่องก่อนคือเราจบปริญญาตรีเอกนิเทศสาขาภาพยนต์มาค่ะ แต่ที่บ้านตั้งแต่ ปู้ ตา เป็นข้าราชการครูหมด ญาติ พี่ป้าน้าอา ลุง เป็นข้าราชการครูหมด  ส่วนเราเป็นลูกคนเดียวค่ะ ตอนที่เราเรียนเอกนี้ เราก็ไม่ได้ชอบจริงๆ แต่เรียนตามใจตัวเองค่ะเราผิดเอง พอจบออกมาก็หางานไม่ได้ทางบ้าน ญาติ พ่อแม่ ก็บอกให้ไปเรียนครูใหม่เราอายุ 28 แล้วคะ หลังจากจบมาก็ทำงาน บริษัทเล็กๆ ทำได้3 ปี ก็ออกค่ะ มาหางานทีนี้เห็นbts มันเปิดรับสมัครพนักงานประจำสถานี เราก็ลองไปสมัครดู แล้วได้ทำงานคะ ทำได้ 2 เดือนแล้ว งานก็แลกเหรียญ เปิดระบบขายบัตร บนสถานี (ขอไม่บอกชื่อสถานีนะค่ะ) แม่เราไม่รู้เรื่อง แต่อยู่มาวันนึงแม่เราถามว่าทำงานอะไร เงินพอใช้มั๊ย ก พ ได้สอบรึเปล่า ออกมาอยู่บ้านแล้วอ่านหนังสือสอบข้าราชการดีกว่ามั๊ย เดี๋ยวแม่เลี้ยงเอง เราบอกไปว่า ตอนนี้ได้งานเป็นพนักงานประจำสถานี แม่เราก็สวนขึ้นมาทันควันเลยว่า คนแลกเหรียญน่ะเหรอ พ่อเราก็หัวเราะ จบปริญญาตรี ไปทำงานแลกเหรียญ แล้วความรู้ความสามารถจะเอาไปต่อยอดอะไรได้ พ่อเราบอกว่า ลาออกมาแล้วมาอ่านหนังสือสอบข้าราชการ หรือไม่ ก็ไปเรียนครูใหม่ เอาวุติ ป.ตรีไปสมัคร ที่รามก็ได้ ถึงจะจบมา 30 กว่าๆ อย่างน้อยก็ได้เป็นครู สอบติดไม่ติดค่อยว่ากัน เรานี่ร้องไห้เลยค่ะ ถามว่างานนี้ชอบมั๊ย เราก็ยังไม่ถึงกับชอบค่ะ แต่เราไม่อยากสอบข้าราชการ ไม่อยากเป็นครูกลับบ้านทีไร ตาก็ถามตลอดเลยคะ ออกยังงานแลกเหรียญอะออกมาเถอะ ตาเรานี่อยากให้เราเป็นครูมาก อยากเห็นหลานใส่ชุดขาว เราควรทำยังไงดีค่ะ เราเครียดมาก ญาติก็ดูถูก เพราะลูกป้าๆ นี่จบดีๆ งานดีๆทั้งนั้น เราก็สงสารพ่อแม่นะ ไม่อยากให้ท่านน้อยหน้าไครเลย ส่วนตัวเราก็ผิดด้วยแหละที่เรียนตามใจตัวเองมาตั้งแต่แรก  เราพยายามอธิบายงานที่เราทำอยู่ให้แม่ฟัง แต่แม่ไม่ฟังเลยคะ บอกให้ออกอย่างเดียว จะอยู่ยังไง ต้องไปทำงานดึกๆ เปลี่ยนกะไปมา เราเหนื่อยกับงานยังต้องมาเหนื่อยกับที่บ้านอีก  เราควรทำยังไดี   ออกจากงานมาเรียนครูใหม่เลย หรือทนทำงานต่อไปดีค่ะ T-T แล้วงานรถไฟฟ้ามันไม่ดีขนาดนั้นเลยหรอ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 19
พี่เกิดมาในครอบครัวข้าราชการครูแบบน้องเลย ทั้งตระกูลอ่ะ เข้าใจความรู้สึกกดดัน ทุกอย่างที่โดนอ่ะพี่ผ่านมาหมดแล้ว สุดท้ายจะบอกว่าเพราะคนในครอบครัวเราโลกแคบ วิสัยทัศน์แคบ เนื่องจากทุกคนก็เป็นครูไง เลยไม่รู้ว่าโลกนี้ก็มีงานอื่นเยอะแยะที่ดี และอยู่ใน safe zone เหมือนการเป็นครู
ขอเล่าประสบการณ์ให้ฟังบ้างนะ
พี่เรียนจบครูด้วยเกียรตินิยม แต่หลังจากไปฝึกสอนก็บอกตัวเองว่าไม่เอาเด็ดขาด ไม่ใช่ไม่ชอบสอนนะ เบื่อระบบ แต่ชอบสอนเด็กนะ
พอรับปริญญาย้ายออกจากหอมหาวิทยาลัยก็มาเช่าหออยู่กับเพื่อน ส่งใบสมัครไปหางาน แล้วตั้งใจว่าจะไม่ขอเงินที่บ้านเด็ดขาด ระหว่างรอก็ทำงานคลีนิคเสริมความงามรายวันได้เงินวันละ 400 เพื่อเอาไว้เป็นค่าข้าว หางาน 1 เดือน ได้งานAIS อ่ะก็ไปทำได้ 4 เดือนไม่ผ่านโปร!!!! (ทำงานไม่ดีเอง ชอบไปก่อนเวลาเริ่มงาน 1-2นาทีแค่นั้น) ตอนนี้ล่ะเริ่มโดนละ สอบกพ.สิ, , ตรงนี้รับสมัครวันนี้วันนั้น #%^&$$  
ตกงาน 2 เดือนก็ใช้เงินชดเชยที่บริษัทให้มา (ถึงตอนนี้ก็ไม่ได้ขอเงินที่บ้านสักบาทนะ) ได้งานบริษัทใหม่ ทำไปได้ 4 เดือนบริษัทเจ๊ง เจริญ!!!!
คราวนี้โดนมากขึ้นอีกนิด ว่าแล้วงานบริษัทเอาแน่เอานอนไม่ได้ เราแก่เค้าเอาออก วันดีคืนดีก็เจ๊งแบบนี้ไง สอบกพ รอบนี้เลยนะ เอาใบสมัครมาให้
หลังจากงานนี้ งานต่อไปที่พี่ทำต่ออีกสิบปีคือ พริตตี้!!! ลองคิดดูนะ ว่าครอบครัวจะบ่น ด่า ดูถูกยังไง เพราะข่าวมันส่วนใหญ่ไม่ดีไง แต่งโป๊นะ ขายหน้าวงตระกูลนะ หมดแล้วชื่อเสียงที่สั่งสมมา จะเอาหน้าไปไว้ไหนลูกอาจารย์เป็นพริตตี้ หลานผอเป็นพริตตี้ แต่พี่ได้ทำงานแรกแล้วรู้สึกว่าเรามาถูกทางแล้ว และไม่ต่อต้านครอบครัวแต่ทำเฉยๆ บอกว่าลองทำนี่ก่อน และหาทางทำให้เค้าเห็นว่างานที่เราทำก็สามารถที่จะเลี้ยงตัวเองได้ เรารอดแน่!!

เช่น แม่บอกว่าพริตตี้ มันแต่งตัวโป๊ ยั่วๆ แม่อายเค้า  งานที่ทำงานแรก 12 วัน คืองานแฟร์เครื่องใช้ไฟฟ้า ทำกับ Samsung รอบสื่อเชิญแม่มาดูเลยจ้า
เปิดหูเปิดตาแม่ เออชุดสวยดีนะลูก ไม่โป๊นิ(เดรสกระโปรงสั้นแขนยาว) ยั่วไหม๊ไม่ยั่ว 2วันต่อมีรูปลงไทยรัฐแม่เห็นแม่จำได้  เริ่มเข้าใจเออมันไม่เห็นจะโป๊อย่างที่เค้าว่า ค่าตัวงานนี้อุดหนุนบริษัทSamsung ซื้อสินค้าที่มาออกบูทนั่นแหละ ให้แม่กลับบ้านไปด้วย เครื่องซักผ้า เครื่องดูดฝุ่น แอร์ จัดไปจ้าแม่

ประเด็นที่ 2 แก้ข้อกล่าวที่ว่า มันจะมีสักกี่งานลูก มันไม่มั่นคงนะ (แต่แม่คะ ทำงานเดือนเดียวได้เงินเท่างานบริษัท 3 เดือนเนอะ) เนื่องจากยังใหม่ว่างไปอีกเดือน เงินเริ่มหมด ได้งานที่ 2 เริ่มรู้จักคนมากขึ้น ได้งาน 3 4 5 6 7 8 ปีแรกก็ทำงานเดือนเว้นเดือนก็พอได้บ้าง เริ่มมีเงินเก็บหลายหมื่น พอปี 3-4 งานเยอะมาก วันละ 2-3 จ๊อบก็เคย จนแม่บอกว่าเลือกงานบ้างนะลูกไม่ต้องรับเยอะ พักผ่อนบ้าง ช่วงไหนไม่มีงานสัก 2 อาทิตย์แม่จะบอก ดีๆลูก

ประเด็นที่ 3 เรื่องสวัสดิการ สอบครูเถอะลูก ลองมาพอละนะพริตตี้อ่ะ รับราชการรักษาฟรี  โทรหาประกันทำประกันสุขภาพ ส่งให้แม่ดู แม่นี่นะ มีประกันละ ป่วยได้ไม่ต้องกังวลนะ

ประเด็นที่ 4 ออกเถอะลูก รับราชการดีกว่า เชื่อแม่มีเงิน กบข. บำเหน็จบำนาญ  เหรอคะแม่ไหนแม่ลองคิดสิเท่าไหร่ ถ้าเงินเดือนตอนนี้เท่านี้ ตอนเกษียนเท่าไหร่ บำนาญจะเท่าไหร่ รวมกบข. เท่าไหร่ (โอ้ เยอะดีเนอะแม่) แล้วก็ตั้งตาทำงานไป ขยับมาเป็นเอ็มซี ค่าตัวเยอะขึ้น เก็บเงินเป้าหมายคือ ต้องได้ยอดที่แม่บอกมาภายใน 10 ปี ฝากประจำไปเรื่อยๆ แม่ก็บ่นเรื่อยๆ อายุจะเกินละนะลูก เสียดายเนอะอันนี้หมดเขตสมัครแล้ว
ถ้าบ่นเยอะหน่อยพี่จะโทรไปร้านทองประจำของแม่ จัดมาบาทนึง แล้วบอกแม่ไปรับของ แม่ถามเนื่องในโอกาสอะไร พี่ก็บอกฉลองฉลากออมสิน 5 แสน แม่จะเงียบไปอีกนาน

ประเด็นอะไรมา อุดช่องให้หมด ไม่ต้องพูดมากเจ็บคอ เช่น ลูกลุงซื้อรถไม่ต้องดาวน์เยอะ เป็นข้าราชการ (พี่บอกแม่ถ้าพี่จะซื้อพี่ซื้อสดเลย เงินพอ)
ได้ทุนเรียนโท ประเด็นนี้หนักอยู่ โดนมาหลายปี พอทำงานครบสิบปีพี่บินมาเรียนต่างประเทศเลย ทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่มาเป็นนักเรียน ทำงานร้านอาหาร เรียนจบ หางานประจำ ทุกวันนี้แม่เชื่อแล้วว่าไม่ต้องเป็นครูหรือรับราชการก็ดูแลตัวเองได้ พี่มีเงินเท่าที่แม่เคยคำนวนว่าถ้าเป็นครูจนเกษียณจะได้เงินเท่าไหร่ พี่มีใบปริญญาให้แม่ติดข้างฝาเหมือนลูกคนอื่นๆ พี่มีบ้านมีรถ ที่ไม่ต้องอาศัยเครดิตการเป็นข้าราชการกู้ มีประกันสุขภาพประกันชีวิตเพื่อเหตไม่คาดฝัน และพี่ไม่มีหนี้สหกรณ์เหมือนแม่และญาติๆ ตอนนี้พ่อ แม่ และครอบครัวทุกคนยอมรับ เปิดทางให้น้องๆคนอื่นๆมีแนวทางอาชีพที่หลากหลายขึ้น น้องสาวพี่มีอาชีพแม่ค้าออนไลน์โดยที่ไม่โดนบ่นให้ไปสอบกพ. จะบอกว่าที่เค้าบ่นเพราะเค้าห่วง มีทางเดียวที่ทำให้ทุกคนยอมรับได้คือ หาอาชีพที่ชอบและเป็นไปได้ให้เจอ และทำให้เค้าเห็นว่า กพ.ไม่ใช่ถูกทุกข้อ ขอบคุณและสวัสดีค่ะ 555
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่