สงครามไข่นก




เกาะแห่งหนึ่งในหมู่เกาะ Farallon
ที่มีนกทะเลท้องถื่นจำนวนมากอาศัยอยู่  
@ Dave/Flickr


ในช่วงปี 1850
เป็นช่วง ยุคตื่นทอง ที่แคลิฟอร์เนีย
California Gold Rush
ทำให้เกิดความจำเป็นเร่งด่วน
ในการจับจ่ายซื้อหาสินค้า
แม้ว่าบางอย่างจะเป็นของไม่มีค่า
แต่สินค้าที่หายากและมีราคาแพง
จนผู้คนต่างต้องรบราฆ่าฟันกัน
สินค้านั้น คือ ไข่นก

ความตื่นทอง
ทำให้เกิดการโยกย้ายประชากรครั้งใหญ่ที่สุด
ในครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
ทำให้มีนักแสวงหาโชคชะตาที่ดีกว่า
จำนวนมากกว่า 300,000 คน
จากทั่วทุกมุมโลกมุ่งมาสู่รัฐแคลิฟอร์เนีย
ซึ่งในอดีตเป็นดินแดนชาวเม็กซิกัน
(สหรัฐอเมริกาได้มาจากการรบแย่งดินแดน
แล้วแบ่งแยกเขตแดนระหว่างประเทศ)

เรือได้นำผู้เสี่ยงโชคมาขึ้นฝั่ง
ที่อ่าว San Francisco นับแสนคน
เพื่อดั้นด้นไปหาสายแร่ทองคำ
ผ่านถิ่นฐานริมทะเลเล็ก ๆ แห่งนี้
ที่มีประชากรเดิม 200 คน
เพิ่มขึ้นมากกว่า 20,000 คน
 
การที่ประชากรเพิ่มขึ้น
อย่างรวดเร็วใน San Francisco 
นำไปสู่การขาดแคลนอาหาร
เมื่อไก่และไข่ทั้งหมดในพื้นที่อ่าว
ถูกขายถูกกินจนหมดสิ้นไปแล้ว

นักแสวงทอง/ผู้คนต่างหิวโหย
จึงเริ่มมองหาแหล่งอาหารที่อื่น
เพื่อแก้ไขปัญหาประจำวัน
เรื่องการขาดแคลนอาหารที่มีแหล่งโปรตีน
(โปรตีนเสริมสร้างพลังงาน
ธาตุอาหารครบทำให้อิ่มนาน
ทำงานได้นานขึ้นกว่าพวกแป้ง

แบบคติคนเมืองซัง
(ตรัง=คำเรียกเล่นกัน)
ทุกเช้าต้องกินหมูย่าง
ทุกเรื่องราววันนี้จะได้หมูหมู)

การขยายตัวของคนแห่กันเข้ามา
ทำให้อุตสาหกรรมเกษตรที่เคยสงบเงียบ
กลายเป็นว่าเกษตรกรพยายามดิ้นรน
เพื่อให้ทันกับการไหลบ่าเข้ามาคน
พวกนักแสวงทองจากต่างถิ่น
พร้อมกับราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น

“ มันเป็นเมืองที่เต็มไปด้วย
นักแสวงทองที่มาจากที่ต่าง ๆ
แต่ที่นี่ ไม่มีอะไรให้กินกัน
เมืองนี้ไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน
หรืออาหารพอเลี้ยงแรงงาน
นักแสวงทองทุกคนได้เลย ”
Eva Chrysanthe  ผู้เขียน Garibaldi
และสงครามไข่ Farallon กล่าว 

โดยเฉพาะไข่ไก่หายากขึ้น
และมีราคาสูงถึง 1.00 เหรียญ/โหล
ซึ่งเท่ากับ 30 เหรียญในปัจจุบัน
หรือโหลละ 900.-บาท(30บาท/1เหรียญ)
“ เมื่อซานฟรานซิสโก
กลายเป็นเมืองแรก  
ที่มีแต่เสียงเรียกร้องหาไข่ไก่ "
สถานการณ์เลวร้ายมาก
จนร้านขายของชำเริ่มโฆษณา 
ต้องการไข่

ในหนังสือพิมพ์โฆษณาในปี 1857
ในวารสาร The Sonoma County

ต้องการเนยและไข่
จ่ายราคูาสูงสุด


ห่างจากชายฝั่ง San Francisco
เพียง 30 ไมล์ มีหมู่เกาะที่เรียกว่า Farallon
เป็นที่ตั้งอาณาจักรนกทะเลที่ใหญ่ที่สุด
ในสหรัฐอเมริกา นอกเหนือจาก
Alaska กับ Hawaii ที่อยู่นอกแผ่นดินใหญ่

พ่อค้าชาวรัสเซียเป็นพวกแรก
ที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาตินี้
ด้วยการล่าแมวน้ำยักษ์ แมวน้ำ California
และสิงโตทะเล  Steller 
เพื่อเอาหนังแมวน้ำ เปลวไขมัน  
(ไขมันที่อยู่ระหว่างผิวหนังและกล้ามเนื้อ)

ขณะเดียวกันที่นั่น
ก็มีนกทะเล/ไข่นกจำนวนมาก
ธรรมชาติของไข่นกทะเล
จะมีขนาดใหญ่กว่าไข่ไก่ถึง 2 เท่า
ไข่นกทะเลมีขนาดยาวเรียว
สีขาวมีจุดสีดำที่ใหญ่กว่าไข่ไก่
และเปลือกไข่ที่ค่อนข้างแข็ง
ซึ่งช่วยให้การขนส่งไปขาย
เพราะไม่แตกง่ายเหมือนไข่ไก่




ไข่นกทะเลทั่วไป
@ Frans Lanting / Mint Images



การเรียกร้องหาไข่
ทำให้พ่อค้าคิดถึงแหล่งอาหาร
ที่ไม่เหมือนใคร คือ พื้นที่หมู่เกาะ Farallon
ขนาด 211 เอเคอร์ (527.5 ไร่)
ราว 26 ไมล์ทางฝั่งตะวันตก
ของสะพาน Golden Gate Bridge

เกาะแห่งนี้เป็นหินที่โผล่ขึ้นมาจากไหล่ทวีป
เป็นหินแกรนิตโบราณที่ทนทาน
ต่อสภาพอากาศ ฝนฟ้า แสงแดด

“ มันเป็นสถานที่ที่น่าทึ่งมาก
มันดูเหมือน ดวงจันทร์ที่ตกลงไปในทะเล ”
Mary Jane Schramm  
จาก Gulf of the Farallones National Marine Sanctuary
เขตอ่าวรักษาพันธุ์สัตว์น้ำแห่งชาติ กล่าว 






" แม้ว่าหมู่เกาะแห่งนี้จะไม่เอื้ออำนวยต่อคน
แต่ชนเผ่า Coast Miwok เรียกหมู่เกาะนี้ว่า
Islands of the Dead หมู่เกาะมตะ
มันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มายาวนานแล้ว
เหมาะสำหรับนกทะเลและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ในท้องทะเลอยู่กัรมานานแล้ว

ฉันไม่สามารถพูดเกินจริง
ถึงอันตรายของสถานที่แห่งนั้น
และมันเป็นปฏิปักษ์ต่อชีวิตคนได้อย่างไร

มันเป็นพื้นที่สัตว์ทุกตัวในนั้น
ต่างเจริญเติบโตได้อย่างยากลำบาก
มันคือ ดงป่าที่ทุรกันดารมากที่สุด
มันเป็นสถานที่ทุกข์ทรมานสำหรับคน

แต่มันกลายเป็นสถานที่
ที่แตกต่างไปอย่างมากเลย
ในช่วงฤดูนกทะเลวางไข่
มันเต็มไปด้วยเสียงดนตรี(นกร้อง)  
มีเพียงฝูงนกทะเลเหล่านี้เท่านั้น
ที่บินวนและวิ่งไปมาบนเกาะ
ทั้งวันทั้งคืนตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งเกาะเต็มไปด้วยนกทะเล  
จนดูเหมือนว่า พื้นที่ทั้งเกาะ
จะถูกเคลือบด้วยสีขาว ”
Susan Casey  นักเขียนเรื่อง
The Devil's Teeth :
A True Story of Obsession and Survival
Among America's Great White Sharks


แต่ถึงกระนั้นหมู่เกาะ Farallones
ก็ยังดึงดูดใจชาว San Fancisco
เพราะมันคืออาณาจักรนกทะเล
ที่มาทำรังขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ

ในแต่ละฤดูใบไม้ผลิ  
จะมีนกทะเลนับแสนตัวบินลงมา
บนเกาะที่ต้องห้ามในทุกวันนี้
แล้ววางไข่นกบนหน้าผาที่ขรุขระ
บนเกาะจึงเต็มไปด้วยไข่นกทะเล
มีทุกสีและทุกขนาดเต็มไปหมด



ในปี 1849 เรื่องราวก็กลายเป็นว่า
มีหมอยา Robinson ที่กล้าได้กล้าเสีย
กับน้องเขยของท่านร่วมกันแล่นเรือไปที่นั่น
ทั้งคู่ได้เก็บไข่นกทะเลจนเต็มลำเรือ
แม้ว่าขากลับ จะเจอพายุที่รุนแรงมาก
จนไข่นกทะเลส่วนใหญ่จะตกลงไปในทะเลลึก
แต่หมอยา Robinson ยังทำกำไรได้ดีมาก
ถึง 3,000 เหรียญโดยขายราคา 1 เหรียญ/ฟอง
(เทียบมูลค่า 1 เหรียญ = 30 เหรียญในปัจจุบัน)

ทั้งคู่ได้ขายไข่นกทะเลจนหมด
ได้ในราคาแพงอย่างน่าเหลือเชื่อ
แต่หลังจาก ทั้งคู่รอดตายจากการเดินทาง
ไปหาไข่นกทะเลอย่างยากลำบากในครั้งนั้น
ทั้งคู่ต่างสาบานเลยว่า
จะไม่กลับไปหาไข่นกทะเลอีกเลย

ไข่นกทะเลขนาดทอดแล้ว
ยังไม่น่ารับประทานเลย
ไข่ขาวยังคงมีสีใสและเป็นวุ้นอยู่
ไข่แดงก็ยังมีสีส้ม
แม้ว่าทอดด้วยไฟแรงให้สุก
และที่แย่ไปกว่านั้น คือ
ยังคงมีกลิ่นคาวปลาอย่างรุนแรง

แต่เพราะไข่นกทะเล
เป็นแหล่งโปรตีนเพียงแหล่งเดียว
สำหรับนักแสวงทองที่มาอยู่กันมาก
เลยตัองยอมกลืนกินเข้าไป
เพราะโรงแรม/ร้านอาหาร
ต่างขายไข่นกทะเลพวกนี้
และคนทั่วไปต้องใช้เวลากว่า 3 เดือน
จึงจะคุ้นชินกับรสชาติแบบนี้

หลังจากนั้น
ข่าวความสำเร็จของคนทั้งคู่
ได้เดินทางไปอย่างรวดเร็ว
และเกือบตลอดคืนนั้น 
เกาะต่าง ๆ ของ Farallones
ต่างเต็มไปด้วยนักล่าไข่นก
ที่ต่างคืบคลานหาไข่นกทะเล

ในทันทีทันใด
มหกรรมหาไข่นกทะเล
จึงเริ่มขึ้นอย่างรีบเร่ง
บนหมู่เกาะ Farallones
ทั่วบริเวณหมู่เกาะเหล่านี้
ต่างเต็มไปด้วยผู้ค้นจำนวนมาก
เดินทางไปหาไข่นกทะเล

ผู้ชายที่กล้าหาญหลายคน
ต้องเสี่ยงชีวิตด้วยการปีนขึ้นไป
บนโขดหินแหลม  หน้าผาสูงชัน
และเจอกับนกนางนวลที่ก้าวร้าว
ที่รวมกันมากเหมือนก้อนเมฆ
เพื่อรวบรวมไข่นับพัน ๆ ฟอง

งานนี้พิสูจน์แล้วว่า
อันตรายกว่าการล่า ไข่อีสเตอร์
(ตามธรรมเนียมฝรั่งเป็นไข่ไก่)
เพราะนักล่าไข่นกทะเลจะต้องปีนป่าย
เดินไปมาบนก้อนหินบนหน้าผาสูงชัน
และป้องกันฝูงนกทะเลที่โจมตี
นักล่าไข่ทะเลเพราะหวงไข่นกที่ฟักอยู่

ถึงแม้จะมีอุปกรณ์ปีนเขาหาไข่นก
มีการใช้ค้อน เชือกและเล็บเหยี่ยว
(ใช้คุ้ยดิน และเกาะหินตามหน้าผา)
แต่อุบัติเหตุและการบาดเจ็บก็เป็นเรื่องปกติ

ในปี 1858
Daily Alta California รายงานว่า
" นักล่าไข่นกทะเลพลาดท่า
ในขณะที่ปล้นรังนกทะเลเหนือขอบหน้าผา
และตกลงมาข้างล่างกระแทกโขด
(ไม่ตายก็คงคางเหลือง/อาการหนักแน่) ”

นกทะเลจะวางไข่ระหว่าง
ช่วงเดือนพฤษภาคมและกรกฎาคม

หลังจากนั้นไม่นานนัก
ฤดูการหาไข่นกทะเลก็จะเริ่มขึ้น
เพื่อให้แน่ใจว่าไข่นกทะเลที่เก็บมา
นั้นเป็นไข่สดและไข่ใหม่

พวกผู้ชายที่เดินผ่านอาณาจักรนกทะเล
จะทุบทำลายไข่นกทะเลทุกฟองที่พบเห็น
เพื่อให้แน่ใจได้ว่า ถ้ากลับมาอีกในวันหลัง
นกทะเลจะถูกวางไข่ใบใหม่แทน
ไข่ใบเดิมที่ถูกทุบแตกไปแล้ว

ดังนั้น เมื่อสิ้นสุดในเดือนสิงหาคม
จะเก็บไข่นกทะเลได้มากถึง 500,000 ฟอง
ประมาณการกันว่ามีการส่งไข่นกทะเล
ประมาณ 14 ล้านฟองไปยัง San Francisco
ระหว่างปี 1849 ถึง 1896

“ ไข่นกทะเลเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ
สำหรับนักแสวงทองและชาวบ้านในตอนนั้น
เพราะขายได้แพงและได้ราคางามมาก
นักล่าไข่นกจึงทำการปล้นไข่นกทะเล
ปล้นกันอย่างเป็นระบบ มีขั้น มีตอน
เพราะพวกมันมีค่ามาก
พวกมันเป็นทองคำอีกชนิดหนึ่ง
ในยุคตื่นทองของสหรัฐ ฯ ”
Mary Jane Schramm กล่าวสรุป




กลุ่มผู้ชายกำลังทำความสะอาด
ไข่นกทะลอายุราว 1 สัปดาห์
@ Arthur Bolton
California Academy of Sciences
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่