[แชร์ประสบการณ์] การเปิดโรงงานอุตสาหกรรม!!!

[แชร์ประสบการณ์] เปิดโรงงาน ... ฉีดขึ้นรูปพลาสติก

.

สวัสดี สวีดัดขอรับ ... กระผมห่างหายจากการเขียนบทความยาวๆไปนานมาก แต่วันนี้กลับมาแล้วครับ ขอสักบทความตามคำเรียกร้อง (ใครเรียกร้องฟร่ะ 5555+) วันนี้จะมาเขียนแชร์ประสบการณ์ในการทำโรงงานครับ ... บทความนี้เป็นบทความต่อเนื่องจากบทความนี้ครับ ...

.

[แชร์ประสบการณ์] ที่ดินแบ่งขาย 24 เดือน กำไร 2 ล้านบาท!!! https://pantip.com/topic/38369824

.

เพราะเรื่องราวดำเนินเรื่องต่อกันมาครับ เรื่องราวสรุปโดยย่อคือ ... ผมไปซื้อที่ขนาด 12 ไร่ มาแปลงหนึ่ง แล้วก็แบ่งขายไปส่วนหนึ่ง ร่วมทุนส่วนหนึ่ง และ ถือครองเองอีกส่วนหนึ่ง ... ในบทความนี้จะเล่าถึงในส่วนที่ร่วมทุนครับ

.

พรีเซนเตอร์สาวกับโรงงาน!!!


.

ความตั้งใจแรกของผมและหุ้นส่วนคือ การทำโกดังให้เช่า การสร้างไปเรื่อยๆแบบไม่เร่งร้อนอะไร มีลูกค้าสนใจจะเช่าติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ แต่จุดเปลี่ยนอยู่คือเมื่อหุ้นส่วนผมพา “ลูกค้าชุดหนึ่ง” มาดู ซึ่งลูกค้าเจ้านี้เป็นที่รู้จักมักคุ้นกันดีกับหุ้นส่วนผมดี คนหนึ่งเป็นเจ้าของโรงฉีดพลาสติกขนาดกลางมีพนักงานราว 40-50 คน ส่วนอีกคนคือเจ้าของร้านค้าส่งเครื่องพลาสติกและอุปกรณ์ 20 บาทและมีสาขาของตัวเองมากกว่า 15 สาขา(แต่ละสาขาใหญ่ๆทั้งนั้น บางสาขายอดขายหลักแสนต่อวัน)

.

ลูกค้าคู่นี้ต้องการขยายการผลิตจึงพากันมาดูโรงงานของผมจากคำแนะนำของหุ้นส่วนผม ... หุ้นส่วนผมคือน้าชายผมเอง ท่านมีโรงงานเป่าขึ้นรูปพลาสติกอยู่แล้ว และ ท่านก็มีธุรกิจซื้อมาขายไปเม็ดพลาสติกอยู่แล้ว ... ท่านจึงรู้จักกับคนกลุ่มนี้ดีเพราะค้าขายกันอยู่ ลูกค้าคู่นี้สนใจมาก แต่คุยกันไปคุยกันมา เกินเลยจากการเช่าโกดังไปมาก เพราะ ลูกค้าที่มีร้านค้าส่งพลาสติกบอกหุ้นส่วนผมว่า “ป๋า เอางี้มั้ย ป๋าเปิดโรงงานเลย เดี๋ยวผมยกแม่พิมพ์มาให้เลย และ ผมการันตรีออร์เดอร์ให้ทุกเดือน 3 ปีต่อเนื่อง!!!!!”

.

ผมแค่ฟังก็คิดในใจว่า สงสัยงานจะเข้าซะแล้ว!!! เพราะ งานนี้เริ่มไม่ใช่งานเล็กแล้ว นี่มันงานโรงงานอุตสาหกรรมชัดๆ ... จึงต้องประชุมด่วน นัดที่ 1 ตามมาก เพราะ โปรเจคโกดังเช่านี้มีหุ้นส่วนหลายคน ... แต่ผมออกตัวแรงแสดงจุดยืนในที่ประชุมมากว่า ถ้าให้ผมทำคนเดียวในนามผมคนเดียวผมไม่ทำ เพราะ ผมมีความรู้ด้านนี้น้อยมาก และ ถ้าให้ผมทำคนเดียวผมทำอย่างอื่นที่ผมถนัดดีกว่า!!!! ... เมื่อผมแสดงจุดยืนออกไป ที่ประชุมจึงสรุปว่า ถ้าทำจะจดบริษัทใหม่และทำร่วมกัน!!! และขอให้ผมไปศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจในเบื้องต้นมาเพื่อประชุมกันในนัดต่อไป และ ต่อๆไป!!!

.

ผมช่างใจ คิดวิเคราะห์มานับเดือนสำหรับโปรเจคโรงงานการผลิตนี้ … ผมต้องปรึกษาเพื่อนๆหรือคนรู้จักหลายคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจว่าเคสนี้มีคำแนะนำให้ผมหรือไม่อย่างไร

.

จุดแข็งๆของกิจการเลยคือ อย่างแรกลูกค้ามีออเดอร์ที่แน่นอนมาให้ในระยะ 2-3 ปี เป็นอย่างน้อย และ อย่างที่สองหุ้นส่วนผมมีความรู้ทางด้านนี้พอสมควร (แต่ไม่อยากทำเอง แต่ท่านกะดันผมอย่างเดียว) ... ด้วย 2 เงื่อนไขนี้ล่ะที่มันน่าคิด เพราะส่วนที่ยากที่สุดของการเริ่มกิจการว่าจะขายสินค้าให้ใคร มีคนจัดการให้แล้ว สิ่งที่ยากอีกอย่างคือความรู้ในสายวิชานั้นๆซึ่งหุ้นส่วนท่านก็มี และ สิ่งที่ยากลำดับถัดมาคือ “เงินลงทุน” ... ผมมีนัดประชุมถกเครียดกันหลายรอบ ระหว่างหุ้นส่วนหลายท่านถึงโปรเจคการลงทุนในครั้งนี้เพราะโปรเจคนี้เป็นโปรเจคใหญ่ เงินลงทุนขั้นต้นคือ 10 ล้านบาท++ และถ้าลงแล้วต้องยาวเพราะเป็นกิจการประเภทการผลิต ... คำถามในการประชุมที่ถกกัน ถ้าทำลงทุนเท่าไหร่อย่างไรกับอะไร? คาดการผลตอบแทนเท่าไหร่? บริหารงานอย่างไร? กลยุทธ์และแผนการระยะยาวเป็นอย่างไร? จุดควรระวังหรือจุดอ่อนคืออะไร? รวมถึงข้อควรระวังต่างๆ (เพราะหุ้นส่วนบางท่านไม่ได้อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมนี้ถึงต้องมีการถกถามในประเด็นต่างๆ) และ จบด้วยคำถามที่สำคัญทีสุด .... ว่าจะทำกิจการนี้หรือไม่?

.

ขึ้นขี่หลังเสือ!!! เพราะ สรุปว่าทำครับ และที่ประชุมมีมติให้ผมเป็นหัวเรือของโปรเจคนี้ … เมื่อโปรเจคถูกตัดสินใจแล้วว่าทำ ตอนนี้เรื่องราวต้องเดินหน้า 150% … เข้าหาลูกค้าเพื่อคุยเรื่องคำสั่งซื้อสินค้า ลูกค้าบอกว่าพร้อมจะเปิดคำสั่งซื้อให้ 5 ล้านในปีแรก!!! (และจะเพิ่มขึ้นในปีต่อไปจะมากขึ้นถ้าชิ้นงานดี และถ้าผมขยายกำลังการผลิตได้) ต่อมาก็ทำเรื่องจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อดำเนินการ ขอใบประกอบอนุญาตทำโรงงานต่อไป ผมเตรียมดึงแม่ทัพฝีมือดีมาจากส่วนอื่นเพื่อมาช่วยงานนี้และหุ้นส่วนท่านได้พาผมไปฝากตัวกับพี่เลี้ยงท่านนึงที่เปิดกิจการคล้ายๆกัน(ก็ลูกค้าคนที่มาดูโรงงานนั่นล่ะ) บอกว่าต่อไปจะขอฝาก “เจ้าคนนี้” ด้วย อยากให้เข้ามาศึกษาดูงานในโรงงานของพี่เขาในอนาคต

.

ผมขึ้นขี่หลังเสือแล้วครับ ถอยไม่ได้แล้ว ถ้าถอยคิดจะลงก่อนที่เสือจะเชื่อง อย่างน้อยก็ต้องโดนกัดมีแขนขาเหวอะแน่นอน ... แต่ในทางกลับกันถ้าผมควบมันไปจนรู้ใจ มันจะเป็นกิจการที่เป็นเสาหลักของผมได้อีกอย่างหนึ่งเลยทีเดียว!!!

.

ตอนที่โปรเจคนี้ถูกตัดสินใจ ผมคิดเลยว่า ตอนผมเรียนมหาวิทยาลัย ผมเคยนึกภาพว่า ผมจะไปเป็นวิศวกรในโรงานการผลิตงานที่ไหนสักแห่ง เพราะผมเรียนวิศวฯเครื่องกลมาและคาดหวังว่าจะไต่เต้าจนเป็นผู้จัดการแผนกได้ตอนอายุสัก 30 กว่าๆ ... แต่ครั้นจบออกมาผมไปทำงานสายงานขาย จนไปลงทุนทำนู่นนี่นั่นเรื่อยมา ... ตอนนี้ผมอายุ 34 บางทีชะตาชีวิตก็ตลก ผมห่างจากสิงที่เคยคิดไว้สมัยเรียนมาไกลมากแต่แล้ว ชะตามันก็พัดมาให้ผมต้องมาเป็น ผู้ถือหุ้นใหญ่และควบตำแหน่ง “ผู้จัดการโรงงาน” ในตอนนี้!!!!

.

ด้วยเงินทุนที่มีอยู่อย่างจำกัด เราจึงเลือกการซื้อเครื่องจักรมือสองแทน ... เงื่อนไขผมท้าทายสุดๆ เพราะทันทีที่ผมรับว่าผมจะทำงานให้ลูกค้ายก แม่พิมพ์พร้อมให้ออร์เดอร์มาเลยในขณะที่ โรงงานผมยังไม่เสร็จด้วยซ้ำ ... เอาไงละทีนี้หุ้นส่วนผมเลยใช้ดีลพิสดาร มีผู้เสนอขายเครื่องจักรที่เราสนใจพอดี เราเลยเอาแม่พิมพ์ไปเริ่มฉีดเลยและขอเอาคนของผมเข้าไปดูแลเครื่องเอง และจะขอวางเงินกึ่งหนึ่งเพื่อขอซื้อเครื่องจักรเครื่องนั้นและอีกกึ่งหนึ่งจ่ายเมื่อยกเครื่องจักรออกมา

.

ดังนั้นเท่ากับว่า ผมต้องไปคลุกอยู่ในโรงงานคนอื่นอีกนับเดือน ในขณะที่ผมจ้างเขาทำ ผมก็ประกาศรับสมัครทีมงานและเตรียมตัวไปควบคู่กัน เท่ากับว่าผมมีโอกาสพาตัวเองและทีมงานเข้าไปฝึกงานในโรงงานอื่นเดือนนึงเต็มๆ ผมบอกกับทีมงานโดยเฉพาะสายช่างว่า ซึมซับและเรียนรู้ให้เต็มที่เพราะที่นี่ยังมีคนตอบคำถามยังมีคนช่วยเรา แต่เมื่อเรายกเครื่องไปที่โรงงานเรา ทุกอย่างเราต้องบู้เองทั้งหมด!!! ตลอด 1 เดือนที่อยู่ที่นั่นแก้ปัญหากันสนุกมาก มันส์พะย่ะค่ะ!!!!

.

ณ ตอนนี้ ผมย้ายเครื่องจักรออกมาโรงงานผมแล้วครับ โรงงานผมมีพนักงาน 14 คนแล้ว คนไทย 8 คนรวมผม และแรงงานพม่า(ถูกต้องตามกฎหมาย) อีก 6 คน... และจะยังรับเพิ่มอีกหลายเท่าตัวถ้าโรงงานทำการผลิตได้เต็มรูปแบบ!! ในช่วงแรกพนักงานที่ผมรับมานั้น ผมรับจากการพูดคุยและสัมภาษณ์ปากเปล่าล้วนๆ สัมภาษณ์กันในโรงงานที่ช่างกำลังมะรุมมะตุ้มอยู่นั่นเลย ณ ตอนนั้น ชุดแรกผมรับมา 5-6 คน แต่ยังไม่มีใครได้เขียนใบสมัครงานสักคน คนที่มาทำกับผมนี่โครตใจมากบอกเลย 555+!!!

.

ในช่วงแรกบรรดาคนที่ผมรับเข้ามาร่วมงาน ตำแหน่งที่ผมรับยากและเฟ้นที่สุดคือในตอนนี้คือ “เสมียน/บัญชี” ... โรงงานเปิดใหม่ ไม่มีแบบฟอร์มอะไรสักอย่าง และ ผมเองก็ไม่มีเวลาทำเพราะสารพัดงานถาโถมที่เวลา 16 ช่วโมงต่อวันยังทำไม่ทัน และที่สำคัญผมอ่อนเรื่องงานเอกสารมาก เพราะ ไม่ถนัดจริงๆ ไม่รอบครอบ จนมีปัญหาตามมาหลายกรณี ดังนั้นตำแหน่งนี้ต้องปิดรูนี้ได้ และที่เด็ดที่สุดคือต้อง “รู้เรื่องนี้มากกว่าผม” มีคนมาสมัครตำแหน่งนี่ 5 คน แต่คนที่ผมเรียกสัมภาษณ์มีคนเดียวที่เข้าข่ายที่ผมต้องการ ... ฉะฉาน มั่นใจและเป็นงาน ... 4 คน แค่คุยโทรศัพท์ก็เห็นภาพว่าไม่ใช่คนที่ผมตามหา ... บางคนพึ่งจบ บางคนพูดแบบอ้อมแอ้มๆ บางคนถามนู่นนิดนี่หน่อยก็งง จนมาเจอคนนึงโทรมา พูดจาฉะฉานชัดเจน จนต้องนัดเวลาสัมภาษณ์งาน สัมภาษณ์แบบยืนคุยกันในโรงงานที่สารพัดทีมช่างกำลังทำงานอยู่!!

.

ผู้สมัครแน่นำตัว พร้อมยื่นเอกสารประกอบ .... ทำงานสำนักงานบัญชี 4 ปี ฝ่านการงานเงินธุรการในโรงงาน 2 ปี ฝ่ายคลังสินค้า 4 ปี!!! เล่าเรื่องราวและ ตอบคำถามได้ชัดเจน ผมบอกผู้สมัครไปตรงๆว่าผมสนใจคุณ ต้องการเขามาร่วมงาน ... ผมเล่าเรื่องราวของโรงงานและสวัสดิการเบื้องต้นพร้อมยิงคำถามสำคัญว่า ... “ต้องการเงินเดือนเท่าไหร่จากผม” ... เขาบอกราคามา ... ราคาที่เรียกมานั้นกลางๆและรับได้ .... แต่ผมก็แจ้งว่าผมขอเวลาคิดสักนิดแล้วช่วงเย็นๆจะโทรหา ... สรุปว่าผมโทรไปแจ้งว่าผมรับราคาที่เสนอมาและนัดวันทำงานกัน ... จำได้ว่า วันแรกที่เริ่มงาน ผมอยู่คุยงานได้แค่ชั่วโมงเดียวพร้อมกับทิ้งคอมฯไว้ให้เครื่องหนึ่งไกค์ไลน์สิ่งที่ผมต้องการ แล้วบอกว่าผมให้โจทย์แล้วที่เหลือทำต่อเลยไม่ต้องรอผม แล้วผมก็ไปทำงานจนไม่ได้คุยกันเลย.... วันที่สองได้คุยกันนิดหน่อย เขาถามเรื่องราวในหลายประเด็น .... วันที่สามผมเจอหน้าเขาพร้อมกับเอกสารที่ให้ผมพิจารณาหลายชุด เอกสารรับสมัครงาน นโยบายการรับสมัคร สัญญาจ้าง แบบฟอร์มภายในอีกสองตัว ซึ่งผมตรวจสอบในเบื้องต้นก็ใช้งานได้เกือบทุกตัว!!!!!

.

ในวันนั้นผมแจ้งเขาว่า ทดลองงาน 3 เดือนก่อน ถ้าทำงานได้แบบนี้และคงเส้นคงวา ผมจะปรับเงินเดือนขึ้นให้ตามความสามารถ!!! พนักงานรุ่นบุกเบิก 5-6 คนชุดแรกนี้ได้ใจผมทุกคน โคตรบู้ บู้งานได้ไม่แพ้ผมเลยจริงๆ .... ผมบอกกับพวกเขาทุกคนว่า ถ้ารักษาคุณภาพงานได้แบบนี้ผมรับรองว่าโตไปพร้อมกับผมแน่นอน!!!! … บางคนยังไปผ่านทดลองงาน 3 เดือนเลย ผมขึ้นเงินเดือนให้ไปแล้ว 2 คน จะไม่ขึ้นให้ได้ไงครับ ทำงานเข้าตามาก!!!

.

ขอเล่านอกเรื่องนิดนะครับ

.

ถ้าผมวางมือจากโรงงานนี้ น่าจะเป็น 1 ใน 3 คนนี้ล่ะครับรับช่วงต่อ ... ภาพเหล่าทายาทกับเครื่องจักร!!!

.

ลูกสาวคนโตผมน่าจะชอบงานบ้านเช่ามากกว่าโรงงาน!!! ผมพาลูกสาวคนโตผม อ.3 ไปโรงงาน ผมบอกให้ลูกช่วยทำความสะอาดเครื่องจักร ... ลูกสาวบอกไม่เอาอ่ะ เลอะ(คราบน้ำมันไฮโดรลิคดำๆ) หนูไม่อยากทำ!!!?!!! ... แต่พอภรรยาผมพาลูกสาวคนโตไปทำความสะอาดบ้านเช่า ลูกได้หมด ช่วยปัดกวาดเช็ดถูแบบเต็มใจ!! วันก่อนมีช่างแอร์มาติดแอร์บ้านเช่าหลังหนึ่ง ลูกก็ช่วยงานได้ตามสมควร ช่วยเอาขยะไปทิ้ง ช่วยกวาดพื้น และบอกว่าหนูชอบบ้านหลังนี้ ... ผมในฐานะพ่อก็ภูมิใจครับ ถึงแม้ลูกจะไม่ชอบงานเครื่องจักรแต่ชอบงานบ้านเช่าทำอย่างเต็มใจผมก็โอเคร ... และผมในฐานะคนสร้างบ้านหลังนี้ก็ภูมิใจ อย่างน้อยลูกก็ชอบงานที่ผมสร้าง(แต่ตอนนี้ปล่อยเช่าอยุ่) ค่อยๆทำ ค่อยๆสอน ”เรื่องราวเกี่ยวกับงาน” ของ ผม ... ค่อยๆอธิบายให้ลูกฟัง ให้เธอเข้าใจงานของผมทีละน้อย ค่อยๆให้ลูกซึมซับในสิ่งที่เราคิด แต่ไม่บีบคั้น ให้เด็กๆเลือกช่วยงานตามความเหมาะสม

.

มันคงเป็นการดี ถ้าเราไปทำงานและลูกก็ชอบไปทำงานกับเรา ... และจะดีมากที่สุดถ้าลูกช่วยงานเราอย่างเต็มใจครับ!!!


.

ภรรยาผมถ่ายรูปขณะที่ลูกสาวกำลังช่วยทำความสะอาดบ้านเช่าของเราหลังหนึ่ง แล้วส่งภาพมาให้ผมดู!! ผมยังคุยติดตลกกับภรรยาว่า สงสัยว่าที่มือวางอันดับหนึ่งของไม้ต่อสายธุรกิจอสังหาฯให้เช่าของผมจะปรากฎตัวแล้ว 5555+


เอ๊ะ นอกเรื่องไปไกลจนเกิน 10000 อักษรครับ 555+ ....  งั้นขอต่อในคอมเม้น 1 ครับ

...[^_^]...
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่