ก็ผ่านไปอีก 1 ปีครับ เราก็เดินทางมาถึงตอนที่ 4 ตอนนี้หูฟังตัวต้นแบบนั้นเสร็จแล้วและ QC ก็สมบูรณ์จริงๆอย่างที่ผมต้องการ
แต่ผมก็ยังไม่ได้แจกจ่ายหูฟังตัวต้นแบบออกไปให้นักเล่นหูฟังได้ลองก่อนนะครับเพราะติดปัญหาความล่าช้าที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอ
และมีการเปลี่ยนแผนทางธุรกิจอยู่ด้วย ทำให้ยังต้องดึงเวลาออกไปอีกหน่อยเพื่อที่จะเก็บข้อมูลที่จะใช้ตัดสินใจว่าควรจะไปทางใหนดี
ปีนี้ผมได้เตรียมการผลิตในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพให้ดีขึ้นไปอีกด้วยการซื้อเครื่องจักรใหม่ 2 ตัว ซึ่งมีตัวหนึ่งเป็นเครื่อง fully auto
นี่เป็นเครื่อง fully auto เครื่องแรกของผมหลังจากที่ทำงานนี้มา 15 ปี
ตอนนี้ผมกำลังคุยกับโรงงานผลิตหูฟังของญี่ปุ่นอยู่โดยผมต้องการจ้างเขาให้ทำการประกอบดอกลำโพงของผม
ซึ่งผมจะส่งวัตถุดิบและชิ้นส่วนต่างให้เขาโดยเขาทำการประกอบดอกลำโพงเท่านั้น และส่งต่อดอกลำโพงมาให้ผมทำการประกอบเป็นหูฟังอีกที
อ่านมาถึงต้องนี้ผู้อ่านอาจจะงงว่าผมก็มีเครื่องจักรที่ใช้ผลิตและประกอบได้ แล้วจะไปจ้างเขาทำไม เครื่องที่ผมมีนั้นทำได้ครับ แต่มันช้ามากๆ
หากต้องการผลิตให้เร็ว ผมต้องลงทุนแค่เฉพาะค่าเครื่องจักรน่าจะราวๆ 14 ล้านบาท ไม่นับตัวโรงงานห้องcleanroom ใหนจะพนักงานและโน้นนั้นนี่อีก
สรุปเหตุผลในการจ้างคือ ถ้าเราตกลงกันได้(ปัจจุบันคุยกันมา 2 เดือนแล้ว รายละเอียดมันนเยอะครับกว่าจะสรุปได้คงใช้เวลาอีกสักพัก) ผมจะมีกำลังการผลิตได้มากเท่าที่ตลาดต้องการโดยทันทีซึ่งจะช่วยให้กิจการของผมเติบโตได้เร็วมากขึ้นกว่าที่ผมจะหาเงินทุนมาทำเองทั้งหมด
หากตกลงกันไม่ได้ ผมก็ต้องผลิตเองทั้งหมดอย่างที่เคยวางแผนมาก่อนหน้านี้
ปีนี้ผมได้มีโอกาสไปเดินงาน expo สำหรับคนทำอุตสาหกรรมการผลิตที่ไบเทคบางนา ปกติผมจะไปดูงาน expo แบบนี้ที่ต่างประเทศเท่านั้นเพราะ suppliers ของผมทุกเจ้านั้นเป็นต่างประเทศทั้งหมด รูปด้านซ้ายเป็นงาน expo ในจีน ส่วนด้านขวาเป็นงานในไทยที่ไบเทคบางนา

หลังจากได้คุยกับ suppliers ในงานที่เป็นบริษัทในไทยที่เป็นทั้งผู้ผลิตแม่พิมพ์และเป็นตัวแทนจำหน่ายที่นำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ
ผมก็ได้แต่คิดในใจว่า คนตัวเล็กๆในไทยที่คิดอยากจะมีกิจการเป็นผู้ผลิตจะทำได้ยังไงเพราะต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมาก
ผมเองพอจะเข้าใจว่า การแข่งขันในไทยไม่ได้ดุเดือดบ้าเลือดแบบในจีนและต้นทุนต่างๆของโรงงานในไทยก็สูงกว่าจีน
ผมยกตัวอย่างง่ายๆให้พอเห็นภาพแล้วกันครับ อย่างเครื่องหยอดกาวซึ่งเป็นเครื่องจักรมาตรฐานที่ใช้ในการประกอบ
โรงงานที่ผลิตสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอสิกส์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าต้องมีใช้ทุกโรงงาน รูปด้านล่างเป็นตัวที่ผมใช้ เป็นเครื่องหยอดกาว 3 แกน
มีระบบวาวล์ควบคุมกาวไหลแบบไฟฟ้าและมีกล้องเพื่อควบคุมการทำงานและตรวจสอบชิ้นงาน

ที่ด้านขวาผมรื้อตรวจสอบเพราะได้ยินเสียงที่คิดว่าแปลกๆ ผมรื้อดูเลยเพราะเครื่องซื้อเองจากจีนเขาไม่มีประกันแบบมาซ่อมให้อยู่แล้ว เขาแค่ส่งชิ้นส่วนให้ผมซ่อมเองหากเครื่องมีปัญหา อย่างเครื่องสเป็คนี้เป็นเครื่องจีนหากหาซื้อจากตัวแทนในไทย ราคาจะราวๆ 2 เท่าจากที่ผมซื้อเอง แต่ต้องเข้าใจด้วยนะครับว่าคนทำโรงงานหากเครื่องจักรเสียแล้วซ่อมเองไม่เป็น อะไหล่ต้องรอจากต่างประเทศ มันจะเสียหายมากๆเพราะ ค่าใช้จ่ายมันเดินตลอดแต่ไม่มีผลผลิตออกมา ไม่รวมถึงการ test run ก่อนซื้อและการเทรนนิ่งการใช้เครื่องอีกใหนจะซ่อมบำรุงและอุปกรณ์สิ้นเปลืองต่างๆ ซึ่งการซื้อเครื่องจักรเองจากประเทศจีนนั้นอาจจะเสียมากกว่าได้ หากเทียบกับเครื่องญี่ปุ่นก็จะแพงกว่าที่ผมซื้อเองจากจีนราวๆ 7 เท่าตัว แต่เครื่องญี่ปุ่นก็ดีกว่าแน่นอน อันนี้ก็คงขึ้นอยู่กับความต้องการของงานแล้วว่าต้องการเครื่องที่ดีมากน้อยแค่ใหน
มาดูกันต่อในส่วนของแม่พิมพ์ แม่พิมพ์ฉีดพลาสติกผมคุยกับโรงงานของจีนที่มีโรงงานในไทย ราคาก็แพงกว่าที่ผมใช้จากจีนราวๆ 2.5 เท่า แต่โรงงานในไทยดูจะมีคุณภาพที่ดีกว่าอยู่หน่อยๆ หรือแม่พิมพ์ progressive die ที่ใช้ขึ้นรูปโลหะก็แพงกว่าที่ผมใช้จากจีนราวๆ 7 เท่าตัว แล้วซัพจีนเจ้านี้ที่ผมใช้ก็มืออาชีพมากๆและราคาก็แพงมากด้วยหากเทียบกับเจ้าอื่นๆในจีนด้วยกัน แต่หากมองอีกมุมหนึ่งถ้าคุณผลิตจำนวนเยอะๆค่าแม่พิมพ์ตรงนี้ก็เป็นต้นทุนที่ไม่ได้มากมายอะไรแต่การที่คุณจะผลิตเยอะๆได้ก็แปลว่ากิจการของคุณนั้นมีลูกค้าในระดับหนึ่งแล้ว แต่สำหรับคนตัวเล็กที่จะเริ่มกิจการใหม่แล้วต้องมาเจอค่าใช้จ่ายแบบนี้ในไทย ก็ต้องคิดหนักหละครับว่าจะไหวไหม ผมเขียนตรงนี้เพื่อที่อยากให้เป็นข้อมูลสำหรับวิศวกรหรือคนไทยตัวเล็กๆที่มีความต้องการจะมีเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าสักอย่างหนึ่งเป็นของตัวเอง ว่าคุณต้องเจอกับอะไรบ้างและควรจะต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อที่จะได้ไปถึงเป้าหมายของคุณ
ตัวผมเองแม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็หวังว่าบทความทั้ง 4 ตอนที่ผ่านมาอาจจะพอมีประโยชน์บ้าง
อีกสัก 2 เดือน ผมคงจะได้ข้อสรุปว่าจะผลิตเองทั้งหมดหรือจ้างโรงงานญี่ปุ่นให้ช่วยประกอบดอกลำโพงให้ หากจ้างโรงงานญี่ปุ่นประกอบดอกลำโพงผมก็ต้องเตรียมทำแม่พิมพ์ใหม่และตัว tools สำหรับการประกอบใหม่ ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนนะครับว่าการผลิตแบบช้ากับเร็วนั้นใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ tools
ต่างกัน การจะทำแม่พิมพ์และ tools ใหม่เหล่านี้ก็ใช้เวลาอาจจะสัก 3 เดือนในกรณีจ้างโรงงานญี่ปุ่นประกอบดอกลำโพง
ในกรณีผมผลิตเองทั้งหมดก็อาจจะใช้เวลาสัก 2 เดือนในการเตรียมการเพราะหลายอย่างเกือบจะพร้อมหมดแล้ว ใกล้ความจริงขึ้นมาอีกนิดที่หูฟังของผมจะได้เริ่มวางขายจริงๆสักที
แล้วพบกันใหม่ใน ตอนที่ 5 ครับ
10 ปีกับภาพฝันเล็กๆและการเดินทางที่สุดโหด ตอนที่ 4
แต่ผมก็ยังไม่ได้แจกจ่ายหูฟังตัวต้นแบบออกไปให้นักเล่นหูฟังได้ลองก่อนนะครับเพราะติดปัญหาความล่าช้าที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอ
และมีการเปลี่ยนแผนทางธุรกิจอยู่ด้วย ทำให้ยังต้องดึงเวลาออกไปอีกหน่อยเพื่อที่จะเก็บข้อมูลที่จะใช้ตัดสินใจว่าควรจะไปทางใหนดี
ปีนี้ผมได้เตรียมการผลิตในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพให้ดีขึ้นไปอีกด้วยการซื้อเครื่องจักรใหม่ 2 ตัว ซึ่งมีตัวหนึ่งเป็นเครื่อง fully auto
นี่เป็นเครื่อง fully auto เครื่องแรกของผมหลังจากที่ทำงานนี้มา 15 ปี
ตอนนี้ผมกำลังคุยกับโรงงานผลิตหูฟังของญี่ปุ่นอยู่โดยผมต้องการจ้างเขาให้ทำการประกอบดอกลำโพงของผม
ซึ่งผมจะส่งวัตถุดิบและชิ้นส่วนต่างให้เขาโดยเขาทำการประกอบดอกลำโพงเท่านั้น และส่งต่อดอกลำโพงมาให้ผมทำการประกอบเป็นหูฟังอีกที
อ่านมาถึงต้องนี้ผู้อ่านอาจจะงงว่าผมก็มีเครื่องจักรที่ใช้ผลิตและประกอบได้ แล้วจะไปจ้างเขาทำไม เครื่องที่ผมมีนั้นทำได้ครับ แต่มันช้ามากๆ
หากต้องการผลิตให้เร็ว ผมต้องลงทุนแค่เฉพาะค่าเครื่องจักรน่าจะราวๆ 14 ล้านบาท ไม่นับตัวโรงงานห้องcleanroom ใหนจะพนักงานและโน้นนั้นนี่อีก
สรุปเหตุผลในการจ้างคือ ถ้าเราตกลงกันได้(ปัจจุบันคุยกันมา 2 เดือนแล้ว รายละเอียดมันนเยอะครับกว่าจะสรุปได้คงใช้เวลาอีกสักพัก) ผมจะมีกำลังการผลิตได้มากเท่าที่ตลาดต้องการโดยทันทีซึ่งจะช่วยให้กิจการของผมเติบโตได้เร็วมากขึ้นกว่าที่ผมจะหาเงินทุนมาทำเองทั้งหมด
หากตกลงกันไม่ได้ ผมก็ต้องผลิตเองทั้งหมดอย่างที่เคยวางแผนมาก่อนหน้านี้
ปีนี้ผมได้มีโอกาสไปเดินงาน expo สำหรับคนทำอุตสาหกรรมการผลิตที่ไบเทคบางนา ปกติผมจะไปดูงาน expo แบบนี้ที่ต่างประเทศเท่านั้นเพราะ suppliers ของผมทุกเจ้านั้นเป็นต่างประเทศทั้งหมด รูปด้านซ้ายเป็นงาน expo ในจีน ส่วนด้านขวาเป็นงานในไทยที่ไบเทคบางนา
หลังจากได้คุยกับ suppliers ในงานที่เป็นบริษัทในไทยที่เป็นทั้งผู้ผลิตแม่พิมพ์และเป็นตัวแทนจำหน่ายที่นำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ
ผมก็ได้แต่คิดในใจว่า คนตัวเล็กๆในไทยที่คิดอยากจะมีกิจการเป็นผู้ผลิตจะทำได้ยังไงเพราะต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมาก
ผมเองพอจะเข้าใจว่า การแข่งขันในไทยไม่ได้ดุเดือดบ้าเลือดแบบในจีนและต้นทุนต่างๆของโรงงานในไทยก็สูงกว่าจีน
ผมยกตัวอย่างง่ายๆให้พอเห็นภาพแล้วกันครับ อย่างเครื่องหยอดกาวซึ่งเป็นเครื่องจักรมาตรฐานที่ใช้ในการประกอบ
โรงงานที่ผลิตสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอสิกส์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าต้องมีใช้ทุกโรงงาน รูปด้านล่างเป็นตัวที่ผมใช้ เป็นเครื่องหยอดกาว 3 แกน
มีระบบวาวล์ควบคุมกาวไหลแบบไฟฟ้าและมีกล้องเพื่อควบคุมการทำงานและตรวจสอบชิ้นงาน
ที่ด้านขวาผมรื้อตรวจสอบเพราะได้ยินเสียงที่คิดว่าแปลกๆ ผมรื้อดูเลยเพราะเครื่องซื้อเองจากจีนเขาไม่มีประกันแบบมาซ่อมให้อยู่แล้ว เขาแค่ส่งชิ้นส่วนให้ผมซ่อมเองหากเครื่องมีปัญหา อย่างเครื่องสเป็คนี้เป็นเครื่องจีนหากหาซื้อจากตัวแทนในไทย ราคาจะราวๆ 2 เท่าจากที่ผมซื้อเอง แต่ต้องเข้าใจด้วยนะครับว่าคนทำโรงงานหากเครื่องจักรเสียแล้วซ่อมเองไม่เป็น อะไหล่ต้องรอจากต่างประเทศ มันจะเสียหายมากๆเพราะ ค่าใช้จ่ายมันเดินตลอดแต่ไม่มีผลผลิตออกมา ไม่รวมถึงการ test run ก่อนซื้อและการเทรนนิ่งการใช้เครื่องอีกใหนจะซ่อมบำรุงและอุปกรณ์สิ้นเปลืองต่างๆ ซึ่งการซื้อเครื่องจักรเองจากประเทศจีนนั้นอาจจะเสียมากกว่าได้ หากเทียบกับเครื่องญี่ปุ่นก็จะแพงกว่าที่ผมซื้อเองจากจีนราวๆ 7 เท่าตัว แต่เครื่องญี่ปุ่นก็ดีกว่าแน่นอน อันนี้ก็คงขึ้นอยู่กับความต้องการของงานแล้วว่าต้องการเครื่องที่ดีมากน้อยแค่ใหน
มาดูกันต่อในส่วนของแม่พิมพ์ แม่พิมพ์ฉีดพลาสติกผมคุยกับโรงงานของจีนที่มีโรงงานในไทย ราคาก็แพงกว่าที่ผมใช้จากจีนราวๆ 2.5 เท่า แต่โรงงานในไทยดูจะมีคุณภาพที่ดีกว่าอยู่หน่อยๆ หรือแม่พิมพ์ progressive die ที่ใช้ขึ้นรูปโลหะก็แพงกว่าที่ผมใช้จากจีนราวๆ 7 เท่าตัว แล้วซัพจีนเจ้านี้ที่ผมใช้ก็มืออาชีพมากๆและราคาก็แพงมากด้วยหากเทียบกับเจ้าอื่นๆในจีนด้วยกัน แต่หากมองอีกมุมหนึ่งถ้าคุณผลิตจำนวนเยอะๆค่าแม่พิมพ์ตรงนี้ก็เป็นต้นทุนที่ไม่ได้มากมายอะไรแต่การที่คุณจะผลิตเยอะๆได้ก็แปลว่ากิจการของคุณนั้นมีลูกค้าในระดับหนึ่งแล้ว แต่สำหรับคนตัวเล็กที่จะเริ่มกิจการใหม่แล้วต้องมาเจอค่าใช้จ่ายแบบนี้ในไทย ก็ต้องคิดหนักหละครับว่าจะไหวไหม ผมเขียนตรงนี้เพื่อที่อยากให้เป็นข้อมูลสำหรับวิศวกรหรือคนไทยตัวเล็กๆที่มีความต้องการจะมีเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าสักอย่างหนึ่งเป็นของตัวเอง ว่าคุณต้องเจอกับอะไรบ้างและควรจะต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อที่จะได้ไปถึงเป้าหมายของคุณ
ตัวผมเองแม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็หวังว่าบทความทั้ง 4 ตอนที่ผ่านมาอาจจะพอมีประโยชน์บ้าง
อีกสัก 2 เดือน ผมคงจะได้ข้อสรุปว่าจะผลิตเองทั้งหมดหรือจ้างโรงงานญี่ปุ่นให้ช่วยประกอบดอกลำโพงให้ หากจ้างโรงงานญี่ปุ่นประกอบดอกลำโพงผมก็ต้องเตรียมทำแม่พิมพ์ใหม่และตัว tools สำหรับการประกอบใหม่ ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนนะครับว่าการผลิตแบบช้ากับเร็วนั้นใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ tools
ต่างกัน การจะทำแม่พิมพ์และ tools ใหม่เหล่านี้ก็ใช้เวลาอาจจะสัก 3 เดือนในกรณีจ้างโรงงานญี่ปุ่นประกอบดอกลำโพง
ในกรณีผมผลิตเองทั้งหมดก็อาจจะใช้เวลาสัก 2 เดือนในการเตรียมการเพราะหลายอย่างเกือบจะพร้อมหมดแล้ว ใกล้ความจริงขึ้นมาอีกนิดที่หูฟังของผมจะได้เริ่มวางขายจริงๆสักที
แล้วพบกันใหม่ใน ตอนที่ 5 ครับ