วิธีเข้า ฌานที่ ๔ (แต่ต้องได้ฌานต้นๆ ก่อน)
ฌานที่ ๔ นี้มีองค์ประกอบ ๒ ข้อ คือ ให้ละสุขเสียได้ แล้วเจริญ
๑. อุเบกขา ๒. เอกัคคตา
ถ้าเราไม่อุเบกขา เราก็จะยึดติดกับสิ่งต่างๆ อยู่เรื่อย หวั่นไหวไปเรื่อย สมมติว่า เราเอาเรือไปผูกติดกับแพ น้ำใหลลอยไปยังไงก็จะอยู่อย่างนั้น ถ้าเราให้เชือกหลุดออกจากแพ เราถึงจะเป็นตัวของตัวเองได้ ถ้าอย่างนั้น ฌาน ๑-๓ นี่ก็ใหลไปตามกระแสน้ำ ถึงบอกว่าเป็นตัวอะไรที่ยังใช้ไม่ได้ เพียงแค่รับรู้เฉยๆ เป็นบันไดให้ขึ้นถึงขั้นที่ ๔ ขั้นที่ ๔ เราต้องอุเบกขา ต้องให้หลุดจากสิ่งที่เป็นอยู่ เช่น เราวิตก เราต้องหลุดออกจากวิตกล่ะ ถ้าเรายักวิตกก็จะพาเราไปอีกแล้ว
ยกตัวอย่าง วิตกคือความไม่เข้าใจในสิ่งนั้น เราก็จะวิตกว่ามันเป็นอะไรว่ะ มันเป็นยังไงว่ะ หรือจะอะไร ถ้าจะว่าไปก็คือการสงสัย ลังเลสงสัย
พอมาวิจาร คือ มันจะมาเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เป็นอย่างนี้หรือเปล่า เรียกว่า วิจาร คือ เอามาวิเคราะห์
ปิติ คือ รู้แล้ว ดีใจว่านี่คืออะไร มันเป็นยังไง
พอดีใจปั้บ ก็สรุปพึงพอใจ สรุปแล้วว่าพึงพอใจอย่างนี้
เอกัคคตา คือ จะถือตรงไหน จะถือตรงนี้เป็นหนึ่ง ก็จะถือตรงนี้ล่ะ
การกำหนดลมหายใจ "พุทโธ" อันนี้เป็นกุศโลบายที่จะทำให้จิตเราอยู่ ไม่ใช่เป็นตัวที่จะนำพาไปให้ได้ฌาน สิ่งที่นำพาไปต้องเป็นการกำหนดจิต
สมมติว่านำพาไปเพื่อตรงนี้ ใช่มั้ย? เราก็ต้องกำหนดจิตมาตรงนี้สิ เราไม่กำหนดจิตมาตรงนี้แล้วกำหนดจิตไปที่อื่นแล้วจะมาตรงนี้ได้ยังไง ก็ฟุ้งซ่านหมด สรุปแล้วว่าเอกัคคตาจะไปสู่สิ่งไหน นี่แหละเริ่มเข้าสู่กสิณล่ะ
สมมติว่าเอกัคคตาของเราอยู่ที่พระพุทธรูป จิตเราก็จะอยู่กับพระพุทธรูป นี่แหละ เขาเรียกว่ากสิณ
สมมติว่าเอกัคคตาเราจะไปอยู่ที่น้ำ เราก็จะเพ่งน้ำ ก็อยู่กับน้ำ อยู่กับไฟก็เช่นเดียวกัน เอกัคคตาเราก็อยู่กับไฟ สมาธิก็จะอยู่ตรงนั้น นี่แหละเรียกว่า ฌาน แปลว่า "เพ่ง"
เพ่งแล้วทำอะไรต่อ ก็คือพิจารณาความเป็นไปของสิ่งนั้น เช่น ไฟเป็นยังไง อะไรข้างใน ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ถ้านั่งเฉยๆ ไม่พิจารณาเขาเรียกว่า "สมาธิตาย" ทำอะไรไม่ได้
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
ประสบการณ์ วิธีเข้า ฌานที่ ๔ (แต่ต้องได้ฌานต้นๆ ก่อน)
ฌานที่ ๔ นี้มีองค์ประกอบ ๒ ข้อ คือ ให้ละสุขเสียได้ แล้วเจริญ
๑. อุเบกขา ๒. เอกัคคตา
ถ้าเราไม่อุเบกขา เราก็จะยึดติดกับสิ่งต่างๆ อยู่เรื่อย หวั่นไหวไปเรื่อย สมมติว่า เราเอาเรือไปผูกติดกับแพ น้ำใหลลอยไปยังไงก็จะอยู่อย่างนั้น ถ้าเราให้เชือกหลุดออกจากแพ เราถึงจะเป็นตัวของตัวเองได้ ถ้าอย่างนั้น ฌาน ๑-๓ นี่ก็ใหลไปตามกระแสน้ำ ถึงบอกว่าเป็นตัวอะไรที่ยังใช้ไม่ได้ เพียงแค่รับรู้เฉยๆ เป็นบันไดให้ขึ้นถึงขั้นที่ ๔ ขั้นที่ ๔ เราต้องอุเบกขา ต้องให้หลุดจากสิ่งที่เป็นอยู่ เช่น เราวิตก เราต้องหลุดออกจากวิตกล่ะ ถ้าเรายักวิตกก็จะพาเราไปอีกแล้ว
ยกตัวอย่าง วิตกคือความไม่เข้าใจในสิ่งนั้น เราก็จะวิตกว่ามันเป็นอะไรว่ะ มันเป็นยังไงว่ะ หรือจะอะไร ถ้าจะว่าไปก็คือการสงสัย ลังเลสงสัย
พอมาวิจาร คือ มันจะมาเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เป็นอย่างนี้หรือเปล่า เรียกว่า วิจาร คือ เอามาวิเคราะห์
ปิติ คือ รู้แล้ว ดีใจว่านี่คืออะไร มันเป็นยังไง
พอดีใจปั้บ ก็สรุปพึงพอใจ สรุปแล้วว่าพึงพอใจอย่างนี้
เอกัคคตา คือ จะถือตรงไหน จะถือตรงนี้เป็นหนึ่ง ก็จะถือตรงนี้ล่ะ
การกำหนดลมหายใจ "พุทโธ" อันนี้เป็นกุศโลบายที่จะทำให้จิตเราอยู่ ไม่ใช่เป็นตัวที่จะนำพาไปให้ได้ฌาน สิ่งที่นำพาไปต้องเป็นการกำหนดจิต
สมมติว่านำพาไปเพื่อตรงนี้ ใช่มั้ย? เราก็ต้องกำหนดจิตมาตรงนี้สิ เราไม่กำหนดจิตมาตรงนี้แล้วกำหนดจิตไปที่อื่นแล้วจะมาตรงนี้ได้ยังไง ก็ฟุ้งซ่านหมด สรุปแล้วว่าเอกัคคตาจะไปสู่สิ่งไหน นี่แหละเริ่มเข้าสู่กสิณล่ะ
สมมติว่าเอกัคคตาของเราอยู่ที่พระพุทธรูป จิตเราก็จะอยู่กับพระพุทธรูป นี่แหละ เขาเรียกว่ากสิณ
สมมติว่าเอกัคคตาเราจะไปอยู่ที่น้ำ เราก็จะเพ่งน้ำ ก็อยู่กับน้ำ อยู่กับไฟก็เช่นเดียวกัน เอกัคคตาเราก็อยู่กับไฟ สมาธิก็จะอยู่ตรงนั้น นี่แหละเรียกว่า ฌาน แปลว่า "เพ่ง"
เพ่งแล้วทำอะไรต่อ ก็คือพิจารณาความเป็นไปของสิ่งนั้น เช่น ไฟเป็นยังไง อะไรข้างใน ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ถ้านั่งเฉยๆ ไม่พิจารณาเขาเรียกว่า "สมาธิตาย" ทำอะไรไม่ได้
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต