ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสทำงานระหว่างปิดเทอมมหาลัยฯ
ทำงานอยู่ร้านขายเทียนพรรษา มีหน้าที่แบกของ ยกของทั้งวัน
ด้วยความยังเด็กเราจึงยกทุกอย่าง เพราะอย่ากให้คนในร้านยอมรับ
จนมาวันหนึ่งเราจำได้ดีว่า พี่เขาให้ช่วยยกลังใส่เทียน ซึ่งเป็นลังที่ใหญ่ที่สุดของร้าน
หนักประมาณ 35 กิโลกรัม ตอนแรกพี่เขาบอกให้เรียกเพื่อนมาช่วยยก
แต่ตอนนั้นเราคิดว่าเราไหวและยกคนเดียว และหลังจากการยกลังนั้น
มันก็นำมาซึ่งบาดแผลที่ผมไม่เคยลืมและมันไม่เคยหายไป
ผมปวดหลังครั้งแรกในชีวิตหลังจากยกเจ้าลังนั้น แต่คิดว่ามันคงไม่เป็นอะไร
จึงทนทำงานไปอีก 2 เดือน พร้อมอาการเจ็บปวดที่ไม่มีทีท่าว่าจะหาย
จนก่อนเปิดภาคเรียนผมไปหาหมอด้วยความกังวล
แต่ก็ได้รับกำลังใจจากหมอว่าไม่เป็นอะไรมาก พร้อมยากลับมาทาน
และไม่นานนักอาการปวดหลังก็หายไปจากชีวิตผม...
1 ปีผ่านไป คือช่วงเวลาปิดเทอม ผมล่อนเร่หางานทำ จนมาได้งานเป็นเสมียน
ที่ร้านผ้าแห่งหนึ่งย่านสำเพ็ง งานหลักของผมคือบัญชี แต่ภายในร้านเรามีกันอยู่ 4-5 คน
ดังนั้นเวลาต้องยกผ้าม้วนใหญ่ๆไปส่ง พี่ๆเขาก็มักให้เราไปช่วยยกเสมอ เพราะความเกรงใจ
และกลัวคนอื่นหาว่าเราจะเอาเปรียบ สบายอยู่คนเดียว ผมในตอนนั้นจึงไปช่วยเขายกผ้า
ยกไปแค่วันเดียวเพื่อนเก่าอาการปวดหลังก็กับมาเยี่ยมเยียน มันแวะมาทักทายผมเหมือนเช่นเคย
และผมก็ยังไม่กล้าปฏิเสธเหมือนเคยเวลาใครขอแรงไปยกผ้า มีบ้างบางทีที่บอกว่าไม่ไหว
แต่เหมือนพี่ๆในร้านเขาความจำสั้น เพราะเพียงไม่กี่วันผ่านไปเขาก็มาใช้เราใหม่ และเราก็จนมุมอยู่ดี
รอบนี้อาการเจ็บยาวเกือบครึ่งปี เพราะการรักษาที่ผิดรูปแบบของตัวเอง
มีไปหาหมอบ้างแต่ก็ได้รับความรู้ไม่ต่างจากการเปิดอินเตอร์เน็ตอ่านเอง
แต่โชคยังเข้าข้างผมนะ เพราะสุดท้ายอาการมันก็หายไปของมันเอง
ผมดีใจมากเลยนะตอนนั้น และตั้งใจกับตัวเองว่าจะปฏิเสธไม่ยกของให้ได้ เพราะห่วงสุขภาพของตัวเอง
เวลาหมุนเลยผ่านไปจนผมใกล้เรียนจบ มีปวดหลังบ้างเป็นครั้งคราว จากนิสัยเดิมของตัวเอง
ที่ชอบไปช่วยเขายกนู้นนี่นั้นเพราะความเกรงใจ กลัวคนอื่นมองเราแย่เหมือนเคย
แต่ทุกครั้งโชคก็ยังเข้าข้าง ผมถึงไม่ได้กลับมาปวดนานมากเหมือนเคย
จนมีโอกาสมาฝึกงาน ผมไม่ลืมที่จะบอกที่ฝึกงานว่า ผมปวดหลังนะยกของหนักไม่ได้
ก็ตามเคยดูเหมือนคนเราจะขึ้ลืม เพราะผมก็มักจะโดนใช้ให้ยกของอีกเสมอ
ครั้งนั้นผมจำได้ เขาให้ผมยกกระถางต้นไม้ ในใจตอนนั้นเรารู้นะ ถ้ายกคือกูปวดแน่
แต่สุดท้ายผมก็ยกและก็ปวดหลังเหมือนเคย ผมแมร่งโคตรหงุดหงิดตัวเองนะตอนนั้น
มือก็อยู่กับเรา ร่างกายก็ของเรา แต่กลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนกำลังทำร้ายตัวเองอยู่
ทั้งๆที่ไม่ใครมาบังคับแต่ทำไมวะผมกลับมาทำร้ายตัวเองแบบนี้ ผมตั้งคำถามกับตัวเอง ?
แต่มันคงเป็นคำถามที่ผมคงใคร่ครวญกับมันไม่มากพอ เพราะทุกครั้งที่หายปวดหลัง
ผมก็มักจะไม่สนใจและใส่ใจในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ จนเรียนจบมาได้งานทำเป็นฝ่ายบุคคล
ผมคิดว่าทุกคนคงเดาออกว่าผมจะเล่าเรื่องอะไรต่อ..............ใช่ครับผมยังเป็นผมคนเดิม
ที่ขี้เกรงใจ ปฏิเสธคนไม่เป็นเหมือนเดิม ผมคงกลัวการถูกไม่ยอมรับมั้งครับ
ถึงได้เชื่อคนง่ายเขาใช้อะไรก็ทำ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ แต่โชคยังดีนะครับที่พอทำงานแล้วมีตังไปหาหมอ
เลยไปหามันทุกที่เพราะคิดว่านี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
หมอบางที่ก็ว่ากล้ามเนื้อหลังผมอักเสบเรื้อรัง บ้างก็ว่ากล้ามเนื้อไม่แข็งแรง
แต่ทุกคนบอกเหมือนกันหมดว่าไม่อันตรายหรอก เดี๋ยวก็หาย ฟังดูมีกำลังใจดีนะครับ
แต่ย้อนกลับมาดูตัวเองทำไมแมร่งไม่เห็นจะหายสักทีวะ
จนล่าสุดเมื่อ 2 เดือนก่อนไปเป็นอาสาสมัครจิตอาสาที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง หลังจากกลับมาวันนั้นก็แถมมาด้วยอาการปวดหลังมาจนถึงวันนี้
ผมว่าจริงๆต้นเหตุของโรคนี้แมร่งไม่ได้มาจากกล้ามเนื้อหรอกวะ
ผมว่าแมร่งมาจากใจผมที่มันอ่อนแอมากกว่า แมร่งอ่อนขนาดที่ไม่รักตัวเอง
ทำร้ายตัวเองอยู่ตลอด ผมกลับมานั่งทบทวนกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
ปัญหานี้มันเหมือนท่อน้ำที่รั่ว กล้ามเนื้อก็เหมือนตัวท่อ ที่ถ้ามันรั่วผมก็ต้องคอยปะ
คอยอุดให้มันหายรั่ว ทั้งๆที่ข้างในมันยังมีน้ำไหลอยู่
น้ำมันยังคงไหลอยู่ตลอด ต่อให้ผมซ่อมท่อนี้อีกกี่ครั้งก็ตาม ที่จริงผมต้องไปปิดน้ำปะวะ
ท่อที่มันรั่วผมก็แค่ยอมรับความจริงปะวะ ว่ามันไม่ได้แข็งแรงทนทานเหมือนเดิมแล้ว
แต่น้ำที่มันไหลผมปิดมันได้เองปะวะ ผมแค่ปิดตัวเองกลายเป็นคนไม่มีน้ำใจในบางเรื่องที่ผมทำไม่ได้
ที่ผมช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ แต่มันก็มีอีกหลายอย่างที่เราช่วยเขาได้ไหมวะ
เราคิดว่าถ้าเขาจริงใจกับเราจริง เขาจะไม่มองเราแย่เพียงแค่เราไม่ช่วยเขาบางเรื่องไหม
เพราะถึงเขาจะนินทา ผมก็คิดว่าวันนี้ ผมต้องรักตัวเองบ้างแล้วละ
เพราะผมก็ไม่รู้ว่าโอกาสมันจะมีอีกกี่ครั้ง เพราะทุกครั้งที่มันช่างเจ็บปวด มันช่างบั้นทอนเวลาชีวิต
ความสุขของผมซะเหลือเกิน ที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพียงแค่ อยากระบายความรู้สึกที่มันอยู่ในใจ
เพียงแค่เป็นหลักเป็นฐานให้ผมยึดมั่นกับตัวเองว่า นับจากวันนี้ผมจะรักตัวเองให้มากกว่านี้
เพราะบางทีเราแคร์ความรู้สึกคนทั้งโลก แต่ลืมแคร์ความรู้สึกคนข้างในตัวเราปะวะ
แต่ไหนๆก็เขียนระบายมาแล้ว ก็อยากอยากใช้พื้นที่นี้ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น
ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่วันนี้เรายังรักตัวเองไม่เท่าที่ควร ไม่ได้สอนให้เห็นแก่ตัวนะ
แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเรารักตัวเองไม่มากพอ เราจะเอาพลังจะเอาแรงจากไหนมาให้คนอื่นวะ
บางทีอยากให้ลองให้เวลาตัวเองได้ทบทวนตัวเราเองบ้าง ว่าเรากำลังทำร้ายตัวเองกันอยู่รึเปล่า
บางครั้งการที่เราไม่ได้มีเวลาทบทวนตัวเอง ปัญหาที่เป็นอยู่เราอาจจะไม่ได้แก้มันที่ต้นเหตุ เหมือนที่ผมแก้มันผิดมาตลอด 4 ปี ก็ได้นะ
สุดท้ายผมอแค่อยากให้พื้นที่นี้เป็นพยานว่า ผมจะรักตัวเอง ให้มากกว่าที่เป็นอยู่
ผมจะกล้าที่จะบอกเสียงที่อยู่ข้างในอย่างเข็มแข้ง ผมจะปฏิเสธในสิ่งที่ผมคิดว่าผมทำไม่ไหว
และผมจะทำตัวเองให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง เพื่อที่ผมจะได้มีพลังช่วยเหลือคนอื่น ในแบบฉบับที่ผมทำได้ต่อไป
แด่คนมีน้ำใจทุกคน ที่ไม่เคยได้กลับมารักตัวเอง
เมื่อฉันป่วยเป็นโรค “ไม่รักตัวเอง”
ทำงานอยู่ร้านขายเทียนพรรษา มีหน้าที่แบกของ ยกของทั้งวัน
ด้วยความยังเด็กเราจึงยกทุกอย่าง เพราะอย่ากให้คนในร้านยอมรับ
จนมาวันหนึ่งเราจำได้ดีว่า พี่เขาให้ช่วยยกลังใส่เทียน ซึ่งเป็นลังที่ใหญ่ที่สุดของร้าน
หนักประมาณ 35 กิโลกรัม ตอนแรกพี่เขาบอกให้เรียกเพื่อนมาช่วยยก
แต่ตอนนั้นเราคิดว่าเราไหวและยกคนเดียว และหลังจากการยกลังนั้น
มันก็นำมาซึ่งบาดแผลที่ผมไม่เคยลืมและมันไม่เคยหายไป
ผมปวดหลังครั้งแรกในชีวิตหลังจากยกเจ้าลังนั้น แต่คิดว่ามันคงไม่เป็นอะไร
จึงทนทำงานไปอีก 2 เดือน พร้อมอาการเจ็บปวดที่ไม่มีทีท่าว่าจะหาย
จนก่อนเปิดภาคเรียนผมไปหาหมอด้วยความกังวล
แต่ก็ได้รับกำลังใจจากหมอว่าไม่เป็นอะไรมาก พร้อมยากลับมาทาน
และไม่นานนักอาการปวดหลังก็หายไปจากชีวิตผม...
1 ปีผ่านไป คือช่วงเวลาปิดเทอม ผมล่อนเร่หางานทำ จนมาได้งานเป็นเสมียน
ที่ร้านผ้าแห่งหนึ่งย่านสำเพ็ง งานหลักของผมคือบัญชี แต่ภายในร้านเรามีกันอยู่ 4-5 คน
ดังนั้นเวลาต้องยกผ้าม้วนใหญ่ๆไปส่ง พี่ๆเขาก็มักให้เราไปช่วยยกเสมอ เพราะความเกรงใจ
และกลัวคนอื่นหาว่าเราจะเอาเปรียบ สบายอยู่คนเดียว ผมในตอนนั้นจึงไปช่วยเขายกผ้า
ยกไปแค่วันเดียวเพื่อนเก่าอาการปวดหลังก็กับมาเยี่ยมเยียน มันแวะมาทักทายผมเหมือนเช่นเคย
และผมก็ยังไม่กล้าปฏิเสธเหมือนเคยเวลาใครขอแรงไปยกผ้า มีบ้างบางทีที่บอกว่าไม่ไหว
แต่เหมือนพี่ๆในร้านเขาความจำสั้น เพราะเพียงไม่กี่วันผ่านไปเขาก็มาใช้เราใหม่ และเราก็จนมุมอยู่ดี
รอบนี้อาการเจ็บยาวเกือบครึ่งปี เพราะการรักษาที่ผิดรูปแบบของตัวเอง
มีไปหาหมอบ้างแต่ก็ได้รับความรู้ไม่ต่างจากการเปิดอินเตอร์เน็ตอ่านเอง
แต่โชคยังเข้าข้างผมนะ เพราะสุดท้ายอาการมันก็หายไปของมันเอง
ผมดีใจมากเลยนะตอนนั้น และตั้งใจกับตัวเองว่าจะปฏิเสธไม่ยกของให้ได้ เพราะห่วงสุขภาพของตัวเอง
เวลาหมุนเลยผ่านไปจนผมใกล้เรียนจบ มีปวดหลังบ้างเป็นครั้งคราว จากนิสัยเดิมของตัวเอง
ที่ชอบไปช่วยเขายกนู้นนี่นั้นเพราะความเกรงใจ กลัวคนอื่นมองเราแย่เหมือนเคย
แต่ทุกครั้งโชคก็ยังเข้าข้าง ผมถึงไม่ได้กลับมาปวดนานมากเหมือนเคย
จนมีโอกาสมาฝึกงาน ผมไม่ลืมที่จะบอกที่ฝึกงานว่า ผมปวดหลังนะยกของหนักไม่ได้
ก็ตามเคยดูเหมือนคนเราจะขึ้ลืม เพราะผมก็มักจะโดนใช้ให้ยกของอีกเสมอ
ครั้งนั้นผมจำได้ เขาให้ผมยกกระถางต้นไม้ ในใจตอนนั้นเรารู้นะ ถ้ายกคือกูปวดแน่
แต่สุดท้ายผมก็ยกและก็ปวดหลังเหมือนเคย ผมแมร่งโคตรหงุดหงิดตัวเองนะตอนนั้น
มือก็อยู่กับเรา ร่างกายก็ของเรา แต่กลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนกำลังทำร้ายตัวเองอยู่
ทั้งๆที่ไม่ใครมาบังคับแต่ทำไมวะผมกลับมาทำร้ายตัวเองแบบนี้ ผมตั้งคำถามกับตัวเอง ?
แต่มันคงเป็นคำถามที่ผมคงใคร่ครวญกับมันไม่มากพอ เพราะทุกครั้งที่หายปวดหลัง
ผมก็มักจะไม่สนใจและใส่ใจในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ จนเรียนจบมาได้งานทำเป็นฝ่ายบุคคล
ผมคิดว่าทุกคนคงเดาออกว่าผมจะเล่าเรื่องอะไรต่อ..............ใช่ครับผมยังเป็นผมคนเดิม
ที่ขี้เกรงใจ ปฏิเสธคนไม่เป็นเหมือนเดิม ผมคงกลัวการถูกไม่ยอมรับมั้งครับ
ถึงได้เชื่อคนง่ายเขาใช้อะไรก็ทำ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ แต่โชคยังดีนะครับที่พอทำงานแล้วมีตังไปหาหมอ
เลยไปหามันทุกที่เพราะคิดว่านี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
หมอบางที่ก็ว่ากล้ามเนื้อหลังผมอักเสบเรื้อรัง บ้างก็ว่ากล้ามเนื้อไม่แข็งแรง
แต่ทุกคนบอกเหมือนกันหมดว่าไม่อันตรายหรอก เดี๋ยวก็หาย ฟังดูมีกำลังใจดีนะครับ
แต่ย้อนกลับมาดูตัวเองทำไมแมร่งไม่เห็นจะหายสักทีวะ
จนล่าสุดเมื่อ 2 เดือนก่อนไปเป็นอาสาสมัครจิตอาสาที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง หลังจากกลับมาวันนั้นก็แถมมาด้วยอาการปวดหลังมาจนถึงวันนี้
ผมว่าจริงๆต้นเหตุของโรคนี้แมร่งไม่ได้มาจากกล้ามเนื้อหรอกวะ
ผมว่าแมร่งมาจากใจผมที่มันอ่อนแอมากกว่า แมร่งอ่อนขนาดที่ไม่รักตัวเอง
ทำร้ายตัวเองอยู่ตลอด ผมกลับมานั่งทบทวนกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
ปัญหานี้มันเหมือนท่อน้ำที่รั่ว กล้ามเนื้อก็เหมือนตัวท่อ ที่ถ้ามันรั่วผมก็ต้องคอยปะ
คอยอุดให้มันหายรั่ว ทั้งๆที่ข้างในมันยังมีน้ำไหลอยู่
น้ำมันยังคงไหลอยู่ตลอด ต่อให้ผมซ่อมท่อนี้อีกกี่ครั้งก็ตาม ที่จริงผมต้องไปปิดน้ำปะวะ
ท่อที่มันรั่วผมก็แค่ยอมรับความจริงปะวะ ว่ามันไม่ได้แข็งแรงทนทานเหมือนเดิมแล้ว
แต่น้ำที่มันไหลผมปิดมันได้เองปะวะ ผมแค่ปิดตัวเองกลายเป็นคนไม่มีน้ำใจในบางเรื่องที่ผมทำไม่ได้
ที่ผมช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ แต่มันก็มีอีกหลายอย่างที่เราช่วยเขาได้ไหมวะ
เราคิดว่าถ้าเขาจริงใจกับเราจริง เขาจะไม่มองเราแย่เพียงแค่เราไม่ช่วยเขาบางเรื่องไหม
เพราะถึงเขาจะนินทา ผมก็คิดว่าวันนี้ ผมต้องรักตัวเองบ้างแล้วละ
เพราะผมก็ไม่รู้ว่าโอกาสมันจะมีอีกกี่ครั้ง เพราะทุกครั้งที่มันช่างเจ็บปวด มันช่างบั้นทอนเวลาชีวิต
ความสุขของผมซะเหลือเกิน ที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพียงแค่ อยากระบายความรู้สึกที่มันอยู่ในใจ
เพียงแค่เป็นหลักเป็นฐานให้ผมยึดมั่นกับตัวเองว่า นับจากวันนี้ผมจะรักตัวเองให้มากกว่านี้
เพราะบางทีเราแคร์ความรู้สึกคนทั้งโลก แต่ลืมแคร์ความรู้สึกคนข้างในตัวเราปะวะ
แต่ไหนๆก็เขียนระบายมาแล้ว ก็อยากอยากใช้พื้นที่นี้ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น
ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่วันนี้เรายังรักตัวเองไม่เท่าที่ควร ไม่ได้สอนให้เห็นแก่ตัวนะ
แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเรารักตัวเองไม่มากพอ เราจะเอาพลังจะเอาแรงจากไหนมาให้คนอื่นวะ
บางทีอยากให้ลองให้เวลาตัวเองได้ทบทวนตัวเราเองบ้าง ว่าเรากำลังทำร้ายตัวเองกันอยู่รึเปล่า
บางครั้งการที่เราไม่ได้มีเวลาทบทวนตัวเอง ปัญหาที่เป็นอยู่เราอาจจะไม่ได้แก้มันที่ต้นเหตุ เหมือนที่ผมแก้มันผิดมาตลอด 4 ปี ก็ได้นะ
สุดท้ายผมอแค่อยากให้พื้นที่นี้เป็นพยานว่า ผมจะรักตัวเอง ให้มากกว่าที่เป็นอยู่
ผมจะกล้าที่จะบอกเสียงที่อยู่ข้างในอย่างเข็มแข้ง ผมจะปฏิเสธในสิ่งที่ผมคิดว่าผมทำไม่ไหว
และผมจะทำตัวเองให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง เพื่อที่ผมจะได้มีพลังช่วยเหลือคนอื่น ในแบบฉบับที่ผมทำได้ต่อไป
แด่คนมีน้ำใจทุกคน ที่ไม่เคยได้กลับมารักตัวเอง