บันทึกความทรงจำ ถึงคนรักที่จากไป

26/กรกฎาคม/2562

ครบรอบการจากไป 1 เดือน ของน้องแพน กัลยา อุปนันท์

ทุกวันนี้ผมยังคิดถึงเค้า จึงเขียนถ้อยคำอาลัยระยะเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมา

เรารู้จักกันในเวปหาคู่ ซึ่งเราทั้งคู่หัวอกเดียวกันคือ อดีตคู่ของเรานอกใจ

เราจึงสัญญาและสาบานกันไว้ว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อกันตลอดไป

จะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า จนวันตาย

เราได้พูดคุยกันผ่านวีดีโอคอลอยู่ประมาณเดือนกว่าๆ จึงตัดสินใจเริ่มคบกันวันที่ 27 มิถุนายน 2559

ผมเป็นคนกรุงเทพฯ ต้องเดินทางมาเชียงใหม่ ด้วยเครื่องบิน บ้างก็รถทัวน์ ในวันศุกร์ กลับวันอาทิตย์

เป็นอยู่อย่างนี้หลายเดือน น้องแพน จึงลาออกจากงานมาอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ

เค้าเชื่อใจในตัวผมถึงขั้นออกจากงานมาอยู่ด้วยและจดทะเบียนสมรส ผมจึงตอบรับไมตรีนั้นกลับไปสุดตัวเช่นกัน

จึงดูแลและใส่ใจเค้าเป็นพิเศษ พาไปเที่ยวทะเล เกือบทุกอาทิตย์ และไปทานร้านอาหารต่างๆ ที่เค้าชอบ

แต่ด้วยความเหงา ห่างไกลไร้ญาติมิตร อยู่แต่ในคอนโด รอเวลาผมกลับมาจากที่ทำงาน จะเห็นได้ว่าเค้าดีใจมาก

แววตาและสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ และมีสระว่ายน้ำ ฟิตเนสให้เล่น

น้องแพนก็ยังอยากกลับมาอยู่บ้าน เพื่อมาดูแลพ่อที่ป่วยไม่ค่อยสบาย

ผมจึงลาออกจากงาน ขนสัมภาระ มาอยู่ บ้านน้ำแพร่ หางดง เชียงใหม่ และได้ตัดสินใจเซ้งร้านเก่าสองแสนบาท

รีโนเวทร้านใหม่ ประมาณสี่แสนบาท ซื้ออุปกรณ์ภาชนะต่างๆ อีก รวมๆ แล้วซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก

เพื่อมาเปิดร้านเนื้อย่างเกาหลี นับว่าเป็นการดำเนินชีวิตที่เสี่ยงมาก เพราะเราทั้งคู่ไม่มีเงินเดือนแล้ว

น้องแพนเป็นคนกระตือรือร้น คอยหาอะไรมาเสริมในร้านเพื่อเอาใจลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นซูชิ ขนมหวาน เค้ก หรืออาหารทะเล ฯลฯ

จะคอยดูแลความเรียบร้อยต่างๆ ภายในร้าน และหาอะไรมาทำเสริมในช่วงเวลาเช้า(ก๋วนเตี๋ยวสตรอเบอร์รี่)ช่วงเย็นก็จะขายอาหารทะเลไปด้วย

ตลอดเวลาที่อยู่เชียงใหม่ เราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด มีหลายเรื่องที่น้องแพนเค้าทำให้ผมประทับใจและรักเค้าจริงๆ

นั่นคือ เรียกผมว่าสามี (ส่วนผมเรียกเค้าว่าเมียจ๋า) แม้จะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังคนอื่น ไปเที่ยวที่ไหนก็จะคอยกุมมือควงแขนอยู่ตลอด

ถ่ายรูปคู่ของเราลงในเฟส เป็นระยะๆ ไม่มีการปิดบังอำพลาง หรือจะกลัวใครมาส่องเฟส

โทรศัพท์ของเค้าก็สามารถเอามาใช้หรือเช็คดูความเรียบร้อยได้ไม่มีปัญหา (ของผมเองก็เช่นกัน)

ทำอาหารและยกมาให้ จะคอยดูแลเอาใจใส่ผมเสมอ อีกเรื่องที่ประทับใจมากคือเค้าโกรธแทนเรา

มาวันนึงเค้าต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.มหาราช ด้วยโรคไต เป็นระยะเวลา 2-3 เดือน

ทุกวันหลังปิดร้านสี่ทุ่ม ผมต้องแวะไปเยี่ยมที่รพ. พอวันนึงน้องแพนบอกว่าถ้าไม่ไหวก็เลิกทำร้านได้ เค้าคงเห็นผมเหนื่อย ผมเองก็อยากดูแลน้องแพนมากกว่า

จึงปิดร้านไป เพื่อมาดูแลน้องแพนได้เต็มที่ น้องแพนได้รักษาตัวที่ รพ.หางดง รพ.สันป่าตอง รพ.นครพิงค์ (แม่ริม) และรพ.มหาราช (สวนดอก)

สลับสับเปลี่ยนเป็นอยู่แบบนี้ จนถึงวันที่น้องแพนต้องผ่าตัดหน้าท้องที่รพ.สันป่าตอง เพื่อใส่สายยาง ฟอกไตวันละ 4 รอบ คือ 8.00 น. 12.00น.

18.00น. และ 22.00 น.รอบละประมาณ 40 นาที ผมเองก็จะช่วยทำความสะอาดแผลทุกครั้ง จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

ดูเหมือนว่าน้องแพนจะแข็งแรงขึ้นบ้าง เราจึงเปิดร้านขายชา กาแฟเล็กๆ ใกล้ๆ บ้าน เพื่อไม่ให้อยู่บ้านว่างๆ ก็ยังไปเที่ยวกันได้บ้างไม่ไกลบ้านนัก

แต่แล้ววันนึง น้องแพนติดเชื้อในช่องท้อง ต้องผ่าตัดเอาสายยางออกด่วน จากที่ฟอกหน้าท้องด้วยสายยาง

ก็เปลี่ยนเป็นฟอกเลือดด้วยเครื่องแทน ใช้เวลา 4 ชั่วโมงต่อวัน วันเว้นวัน คือ จันทร์ พุธ ศุกร์ ที่คลีนิกสวนสน (สี่แยกเมย่า)

สุขภาพก็ยังไม่แข็งแรงดีจากการผ่าตัดเอาสายยางออก แต่หมอสันป่าตองบอกว่าต้องเอาสายยางเข้าหน้าท้องต่อ เพราะได้รับสิทธิใน

การฟอกเลือดเพียง 90 วัน จึงต้องทำการผ่าตัดอีกครั้ง เมื่อผ่าตัดกลับพบว่าภายในไม่พร้อมใส่สายยาง ทางรพ.จึงอนุมัติให้ฟอกเลือดถาวร

ไม่ต้องใส่สายยาง จากการผ่าตัดครั้งนี้จึงทำให้ร่างกายทรุดหนักกว่าเดิม ต้องเข้ารับการรักษาที่รพ.หางดง อยู่เป็นเดือนทำให้ร่างกายเริ่มอ่อนแอ

เดินไม่ไหว ต้องนั่งรถเข็น นอนเช็ดตัว และผมก็นวดเค้าจนหลับ เป็นอย่างนี้ประจำทุกวัน

อยู่มาวันนึงน้องแพนบอกว่า เค้าโชคดีที่ได้ผมเป็นสามี ยิ่งกว่าได้ถูกรางวัลที่หนึ่ง เค้าไม่เสียใจเลยที่มาป่วยแบบนี้

ที่ได้ผมคอยเอาใจใส่อยู่ข้างๆ ไม่ทอดทิ้งไปไหน แต่ผมกลับมองว่าผมโชคดีที่ได้เค้าเป็นภรรยาที่ประเมินค่าไม่ได้

ในเย็นวันนั้นพยาบาลก็ได้บอกผมว่าคนไข้เริ่มอาการไม่ดี จะให้ใส่เครื่องช่วยหายใจหรือไม่ ผมได้คุยกับแม่แสง (แม่ของแพน)

ว่าขอเอาน้องแพนกลับบ้าน ดีกว่าใช้เครื่องช่วยหายใจ (ซึ่งรู้กันดีอยู่แล้วว่าผลจะเป็นยังไง)

แม้กลับมาบ้านแล้วแต่ก็ยังต้องไปฟอกเลือดที่สวนสนอยู่ ผมรู้สึกดีใจที่ได้ดูแลน้องแพนอย่างใกล้ชิดที่บ้าน แม้จะต้องอุ้มขึ้นรถลงรถไปฟอกเลือดที่สวนสน

ตอนอุ้มก็จุ๊บแก้มเค้า น้องแพนก็จุ๊บตอบกลับมา ยังจำความรู้สึกดีๆ แบบนี้ได้อยู่เสมอ พักหลังๆ น้องแพนผอมมากหนักเพียงสามสิบต้นๆ แต่ผมอุ้มแล้วรู้สึกหนักจนปวดไหล่

จากที่อุ้มตอนที่เค้ายังไม่ได้ผอมมากขนาดนี้ยังไม่หนักผิดปกติแบบนี้ จนผมปวดไหล่เผลอหลุดปากพูดไปว่า "เมื่อไหร่จะหายสักที" เค้าเลยบอกว่า "ไม่ไหวแล้วหรอ"

หลังจากนั้นเค้าก็เริ่มทรุดหนัก จนในที่สุดเดินทางไปฟอกเลือดไม่ไหว ต้องนอนเหยียดอยู่บนที่นอน จากที่พอมีเรี่ยวแรงและพูดได้บ้าง ก็ค่อยๆ หมดเรี่ยวแรงไป และพูดได้น้อยลง

(คงเป็นคำพูดประโยคนี้กระมังที่ทำให้เค้าทรุดลงไปเร็ว เพราะเคยเห็นเค้าโพสต์ในเฟสว่า มีกำลังใจดี สู้เพื่อพ่อกับแม่และสามี ผมเสียใจมากจริงๆ ที่พูดไม่ได้คิด ย้อนไปได้จะไม่พูดอย่างนี้เลย)

ในวันที่สองก่อนที่จะเสียเค้าไป ผมยังจำได้ดี ปกติน้องแพนจะให้เปลี่ยนแพมเพิสตอนเช็ดตัวทุกเย็น เพื่อประหยัด (เป็นความต้องการของเค้า)

เที่ยงวันนั้น จากที่เค้าขยับตัวไม่ได้และพูดไม่ได้เลย เค้าพยายามเอามือเค้ามาจับมือผม และเลื่อนไปที่ตัวของเค้า ผมเลยถามว่า "จะให้นวดหรอ"

เค้าได้แต่เลื่อนมือผมลงไปอีกจนถึงเอว ผมเลยถามต่อไปว่า "อ๋อ อึ๊หรอ จะให้เปลี่ยนเพิสหรอ"

ผมจึงเปลี่ยนให้แม้จะไม่ถึงเวลาเย็นตามที่กำหนด แต่สิ่งที่ผมได้เห็นมันเป็นอะไรที่ทำร้ายจิตใจผม ถึงขั้นกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

(แม้ตอนนี้ที่นึกถึงก็ยังอดร้องไห้ไม่ได้)นั่นคือมดมากมายไม่รู้มาจากไหน มันรุมกันตอมกัดอยู่ในเพิส เค้าคงทรมานมากและคงเป็นเวลานาน

จากที่ขยับตัวและพูดไม่ได้เลย จึงพยายามให้ผมช่วย ซึ่งผมก็ได้แต่ด่าตัวเองที่ไม่ได้ดูแลให้ดีปล่อยให้มดขึ้นได้ยังไง จากนั้นทุกๆ ชั่วโมง

ผมจะคอยเปิดดูทำความสะอาดบ่อยขึ้น

ในวันสุดท้ายที่เค้าจากไป เค้าไม่รับรู้อะไรแล้ว แม้ผมจะนวดให้ หรือจับพลิกตัวเปลี่ยนท่านอนก็ไม่มีเสียงร้องใดๆ (วันก่อนๆ พลิกตัวยังได้ยินเสียงบ้าง)

ทำถึงขนาดนี้ ก็ยังมีแผลกดทับที่ก้นกบอยู่บ้างนิดๆ สภาพผอมเหลือแต่ซี่โครง (แต่ใบหน้ายังสวยอยู่เสมอสำหรับผม)ผมคอยป้อนน้ำด้วยสลิ้งเพื่อไม่ให้คอเค้าแห้ง

เค้าค่อยๆ หมดแรงและมองมาทางผม แววตาเค้าฝ้าฟางจนเห็นได้ชัด เค้าเคยบอกเอาไว้ก่อนตายว่า ให้เอาเถ้ากระดูกเก็บไว้ในกระถางมะลิ เค้าจะมาคุยทุกวันจนถึงเวลาที่ผมจะไปอยู่ด้วย

และจะรอกุศลผลบุญที่ผมทำส่งไปให้ ผมจึงพูดที่ข้างหูเค้าว่าไม่ต้องห่วงอะไร ทำใจให้สบาย หากเหงา หวาดกลัว หรือโดดเดี่ยวก็มาเอาสามีไปอยู่ด้วยได้เลย

เห็นได้ว่าเค้าตอบรับ แต่ไม่มีคำพูดออกจากปาก มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมา ผมรับรู้ได้ว่าเค้าได้ยินในสิ่งที่ผมพูด ผมจึงทำความสะอาดเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เค้าสวยๆ

ตั้งใจว่าจะพาเค้าไปนั่งหน้าบ้าน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่พอสวมเสื้อผ้าเสร็จ กำลังจะอุ้มไปข้างนอกเค้าก็หลั่งน้ำตาอีกครั้งและก็จากไปอย่างสงบในอ้อมแขนของผม

ในเช้าวันนั้น วันที่ 26 มิถุนายน 2562 เวลา 10.04 น.อายุ 33 ปี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่