ขอบคุณข่าวพี่อรอนงค์ ที่ทำให้เราก้าวเดินได้อีก 1 ก้าว

ออกตัวก่อนนะคะว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดข่าวนี้ขึ้นเลย
คนที่เลือกได้ว่าจะให้เกิดเรื่องนี้ หรือไม่เกิดเรื่องนี้ มีแค่คนเดียว คือ คนที่นอกใจ เค้าเลือกได้ค่ะ ว่าจะนอกใจ หรือไม่นอกใจ แต่เค้าเลือกแล้ว ว่าเค้าจะนอกใจ

ระหว่างที่รักษาบาดแผลกลางหลัง จากการถูกทรยศ หักหลัง นอกใจ 
ก็ได้อ่านข่าวนี้จากสื่อต่างๆ มันให้อะไรหลายๆ อย่าง ที่ทำให้เราเดินต่อได้ และเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะก้าวข้ามผ่านมรสุมครั้งนี้ไปได้ในที่สุด

จากข่าวพี่อรบอกว่า “ตั้งแต่คบหาดูใจกันมา ก็ใช้ระยะเวลานานพอสมควร...คือเริ่มจากการเป็นแฟน คบกัน 4 ปีแล้วหมั้น พอหมั้นเสร็จแล้วแต่งงาน” ใช่ที่ 1 เราก็รู้จักกัน คบเป็นแฟนกัน และแต่งงานกันนั้น รวมระยะเวลายาวนานมาก ทำให้เราประมาทกับชีวิตมาก คิดว่าทุกอย่างมันแน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง มั่นใจว่าศึกษาผู้ชายคนนี้ดีแล้ว มั่นใจว่าเราเลือกไม่ผิด มั่นใจว่าผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น

พี่อรบอกว่า “เราก็ต้องรู้ทั้งสองฝ่าย ว่ามีความต้องการยังไง แล้วมีอุปนิสัยใจคอยังไงบ้าง มันก็ทำให้วันเวลาเหล่านั้น รู้ว่าสามีเรามีความเปลี่ยนแปลงไป” ใช่ที่ 2 เราก็เริ่มรู้ว่ามันมีความเปลี่ยนแปลง แต่ก็พยายามมองข้ามมันไปเอง

พี่อรบอกว่า “สามีเรามีความเปลี่ยนแปลงไปจากที่อาจจะเวลาโทรศัพท์อาจจะแปลกๆ กลับบ้านดึก” ใช่ที่ 3 เริ่มจากโทรศัพท์ เราเริ่มรู้ทุกอย่างจากโทรศัพท์ และเริ่มทำโอทีบ่อย แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่พูดไปเราจะกลายเป็นคนขัดขวางการงานของเค้าอีก

พี่อรบอกว่า “ด้วยอาจจะเป็นเพราะเราอาจจะมีข้อบกพร่อง แล้วเราปล่อยผ่านเลยไป คิดว่าเราไม่ได้ไปตามจิกเขา ไม่ได้ไปตามหึงหวงเขามันกลับกลายเป็นว่าเขาสามารถไปได้อย่างสบายไปมากกว่า” ข้อนี้พีคสุด ช่วยให้เราปลดล็อค เลิกโทษตัวเองในทันที เพราะของเราคือพอระแคะระคาย เราก็ระแวด ระวัง ระแวง ตรวจสอบไปหมด เพื่อป้องกันการลุกลามของปัญหา แต่พออ่านตรงนี้แล้ว ปลดล็อคเลยว่า ต่อให้เราทำสิ่งตรงกันข้าม โดยไม่ตามจิก ไม่ระแวง ไม่ตรวจสอบ เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คือคนมันจะไป มันจะนอกใจ ต่อให้เปลี่ยนโจทย์ยังไง ผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนเดิม

พี่อรบอกว่า “ตัวอรเองก็ยังอยู่ที่เดิม มันอยู่ที่อดีตสามีพี่อรมากกว่า ว่าเขาไม่สามารถกลับมาเหมือนเมื่อก่อนได้แล้ว” ข้อนี้โดนอีกแล้วค่ะ คือเรายังอยู่ที่เดิมเหมือนกัน ความรู้สึกก็ยังอยู่จุดเดิม วันแรกรู้สึกยังไง วันนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้น แต่อีกฝ่ายต่างหากที่ไม่สามารถเหมือนเดิมได้ แม้เราจะขอว่าให้เค้ากลับมาเป็นผู้ชายที่น่ารักคนเดิมได้ไหม

พี่อรบอกว่า “ไม่ขอพาดพิงดีกว่านะ ก็อาจจะตามนั้น พอรู้คืออาจจะเคยเห็นหน้าเขา แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดตามอะไร ไม่รับรู้เลยว่าตอนนี้เขาจะอยู่ที่ไหนอย่างไร แต่ก็เป็นคนในออฟฟิศเดียวกัน” โห ข้อนี้กระแทกใจสุดๆ เรานี่ก็เด็กในออฟฟิตเหมือนกัน คือสังคมทำงานปัจจุบัน มันเหลือที่ไหนที่ไม่มีเรื่องแบบนี้บ้าง

พี่อรบอกว่า “เราเองก็ไม่อยากจะยื้อให้เขากลับมาอยู่กับเรา ทั้งๆที่เขาก็อยากไป” ข้อนี้เราทำตรงกันข้ามเลย เรายิ่งกว่ายื้อ แทบจะเอาตัวขวางประตูไว้เลย แต่สุดท้ายก็ไปอยู่ดี

พี่อรบอกว่า “ความไว้วางใจที่เราเคยมีให้เราไม่เคยรู้เลย มันมารู้ก็คือมันกู่ไม่กลับแล้วแค่นั้นดีกว่าค่ะ” ข้อนี้ เราก็ไว้วางใจเช่นกัน รู้อะไรๆหลังคนอื่นตลอด จนคนในออฟฟิตเค้า คิดว่าเรารู้ อต่ยอมรับ ยินดีและรับได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น และบทสรุปคือ กู่ไม่กลับเหมือนกันเลย

จากทั้งหมดของบทสัมภาษณ์ในข่าวนี้ ทำให้เรารู้ว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่เจอปัญหานี้ 
เรามักถามย้ำกับตัวเองว่า ทำไมต้องเกิดเหตุการณ์นี้กับเราด้วย 
พออ่านข่าวนี้แล้วคือ สวยระดับนางงาม มีลูกน่ารักๆตั้ง 2 คน อ่อนหวาน ยังไม่รอดจากการถูกนอกใจ
แล้วฉันเป็นใคร ยอมรับมันเถอะ

มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา มันขึ้นอยุ่กับอีกฝ่าย ซึ่งเราควบคุมเค้าไม่ได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่