รีวิวหนัง The Lion King 2019 แบบละเอียดยิบๆแต่ไม่สปอยล์ หนังที่ทำให้มุมมองความคิดผมแตกออกเป็นสองส่วน!!

#รีวิวหนังbypopcash ไม่สปอยล์

เรื่อง: The Lion King 2019


     ยินดีต้อนรับเข้าสู่การรีวิวหนังเรื่องที่ 2 ของเพจนะครับ ใครสนใจจะเข้าไปติมตามเพจผมเชิญกดเข้าไปที่นี่ได้เลยครับผม^^ https://www.facebook.com/PopcashStudio/?modal=admin_todo_tour สำหรับหนังดังเรื่องใหม่ล่าสุดที่ผมจะมารีวิวในวันนี้ก็คือเรื่อง The Lion King นะครับ ซึ่งอย่างที่รู้กันมันคือหนังที่ถูกนำมา “Remake” ใหม่อีกครั้งจากเวอร์ชั่นดั่งเดิมที่เคยถูกผลิตออกมาในรูปแบบของ “Animation” เมื่อปี 1994 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในแทบจะทุกๆด้าน เอาละไม่อธิบายมากและไปเริ่มรีวิวกันเลยดีกว่า…

เรื่องย่อ: หนังจะกล่าวถึง “Simba” [JD McCrary,Donald Glover (voice)] ลูกสิงโตน้อยผู้ที่จะต้องเรียนรู้การเป็นเจ้าป่าที่ดีในอนาคต แม้ Simba ในตอนนี้จะยังเยาว์วัยและซุกซน แต่เขาก็ได้รับการสั่งสอนและชี้แนะอย่างดีจาก “Mufasa” [James Earl Jones (voice)] พ่อของเขาอยู่เสมอ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ทำให้ Simba ต้องระเหเร่ร่อนไปยังแดนไกลจนได้พบเพื่อนใหม่อันเป็นเหตุให้ Simba ทอดทิ้งอุดมการณ์รวมถึงคำสั่งสอนของ Mufasa ในการเป็นเจ้าป่าที่ดีไปจนหมดสิ้น…

ความรู้สึกหลังดูจบ: โดยส่วนตัวผมและครอบครัวค่อนข้างจะชอบเวอร์ชั่นต้นฉบับเป็นอย่างมาก ดังนั้นผมจึงมีความรู้สึกคาดหวังและตื่นเต้นกับเวอร์ชั่นหนังนี้ไม่ใช่น้อย ซึ่งพอได้ดูต้องบอกเลยว่ามันแบ่งความรู้สึกของผมออกเป็นสองทางไปเลย คือมันกลายเป็นว่าทำให้ผมมองหนังเรื่องนี้ออกมาในรูปแบบของสองมุมมอง มุมนึงดูไปก็รู้สึกว่าเออแบบนี้ก็ดีนะ แต่พอมองอีกมุมเออเว้ยแบบนี้ดูจะไม่ค่อยดีเท่าไร อะไรแบบนี้แหละครับ อาจจะดูงงๆ 555 เดี๋ยวผมจะค่อยๆอธิบายไปทีละอย่าง แต่โดยรวมผมก็ยังชอบอยู่นะ ^^

#งานด้านภาพ
     แน่นอนสิ่งแรกที่ผมต้องขอพูดถึงก่อนเลยก็คือจุดขายหลักของหนังที่ทำให้ใครหลายๆคนสนใจอยากจะดู นั้นก็คืองานด้านภาพหรือ “CGI” ซึ่งอันนี้ต้องบอกเลยว่าคุณเห็นในตัวอย่างมันสมจริงยังไงในหนังมันก็สมจริงอย่างงั้นเลย ภาพพื้นหลังเอยธรรมชาติต่างๆเอย หรือการปั่น “Model” ให้ตัวละครแต่ละตัวก็ถูกสร้างออกมาให้เหมือนกับสัตว์จริงๆตามธรรมชาติมากที่สุด ผมดูๆไปบางทียังแอบนึกเลยว่ากูมาดูหนังหรือกำลังดูสารคดี “National Geographic” อยู่กันแน่วะ 555 คือมันเหมือนจริงมากๆเนี้ยบตั้งแต่เส้นขนยันดวงตาเลยทีเดียว อาจจะมีขัดใจบ้างก็ตรงที่เวลาเราดูตัวละครที่เป็นสัตว์ชนิดเดียวกันมายืนอยู่ด้วยกันนี่แทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร คือมันก็ไม่จำเป็นต้อง “real” ขนาดนั้นก็ได้มั้งอย่างน้อยก็น่าจะสร้างจุดเด่นหรือเอกลักษณ์อะไรให้เราแยกออกนิดนึง โอเคแต่ทีนี้มันก็จะมีประเด็นเล็กน้อยที่หลายคนเหมือนจะไม่ชอบกันก็คือเรื่องของความสมจริงจนเกินไปของตัวละครเนี่ยแหละ ซึ่งมันก็ทำให้เวลาตัวละครเคลื่อนไหวหรือแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าแววตาหรืออะไรก็แล้วแต่มันจะถูกแสดงออกมาได้ไม่ชัดเจนพอ เพราะเนื่องจากหนังต้องการสร้างตัวละครออกมาให้ดูเป็นสัตว์จริงๆมากที่สุดดังนั้นถ้าจะให้สัตว์มาขยับหน้าตาเยอะๆหรือเล่นหูเล่นตามากเกินไปมันก็จะดูผิดธรรมชาติของสัตว์จริงๆมากไปหน่อย (คุณลองนึกภาพสิงโตจริงๆทำหน้ายักคิ้วหลิ่วตาไปมาสิคงตลกน่าดู 555) ซึ่งมันก็จริงนะการเคลื่อนไหวหรือการขยับท่าทางของตัวละครในเรื่องมันดูเป็นสัตว์จริงๆมากในทุกๆอิริยาบถเลย (งานละเอียดมากกกก) แต่เรื่องการแสดงอารมณ์ส่วนตัวผมว่าก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนะ ยังรู้สึกว่าตัวละครสามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาให้เรารับรู้ได้อยู่

#เนื้อเรื่องในหนังกับต้นฉบับเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
     อันที่จริงในส่วนนี้ผมก็คงต้องขอบอกตรงๆว่าในหนังกับเวอร์ชั่นต้นฉบับแทบจะไม่มีอะไรต่างกันเลย “Plot” เรื่อง ตัวละครการดำเนินเรื่องการลำดับเหตุการณ์ “Sequence” ต่างๆ ว่าง่ายๆคือตั้งแต่เปิดเรื่องยันไปจนจบเรื่องมันถูกถ่ายทอดออกมาให้มีความเหมือนกับต้นฉบับอย่างมากในแทบจะทุกๆลายละเอียดเลย อาจมีต่างบ้างแต่เล็กน้อยมากๆ เช่นมุมกล้องต้นฉบับอาจจะถ่ายแบบนี้แต่ในเวอร์ชั่นนี้จะถ่ายอีกแบบแต่ยังคงเล่าเรื่องราวเดียวกัน หรือในฉากบางฉากอาจมีการเพิ่มเติมลายละเอียดหรือลดลงไปบ้าง เช่น สมมุติเป็นฉากหนูวิ่ง ในต้นฉบับหนูอาจจะวิ่งไปแค่ทางซ้ายและก็ทางตรง แต่ในเวอร์ชั่นใหม่นี้มีการปรับให้มีลายละเอียดมากขึ้นโดยการให้หนูวิ่งไปทางซ้ายและตรงแล้วยังมีให้วิ่งไปทางขวากระโดดหรือว่าวิ่งย้อนไปข้างหลัง แต่สุดท้ายมันก็ยังคงเป็นฉากที่เล่าถึงการวิ่งของหนูเหมือนกันอยู่ดีอะไรแบบนี้ ถ้าถามว่าพอจะมีสิ่งที่แตกต่างออกไปเลยจริงๆบ้างไหมแบบที่ต้นฉบับไม่มีแต่ในหนังนี้มี มันก็พอจะมีบ้างนะ อย่างตัวละครบางตัว(บางตัวจริงๆนะ)ก็มีการตีความใหม่ใส่ “Character” แบบใหม่ลงไปจนเหมือนกับเป็นการสร้างตัวละครขึ้นมาใหม่ด้วยซ้ำ หรืออาจจะมีการเพิ่มบทบาทให้กับตัวละครบางตัว อย่างเช่นตัวละคร “Nala” [Shahadi Wright Joseph,Beyoncé Knowles (voice)] ทำให้ดูมีมิติมากขึ้นกว่าในต้นฉบับแถมมีฉากบางฉากที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อเล่าเรื่องราวในมุมของเธอมากขึ้นด้วย(แหม ก็แน่นอนละเล่นเอาตัวแม่ระดับ Beyoncé มาพากย์ก็ต้องใช้งานให้คุ้มหน่อย) แต่โดยรวมตัวละครสำคัญๆตัวหลักๆที่เรารู้จักยังคงเป็นตัวละครเดิมนะต้นฉบับมันเป็นยังไงในหนังก็ยังคงเป็นอย่างงั้น

#มุมมองที่แตกออกเป็นสองส่วน
     ทีนี้ประเด็นสำคัญมันก็อยู่ตรงนี้แหละครับ อย่างที่ผมได้บอกไปว่าความรู้สึกผมมันได้แตกออกเป็นสองมุม คือในมุมนึงเนี่ยมันก็เกิดความรู้สึกที่ว่าเออเนื้อเรื่องมันเหมือนเดิมเกินไปป่าววะ? คือมันเลยดูไม่มีไรใหม่ไม่มีความสร้างสรรค์ เพราะว่าบางทีหนัง Remake มันก็ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกับต้นฉบับไปซะทุกอย่างนี่ มันสามารถตีความใหม่ได้นะหรืออาจจะมีการแต่งเติมเนื้อเรื่องเพิ่มเติมให้มันแตกต่างไปจากต้นฉบับเข้ามาบ้างมันก็ไม่น่าจะผิดอะไร ขนาดผลงานเรื่องเก่าของผู้กำกับอย่าง “The Jungle Book” ก็ยังมีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องหรือตีความใหม่ในหลายๆอย่าง รวมไปถึงผลงาน Remake หลายๆเรื่องของ “Disney” ก็ไม่ได้อิงกับต้นฉบับขนาดนั้นเหมือนกัน อย่าง “Maleficent” นี่ก็ดัดแปลงจาก “Sleeping Beauty” ไปไกลมากนะ ตรงจุดนี้แหละครับจึงน่าจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้นักวิจารณ์หนังหลายๆท่านไม่ค่อยจะชอบหนังเรื่องนี้ เพราะในมุมมองของนักวิจารณ์แล้วการสร้างความแปลกใหม่หรือใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปในหนังก็ถือเป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน เพราะอย่างไรก็ตามการทำหนัง Remake ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำทุกอย่างให้เหมือนหรือคล้ายเดิมไปซะหมด แต่เดี๋ยวก่อน!! ทีนี้มันก็จะมีอีกมุมนึงที่ผมก็รู้สึกต่างออกไปอีก มันเป็นความรู้สึกที่ว่ามันก็ดีแล้วมั้งที่เป็นแบบเดิมซะงั้น 555 คือผมรู้สึกอย่างงี้จริงๆนะตอนดูไปก็ยังงงๆตัวเองเออใจนึงก็รู้สึกว่ามันเหมือนเดิมจนดูไม่สร้างสรรค์แต่อีกใจก็กลับรู้สึกอินและสนุกไปกับหนังแถมยังรู้สึกเหมือนได้หายคิดถึงอีกด้วย ดังนั้นในจุดนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของมุมมองส่วนบุคคลแล้วละ หนังมันเปรียบเสมือนดาบสองคมที่อาจจะทำให้เรารู้สึกดีกับมันและรู้สึกแย่กับมันไปพร้อมๆกันได้ ถ้าถามผมนะว่าผมซื้อความรู้สึกไหนมากกว่ากันระหว่างสองความรู้สึกนี้ ผมซื้อความรู้สึกที่ว่ามันเป็นเหมือนกับต้นฉบับเนี่ยแหละผมชอบที่สุดแล้ว คือต้องเข้าใจก่อนว่าผมเป็นคนที่ชอบ The Lion King ในต้นฉบับมาก ดังนั้นเนี่ยเมื่อหนังเรื่องนี้เอาทุกอย่างที่มันดีอยู่แล้วจากเดิมกลับมาใช้อีกครั้งในลักษณะเดิมแทบจะเป๊ะๆ เนื้อเรื่องที่เราอินอยู่แล้ว ดนตรีและเพลงประกอบที่ตรงตรึงใจอยู่แล้ว ตัวละครในแบบที่เรารักอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลเลยที่ผมจะไม่อินไปกับมัน ตั้งแต่วินาทีที่เปิดเรื่องและรายละเอียดทุกอย่างทำออกมาเหมือนกับต้นฉบับมากๆผมก็ขนลุกแล้ว พอดูจบความรู้สึกของผมมันจึงเป็นเหมือนกับการหยิบหนังที่เราเคยดูไปแล้วกลับมาดูซ้ำอีกครั้งโดยที่มีงานภาพที่สวยและสมจริงขึ้นอะไรประมาณนี้แหละครับ

#สิ่งที่ผมชอบหรือไม่ชอบจากในส่วนที่หนังเพิ่มเข้ามาใหม่หรือลดลง
     อันนี้จะเป็นหัวข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงในรีวิวนี้ จะเห็นได้ว่าในรีวิวนี้ผมจะไม่ค่อยพูดถึงตัวเนื้อเรื่องเท่าไรนั้นก็เพราะเนื้อเรื่องทุกอย่างมันเหมือนๆกับต้นฉบับเมื่อปี 1994 อยู่แล้วเลยไม่มีความจำเป็นต้องพูดมากเพราะทุกคนก็น่าจะรู้ๆกันอยู่ แต่ทีนี้ผมจะขอพูดถึงในส่วนใหม่ๆที่ถูกเพิ่มหรือลดลงจากต้นฉบับว่ามันเป็นยังไงมันมีอันไหนที่ผมชอบหรือไม่ชอบบ้าง ซึ่งอันนี้ก็ต้องขอย้ำนะครับว่ารายละเอียดในส่วนนี้ในหนังไม่ได้มีเยอะเท่าไรอย่างที่บอกเนื้อเรื่องมันแทบจะเหมือนเดิมราวๆ 90% เลย โอเคมาในจุดที่เพิ่มเข้ามาและผมชอบก่อนเลยอย่างแรกคือตัวละคร “Scar” [Chiwetel Ejiofor (voice)] ผมชอบการออกแบบ Scar ในหนังนะแม้ว่านักวิจารณ์หนังบางท่านจะบอกว่าดูเหมือนหมาขี้เรื้อนก็ตาม แต่ผมว่าแบบนี้แหละที่ทำให้ตัวละครมันดูน่ากลัว ด้วยความสมจริงของรูปร่างหน้าตารอยแผลต่างๆที่เมื่อมาผสมกับบุคลิคนิ่งๆเย็นชาๆแต่แบบแฝงไว้ด้วยความเก็บกดและความอำมหิตอยู่ข้างในมันเลยยิ่งดูน่ากลัว และที่สำคัญบาดแผลต่างๆอันสมจริงสุดๆบนตัว Scar มันยังเป็นสิ่งที่สามารถบ่งบอกถึงปมในจิตใจและความเจ็บปวดจากข้างในตัวได้ดีทีเดียว และอีกอย่างที่ชอบก็คือมุมมองในฝั่งของสิงโตตัวเมีย อันนี้อาจสปอยล์นิดนึงนะครับ!! 
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทำให้เรายิ่งรู้สึกอินมากขึ้นและเข้าใจมากขึ้นว่าทำไม Simba ถึงควรที่จะกลับไป นอกเหนือจากนี้ในส่วนอื่นๆที่เพิ่มเข้ามาก็รู้สึกโอเคหมดนะ จะมีส่วนที่ไม่ชอบจริงๆก็แค่บางฉากบางตอนที่เหมือนกับถูกปรับถูกลดทอนลงไป อย่างฉากที่ตัว Scar ร้องเพลงปลุกใจเหล่าหมาใน (Be Prepared) ตรงนี้ผมว่าในต้นฉบับทำดีกว่ามากมันแสดงออกถึงความขึงขังมีพลังยิ่งใหญ่รู้สึกฮึกเหิม อารมณ์มันแบบเหมือนกับฮิตเลอร์ที่กำลังปลุกใจทหารเลย แต่ในเวอร์ชั่นหนังถือว่าดรอปลงไปมาก ส่วนนึงก็คงเพราะเขาต้องการทำหนังให้ออกมาสมจริงหรือดู Real ที่สุดนั้นแหละ ดังนั้นเขาจึงมีการปรับ “Action” ที่มันเว่อร์ๆอย่างในการ์ตูนออกไปเพราะถ้าจะให้หมาในมาทำท่าวันทยาหัตถ์เหมือนอย่างต้นฉบับก็คงจะไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละมันเลยทำให้ความยิ่งใหญ่ตรงนี้ดรอปไปจริงๆ อารมณ์แบบได้อย่างเสียอย่าง นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรและ

#เสริมเล็กน้อย
     ก่อนจะจบขอกล่าวอะไรเล็กน้อยนะครับ คือผมเนี่ยได้ไปดูพากย์ไทยมาและไม่ค่อยชอบเนื้อร้องหรือบทพูดในบางช่วงบางตอนเลยอะ ไม่ใช่ว่าร้องไม่เพราะหรือพากย์ไม่ดีนะ แต่ปัญหามันอยู่ที่การใช้คำในเนื้อร้องหรือบทพูดที่แบบคำมันไม่สวยไม่ลงตัวเหมือนอย่างเวอร์ชั่นพากย์ไทยของต้นฉบับเลย คำบางคำที่เขาใช้ร้องหรือพูดกันในหนังมันก็ใช้คำในเชิงเปรียบเปรยเยอะทำให้บางทีมันเลยดูเวิ่นเว้อและแอบน่ารําคาญไปเลย อันนี้ก็เลยอยากถามคนที่ไปดู “Soundtrack” ว่าเนื้อร้องเป็นไงมีการปรับเปลี่ยนไปบ้างหรือป่าวอะไรแบบนี้แหละครับ
ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับการรีวิวหนังเรื่องนี้ แม้ว่าความคิดจะแตกออกไปสองส่วนแต่สุดท้ายมันก็ยังชอบอยู่จากเหตุผลที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นแหละ โอเคสำหรับใครที่ชื่นชอบหรือสนใจการรีวิวของผมก็สามารถเข้าไปติดตามในเพจได้นะครับ Popcash Studio : https://www.facebook.com/PopcashStudio/?modal=admin_todo_tour

#คะแนน 7.5

สามารถติดตามการรีวิวหนังของผมได้ที่ เพจ Facebook Popcash Studio : https://www.facebook.com/PopcashStudio/?modal=admin_todo_tour
หรือทาง Youtube Popcash Studio : https://www.youtube.com/channel/UCezvYsjsEqVaGeta32fikqA?view_as=subscriber
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่