
เงยหน้ามองขึ้นไปจากใต้ฐานของหอคอยที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) มันสูงจนมองไม่เห็นยอด เพราะกลุ่มเมฆหลังฝนยังไม่สลายตัวดี แต่อารมณ์จากตรงนี้กลับต่างจากตอนมองเห็นอยู่ไกล ๆ อย่างน่าประหลาด
ผมไม่ได้ขึ้นไปบนหอคอยในวันนี้ แต่กลับหลงใหลกับสิ่งที่อยู่รอบ ๆ มากกว่า บริเวณห้างใต้ฐานของสกายทรีเต็มไปด้วยร้านค้า คาเฟ่ และของตกแต่งสไตล์อนิเมะน่ารัก ๆ ที่เรียกเงินจากกระเป๋าได้อย่างง่ายดาย ร้าน MARVEL ดึงดูดผมทันที มีของเกี่ยวกับ Spider-Man เต็มไปหมด จนอยากจะเหมาให้หมดร้าน นี่แหละพลังของญี่ปุ่น—ประเทศที่ทำของออกมาขาย แถมทุกอย่างดูน่าซื้อไปหมด
อีกมุมหนึ่งของห้างมีร้านขายของจากเกม
Final Fantasy VII Rebirth ผมซื้อสแตนด์ดี้อะคริลิคของสามสาวในเกมไปเกือบ 5,000 เยน แม้ราคานี้ในไทยอาจแพงกว่านี้ แต่พอมาจ่ายที่ญี่ปุ่น มันก็ยังหนักใจอยู่ดี
ความจริงคือ ผมเป็นคนที่เล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะ
Final Fantasy VII Rebirth ที่เพิ่งเปิดให้เล่นได้แค่เดือนเดียวก่อนทริปนี้ แม้ผมจะไม่เคยเล่นเวอร์ชันต้นฉบับจากปี 1997 แต่กลับหลงรักเวอร์ชัน Remake ที่เปิดตัวในปี 2020 เข้าเต็มเปา
หลายคนอาจสงสัยว่า
Rebirth หรือ
Remake ที่ผมพูดถึงคืออะไร ผมขอเล่าแบบสั้น ๆ เผื่อใครยังไม่รู้จัก
Final Fantasy ซีรีส์นี้ประกอบด้วยภาคต่าง ๆ ที่เล่าเรื่องราวไม่ต่อเนื่องกัน ตัวละคร สถานที่ และโทนของแต่ละภาคจะแตกต่างกันหมด
ภาค VII เป็นหนึ่งในภาคที่ประสบความสำเร็จที่สุด ถูกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 1997 และได้รับความนิยมมาก จนถูกหยิบมาสร้างใหม่ในชื่อ
Final Fantasy VII Remake ในปี 2020
เนื่องจากเนื้อหาต้นฉบับมีขนาดใหญ่เกินไป ทีมงานจึงแบ่งการรีเมกออกเป็นสามภาค และปี 2024 ก็คือเวลาของภาคที่สองในชื่อ
Rebirth นั่นเอง
โชคดีที่การมาญี่ปุ่นรอบนี้ตรงกับช่วงที่
Rebirth เพิ่งวางจำหน่าย ทำให้หลายพื้นที่ในโตเกียวจัดอีเวนต์เฉลิมฉลอง ผมนั่งรถไฟมุ่งหน้าไปยังย่านชิบุย่า เป้าหมายคือห้าง MODI ที่ชั้น 7 มีนิทรรศการเล็ก ๆ ของเกมนี้จัดแสดงอยู่
เดินขึ้นมาจากประตูทางออกของรถไฟใต้ดิน ห้าแยกของย่านชิบุย่ายังคงวุ่นวายเหมือนเดิม แต่เป็นความวุ่นวายที่เป็นระเบียบไม่ขัดสายตา ท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่ง แสงแดดเริ่มส่องจนให้ความรู้สึกอุ่นขึ้นหลังฝนตกเมื่อครึ่งวันเช้าที่ผ่านมา ผมเดินเลยห้าแยกวุ่นวายไปบล็อคเดียวก็เจอห้างMODI ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ภายนอกของตึกมีสไตล์ที่ค่อนไปทางยุโรปพอตัว
เข้ามาด้านในก็ให้ความรู้สึกแตกต่างจากห้างไทยที่กว้างขวาง เรารู้กันดีว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใช้สอยพื้นที่อย่างคุ้มค่าจนเหมือนจะคับแคบ แต่ก็รู้สึกพอดีอย่างบอกไม่ถูก บริเวณชั้นเจ็ดที่ผมขึ้นมามีอีเว้นท์จำหน่ายสินค้าของเกมCyberpunk 2077 ด้วยซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่ผมชอบเหมือนกัน มีโปสเตอร์ที่ผมสนใจแต่คิดว่าเอากลับลำบากแน่เลยได้แต่มองตาปริบ ๆ
มาถึงบริเวณนิทรรศการของ FINAL FANTASY VII REBIRTH มีสแตนด์ดี้ขนาดเท่าจริงของตัวละครเอกในเกมวางกระจายอยู่ทั่วงานพร้อมข้อมูลที่เป็นภาษาญี่ปุ่น มีการแสดงภาพคอนเซ็ปของตัวละคร อุปกรณ์ต่าง ๆ รายละเอียดพื้นที่ที่เราจะได้ไปออกผจญภัยในเกม ดาบของพระเอกอย่างBuster Sword ก็นำมาวางโชว์ที่งานพร้อมป้ายห้ามสัมผัส มุมถ่ายภาพChocobo stop จำลองที่สามารถนั่งได้เหมือนในเกม พร้อมมุมขายของที่ระลึกที่สามารถล้มละลายได้ถ้าห้ามใจไม่เป็น ถึงผมจะไม่ได้ซื้ออะไรแต่ผมก็ชอบที่มีมุมขายของที่ระลึกแบบนี้นะ เราออกมาดูสิ่งที่สนใจ คงมีคนไม่น้อยที่อยากได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้าน
หลังจากชื่นชมนิทรรศการ ผมสังเกตเห็นผู้คนที่เริ่มมากขึ้นหลังจากที่มายืนอยู่ท่ามกลางชิบุย่ากับเวลาประมาณใกล้จะสี่โมงเย็น มีที่นึงที่ผมจะต้องแวะไปทุกครั้งเวลามาญี่ปุ่นคือTower Record ซึ่งสาขาที่ชิบุย่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือป้ายที่มีประโยคเด็ด “No Music No Life” ที่ใครผ่านมาต้องแวะถ่ายรูป
ในฐานะคนที่ชอบฟังเพลง โดยเฉพาะ J-POP ป้ายนี้มีความหมายกับผมมาก ผมเดินขึ้นตึกอย่างคุ้นเคย มองหาซีดีเพลงที่เราสามารถหาเปิดฟังผ่านมือถือได้ แต่ญี่ปุ่นคือประเทศที่ยังให้ความสำคัญกับการ “จับต้อง” ดนตรีอยู่เสมอ แม้คนจะหันไปใช้สตรีมมิ่งมากขึ้น แต่ซีดีก็ยังคงมีคุณค่าในฐานะของสะสม
ผู้ผลิตเพลงในญี่ปุ่นพยายามทำให้ซีดีมีคุณค่ามากกว่าแค่แผ่นซีดี มีหน้าปกหลายแบบ ของแถมอย่างโปสการ์ด การ์ดลายเซ็น หรือแม้แต่บัตรเข้าร่วมกิจกรรมกับศิลปิน แม้พฤติกรรมการฟังเพลงของทั้งโลกจะเปลี่ยนไป ญี่ปุ่นจะเปลี่ยนตาม แต่สิ่งเดิมจะยังคงอยู่
แต่น่าแปลกใจ ทุกครั้งที่ผมมาที่นี่ ผมไม่เคยได้ซีดีกลับบ้านเลยแม้แต่แผ่นเดียว! เพราะแผ่นมันเยอะมากเสียจนผมหาเพลงที่อยากได้ไม่เคยเจอสักที ไม่ว่าจะเป็น
EXCITE ของ Daichi Miura หรือ
BE THE ONE ของ PANDORA feat. Beverly ที่ผมตามหามาตั้งแต่ครั้งแรกที่มาญี่ปุ่น... จนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ
ผมโตมากับเพลงอนิเมะ เพลงเปิดและปิดที่มีความยาวประมาณนาทีครึ่ง เป็นประตูสู่โลกดนตรีของผม สมัยที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันมีเวอร์ชันเต็ม จนเมื่อได้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ผมถึงได้รู้ว่า เพลงเหล่านี้มีความยาวจริง 3–4 นาที และมันทำให้ผมหลงรักการ “ฟังเพลงเต็ม” มากขึ้นไปอีก
ผมยังจำได้ลาง ๆ ว่าตอนไปญี่ปุ่นครั้งแรก ๆ เคยได้ยินเพลงหนึ่งเปิดระหว่างเดินเที่ยว จำไม่ได้ว่าเปิดจากร้านไหน แต่ท่วงทำนองนั้นติดหูและทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ จนกระทั่งกลับไทยแล้วไปค้นหา จึงพบว่าเพลงนั้นคือ
MARIGOLD ของ Aimyon เพลงนี้มีเสียงกีตาร์ลื่นไหล ฟังสบาย เป็นเพลงที่ช่วยผม “มูฟออน” ได้ในช่วงที่อกหักจากรักครั้งเก่า
แม้จะไม่เข้าใจเนื้อเพลงทั้งหมด แต่
MARIGOLD กลายเป็นเพลงเปลี่ยนชีวิตของผม เพลงที่ผมยกให้เป็นอันดับหนึ่งในดวงใจ
“ไร้ซึ่งบทเพลง ไร้ซึ่งชีวิต”
คำนี้ทรงพลัง เพราะโลกของเรายังหมุนไปพร้อมกับเสียงดนตรี ทั้งสุข เศร้า เหงา และมีความหวัง เหมือนชีวิตที่ต้องผ่านเรื่องราวมากมาย
ก้าวเดินไปพร้อมกับท่วงทำนองของเพลงที่เรารัก ทำให้ผมมองบรรยากาศรอบตัวสวยงามขึ้น
ตะกอนโตเกียว ตอนที่5 "ดาวเรือง"
เงยหน้ามองขึ้นไปจากใต้ฐานของหอคอยที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) มันสูงจนมองไม่เห็นยอด เพราะกลุ่มเมฆหลังฝนยังไม่สลายตัวดี แต่อารมณ์จากตรงนี้กลับต่างจากตอนมองเห็นอยู่ไกล ๆ อย่างน่าประหลาด
ผมไม่ได้ขึ้นไปบนหอคอยในวันนี้ แต่กลับหลงใหลกับสิ่งที่อยู่รอบ ๆ มากกว่า บริเวณห้างใต้ฐานของสกายทรีเต็มไปด้วยร้านค้า คาเฟ่ และของตกแต่งสไตล์อนิเมะน่ารัก ๆ ที่เรียกเงินจากกระเป๋าได้อย่างง่ายดาย ร้าน MARVEL ดึงดูดผมทันที มีของเกี่ยวกับ Spider-Man เต็มไปหมด จนอยากจะเหมาให้หมดร้าน นี่แหละพลังของญี่ปุ่น—ประเทศที่ทำของออกมาขาย แถมทุกอย่างดูน่าซื้อไปหมด
อีกมุมหนึ่งของห้างมีร้านขายของจากเกม Final Fantasy VII Rebirth ผมซื้อสแตนด์ดี้อะคริลิคของสามสาวในเกมไปเกือบ 5,000 เยน แม้ราคานี้ในไทยอาจแพงกว่านี้ แต่พอมาจ่ายที่ญี่ปุ่น มันก็ยังหนักใจอยู่ดี
ความจริงคือ ผมเป็นคนที่เล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะ Final Fantasy VII Rebirth ที่เพิ่งเปิดให้เล่นได้แค่เดือนเดียวก่อนทริปนี้ แม้ผมจะไม่เคยเล่นเวอร์ชันต้นฉบับจากปี 1997 แต่กลับหลงรักเวอร์ชัน Remake ที่เปิดตัวในปี 2020 เข้าเต็มเปา
หลายคนอาจสงสัยว่า Rebirth หรือ Remake ที่ผมพูดถึงคืออะไร ผมขอเล่าแบบสั้น ๆ เผื่อใครยังไม่รู้จัก Final Fantasy ซีรีส์นี้ประกอบด้วยภาคต่าง ๆ ที่เล่าเรื่องราวไม่ต่อเนื่องกัน ตัวละคร สถานที่ และโทนของแต่ละภาคจะแตกต่างกันหมด ภาค VII เป็นหนึ่งในภาคที่ประสบความสำเร็จที่สุด ถูกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 1997 และได้รับความนิยมมาก จนถูกหยิบมาสร้างใหม่ในชื่อ Final Fantasy VII Remake ในปี 2020
เนื่องจากเนื้อหาต้นฉบับมีขนาดใหญ่เกินไป ทีมงานจึงแบ่งการรีเมกออกเป็นสามภาค และปี 2024 ก็คือเวลาของภาคที่สองในชื่อ Rebirth นั่นเอง
โชคดีที่การมาญี่ปุ่นรอบนี้ตรงกับช่วงที่ Rebirth เพิ่งวางจำหน่าย ทำให้หลายพื้นที่ในโตเกียวจัดอีเวนต์เฉลิมฉลอง ผมนั่งรถไฟมุ่งหน้าไปยังย่านชิบุย่า เป้าหมายคือห้าง MODI ที่ชั้น 7 มีนิทรรศการเล็ก ๆ ของเกมนี้จัดแสดงอยู่
เดินขึ้นมาจากประตูทางออกของรถไฟใต้ดิน ห้าแยกของย่านชิบุย่ายังคงวุ่นวายเหมือนเดิม แต่เป็นความวุ่นวายที่เป็นระเบียบไม่ขัดสายตา ท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่ง แสงแดดเริ่มส่องจนให้ความรู้สึกอุ่นขึ้นหลังฝนตกเมื่อครึ่งวันเช้าที่ผ่านมา ผมเดินเลยห้าแยกวุ่นวายไปบล็อคเดียวก็เจอห้างMODI ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ภายนอกของตึกมีสไตล์ที่ค่อนไปทางยุโรปพอตัว
เข้ามาด้านในก็ให้ความรู้สึกแตกต่างจากห้างไทยที่กว้างขวาง เรารู้กันดีว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใช้สอยพื้นที่อย่างคุ้มค่าจนเหมือนจะคับแคบ แต่ก็รู้สึกพอดีอย่างบอกไม่ถูก บริเวณชั้นเจ็ดที่ผมขึ้นมามีอีเว้นท์จำหน่ายสินค้าของเกมCyberpunk 2077 ด้วยซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่ผมชอบเหมือนกัน มีโปสเตอร์ที่ผมสนใจแต่คิดว่าเอากลับลำบากแน่เลยได้แต่มองตาปริบ ๆ
มาถึงบริเวณนิทรรศการของ FINAL FANTASY VII REBIRTH มีสแตนด์ดี้ขนาดเท่าจริงของตัวละครเอกในเกมวางกระจายอยู่ทั่วงานพร้อมข้อมูลที่เป็นภาษาญี่ปุ่น มีการแสดงภาพคอนเซ็ปของตัวละคร อุปกรณ์ต่าง ๆ รายละเอียดพื้นที่ที่เราจะได้ไปออกผจญภัยในเกม ดาบของพระเอกอย่างBuster Sword ก็นำมาวางโชว์ที่งานพร้อมป้ายห้ามสัมผัส มุมถ่ายภาพChocobo stop จำลองที่สามารถนั่งได้เหมือนในเกม พร้อมมุมขายของที่ระลึกที่สามารถล้มละลายได้ถ้าห้ามใจไม่เป็น ถึงผมจะไม่ได้ซื้ออะไรแต่ผมก็ชอบที่มีมุมขายของที่ระลึกแบบนี้นะ เราออกมาดูสิ่งที่สนใจ คงมีคนไม่น้อยที่อยากได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้าน
หลังจากชื่นชมนิทรรศการ ผมสังเกตเห็นผู้คนที่เริ่มมากขึ้นหลังจากที่มายืนอยู่ท่ามกลางชิบุย่ากับเวลาประมาณใกล้จะสี่โมงเย็น มีที่นึงที่ผมจะต้องแวะไปทุกครั้งเวลามาญี่ปุ่นคือTower Record ซึ่งสาขาที่ชิบุย่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือป้ายที่มีประโยคเด็ด “No Music No Life” ที่ใครผ่านมาต้องแวะถ่ายรูป
ในฐานะคนที่ชอบฟังเพลง โดยเฉพาะ J-POP ป้ายนี้มีความหมายกับผมมาก ผมเดินขึ้นตึกอย่างคุ้นเคย มองหาซีดีเพลงที่เราสามารถหาเปิดฟังผ่านมือถือได้ แต่ญี่ปุ่นคือประเทศที่ยังให้ความสำคัญกับการ “จับต้อง” ดนตรีอยู่เสมอ แม้คนจะหันไปใช้สตรีมมิ่งมากขึ้น แต่ซีดีก็ยังคงมีคุณค่าในฐานะของสะสม
ผู้ผลิตเพลงในญี่ปุ่นพยายามทำให้ซีดีมีคุณค่ามากกว่าแค่แผ่นซีดี มีหน้าปกหลายแบบ ของแถมอย่างโปสการ์ด การ์ดลายเซ็น หรือแม้แต่บัตรเข้าร่วมกิจกรรมกับศิลปิน แม้พฤติกรรมการฟังเพลงของทั้งโลกจะเปลี่ยนไป ญี่ปุ่นจะเปลี่ยนตาม แต่สิ่งเดิมจะยังคงอยู่
แต่น่าแปลกใจ ทุกครั้งที่ผมมาที่นี่ ผมไม่เคยได้ซีดีกลับบ้านเลยแม้แต่แผ่นเดียว! เพราะแผ่นมันเยอะมากเสียจนผมหาเพลงที่อยากได้ไม่เคยเจอสักที ไม่ว่าจะเป็น EXCITE ของ Daichi Miura หรือ BE THE ONE ของ PANDORA feat. Beverly ที่ผมตามหามาตั้งแต่ครั้งแรกที่มาญี่ปุ่น... จนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ
ผมโตมากับเพลงอนิเมะ เพลงเปิดและปิดที่มีความยาวประมาณนาทีครึ่ง เป็นประตูสู่โลกดนตรีของผม สมัยที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันมีเวอร์ชันเต็ม จนเมื่อได้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ผมถึงได้รู้ว่า เพลงเหล่านี้มีความยาวจริง 3–4 นาที และมันทำให้ผมหลงรักการ “ฟังเพลงเต็ม” มากขึ้นไปอีก
ผมยังจำได้ลาง ๆ ว่าตอนไปญี่ปุ่นครั้งแรก ๆ เคยได้ยินเพลงหนึ่งเปิดระหว่างเดินเที่ยว จำไม่ได้ว่าเปิดจากร้านไหน แต่ท่วงทำนองนั้นติดหูและทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ จนกระทั่งกลับไทยแล้วไปค้นหา จึงพบว่าเพลงนั้นคือ MARIGOLD ของ Aimyon เพลงนี้มีเสียงกีตาร์ลื่นไหล ฟังสบาย เป็นเพลงที่ช่วยผม “มูฟออน” ได้ในช่วงที่อกหักจากรักครั้งเก่า
แม้จะไม่เข้าใจเนื้อเพลงทั้งหมด แต่ MARIGOLD กลายเป็นเพลงเปลี่ยนชีวิตของผม เพลงที่ผมยกให้เป็นอันดับหนึ่งในดวงใจ
“ไร้ซึ่งบทเพลง ไร้ซึ่งชีวิต”
คำนี้ทรงพลัง เพราะโลกของเรายังหมุนไปพร้อมกับเสียงดนตรี ทั้งสุข เศร้า เหงา และมีความหวัง เหมือนชีวิตที่ต้องผ่านเรื่องราวมากมาย
ก้าวเดินไปพร้อมกับท่วงทำนองของเพลงที่เรารัก ทำให้ผมมองบรรยากาศรอบตัวสวยงามขึ้น