" สวรรค์บนดิน ถิ่นอารยะ แหล่งวัฒนธรรม ธรรมชาติงดงาม วัดวาอารามเลื่องชื่อ ที่นี่คือบาหลี อิน โด นี เซี๊ยยยยยยยยยย!!!! "
กระทู้นี้จะมาบอกเล่าเก้าสิบและแชร์ประสบการณ์การเดินทางของชะนีตัวเล็กๆ 4 คน 4 วัน 3 คืน ที่บาหลี...
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย
วันแรกที่ไทย
17:10 ขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง เครื่องออก 19.35 น. มาถึงดอนเมือง 17.10 น. เผื่อเวลา Check in สัก 2-3 ชั่วโมง
ขาไปบินกับพี่หางแดงใช้เวลาเดินทางจาก ดอนเมือง ไปยังสนามบินเดนปาซาร์ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงนิด ๆ
เลยหาชุดใส่สบาย ๆ ไม่อึดอัด ขอเป็นเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวสบาย ๆ ก็เลยมาจบที่ชุดนี้...
ใช่คะ ชุดนอน! ( ก็แค่ชุดนอน ทำไมคนในสนามบินมองเยอะจัง)
บาปบุญ!!! ขึ้นมาบนเครื่อง ด้วยความที่ไม่ได้จองที่นั่งล่วงหน้ามา พี่หางแดงเลยจับนั่งแยกกันคนละทิศละทาง
เป็นขี้กระเซ็นเลอะขอบส้วมเลยค่ะ คนนึงนั่งหัวลำ อีกคนนั่งหาง เรากับเพื่อนอีกคนนั่งกลางแต่คนละฝั่ง
พี่หางแดงใจร้ายกับน้องมาก! (แต่ว่าใครไม่ได้ไม่ได้จองเอง) แนะนำนะคะ ถ้าอยากนั่งใกล้กันต้องจองที่นั่งล่วงหน้ามาค่ะ
ไม่แพง ดีกว่าโดนสุ่มมานั่งกับใครไม่รู้ ถ้าเกิดซวยหน่อยก็จะได้นั่งดมกลิ่นเครื่องเทศตลอดทั้งไฟล์ท!!!
SELAMAT PAGI !!!
อรุณสวัสดิ์บาหลี ดินแดนแห่งมนต์ขลัง...ขลังจริงไม่จกตา!
วันแรกที่บาหลี
00:30 ถึงสนามบินเดนปาซาร์ก่อนเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง นั่งมาเกือบ 4 ชั่วโมง สะบ้าเข่าลั่นเป็นอังกะลุงเลยค่ะ!
...ถึงบาหลีแล้วก็ต้องตั้งแฮชแท็กประจำทริปกันหน่อย! แฮชแท็กที่เลือกคือออ...
#บาหลีไม่หนังหลี!!!!
ตั้งแบบไม่แคร์บาปบุญ แล้วบาปบุญก็มีจริง!...หลีแบบเน้น ๆ หนัก ๆ!!! อาถรรพ์ตั้งแต่ต้นทริป!
ความหลีแรก เครื่องมาถึงเร็วเกิน! ไกด์จะมารับตอนตี 4 ก้มดูนาฬิกานี่เพิ่งตี1! งานหยาบ! รอไปค่ะอีก 3 ชั่วโมง
ตอนแรกจะไปหา Hostel แถวนั้น แต่ไม่เอาดีกว่า งก!ไม่อยากเสียตังค์ เลยนั่งรอในสนามบิน...ระหว่างนั้นเกิดหิว
เพื่อนแสนดีกลัวเราจะเป็นลมนางยื่นพริกทอดที่เอามาจากไทยให้กินรองท้อง เวรกรรม!!! เผ็ดแสบปากแสบท้องไปหมด
นึกข้ามช็อตไปถึงตอนขี้ไม่น่ารอด!... จากนั้นก็เดินไปซื้อน้ำที่ Duty free ราคา 30,000 รูเปียห์(65 บาท) เดินกลับมาที่เดิม
กระดกน้ำกินอยู่ยังไม่ทันไร เจ้าหน้าที่มาไล่! ไม่ให้นั่งรอตรงนั้น เลยลากกระเป๋าออกมาข้างนอก เดินผ่านร้านค้า
ในสนามบินเห็นป้ายราคาน้ำดื่มติดไว้ 10,000 รูเปียห์ ! (21 บาท) ที่ Duty free กับร้านนี้ห่างกันไม่ถึง 10 เมตร
แต่ราคาน้ำต่างกันเกือบ 40 บาท !
04:00 ตี 4 ปุ๊บ! ไกด์หนุ่มนามว่า KOMANG (โคมัง) มาต้อนรับด้วยความยิ้มแย้ม (นางเหลือบมองชุดนอนด้วยอะ! ^^)
แพลนเที่ยววันแรกต้องไป 3 ที่ คือออกจากสนามบินแล้วตรงไปที่เที่ยวเลย เพราะฉะนั้นต้อง เปลี่ยนชุดค่ะ!
ความหลีที่ 2 เข้ามาเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ อีห้องส้วมมันเล็กไป พื้นก็เปียกอีกอย่างดึกแล้วไม่มีคน เลยตัดสินใจเข้าห้องน้ำคนพิการ!
ห้องน้ำใหญ่โตโอ่โถงสะอาดสะอ้าน ไม่รีรอรีบปรี่เข้าไปเลยจ้า บิดตัวล็อคปิดประตูแน่นหนา เปลี่ยนชุดอย่างสบายใจพอเปลี่ยนเสร็จ
กำลังจะปลดล็อค บาปบุญ!!! ไม่รู้เวรกรรมแต่ชาติปางไหน ที่ล็อคเสีย! ปลดล็อคประตูไม่ได้!!! หมุนเท่าไหร่ก็ไม่ออก โทรหาเพื่อน
ให้เพื่อนเรียกคนมาช่วย ดีนะที่เปลี่ยน SIM ใช้สัญญาณที่นี่แล้ว ( *ลืมบอก ใช้ sim to fly นะ สัญญาณเริด! ซื้อจากที่ไทยไปเลย)
พอเพื่อนเรียกคนมาช่วยพนักงานตรงห้องน้ำก็วุ่นวายกันใหญ่ อีนี่ก็ร้อง Help me, Help me อย่างเสียสติอยู่ในห้องน้ำ
สุดท้ายเฮียโคมังเป็นฮีโร่มาแงะประตูให้ ...พอออกมาได้ คุณป้าแม่บ้านสีหน้าเป็นห่วง (หรือโมโหก็ไม่รู้ ) ถามว่าเข้าไปทำอะไรในห้องน้ำคนพิการ! ประตูมันล็อคไม่ได้!!! ... หนูผิดไปแล้วจ้าาา กราบขอโทษงาม ๆ
04:30 หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็มุ่งหน้าสู่ PURA LEMPUYANG LUHUR ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ
06:30 สถานที่แรก LEMPUYANG สถานที่ยอดฮิต ที่ทุกคนต้องมา เพื่อถ่ายรูปกับ The Gate Of Heaven (ประตูสวรรค์)
สภาพถนนหนทางดี แต่แคบไปหน่อย รถขับแซงกันทีหัวใจจะวาย การขับรถของคนที่นี่ก็สุดยอดอเมซิ่งทักษะล้ำขนาด!
แซงแว็บไปแว็บมา ปาดหน้าปาดหลังโดยเฉพาะมอไซค์ขี่กันเหมือนขับเจ็ทสกีโต้คลื่นในทะเล ฉวัดเฉวียนไปมา ลุ้นมาก
กลัวรถสิบล้อจะคาบไปแดรก! ...แต่ดีอย่างไม่ว่าใครจะขับhereแค่ไหนเขาก็ไม่โกรธกันนะ บีบแตรปิ๊นนึงแล้วก็จบกันไป
ทางขึ้น LEMPUYANG ก็ถือว่าเทพสุด ๆ โค้งหักศอกนี่คือหักจริงๆ เรียกว่าศอกหักน่าจะเหมาะกว่า ไม่ได้หักธรรมดา
หักแบบหักซ้ายปุ๊บแล้วหัก ขวาทันทีเลย โอ้ยยยย กราบใจคนขับ!... ใครเช่ารถขับขึ้นมาเองต้องระวังด้วยเด้อออ
ก่อนขึ้นมาที่วัดต้องนุ่งโสร่งก่อนค่ะทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ไม่ว่าจะใส่ชุดหางปลาลากยาวแค่ไหนก็ต้องใส่โสร่ง ถ้าอยากได้ผ้าแบบเก๋ ๆ
แนะนำเตรียมมาเอง โสร่งที่เห็นคือหอบผ้าถุงมาจากไทย! ฝรั่งถึงกับงงไปเลย คือลายผ้าจะไม่เหมือนของชาวบ้านความเด่นยืนหนึ่ง
ยืนรอถ่ายรูปจนเหงือกแห้งเลยจ้ะแม่จ๋า
บนวัดอากาศดีมากกก แต่นักท่องเที่ยวก็เยอะมากเช่นกัน คิวถ่ายรูปยาวเป็นหางว่าว นี่ขนาดมาแต่เช้านะ
ที่สำคัญไม่เคยถ่ายรูปแล้วตื่นเต้นและกดดันขนาดนี้มาก่อนนึกว่าอยู่กลางโรงละคร Epidaurus สายตาเป็นร้อยจับจ้องมาที่เรา
จะโพสต์ท่าเก๋ ๆ ก็เกร็งไปหมด!..ใครโชคดีมาวันฟ้าเปิดวิวข้างหลังจะเป็นภูเขาไฟอากุง (Agung) คุณอากุงก็จะแหวกม่านหมอกมายิ้ม
ต้อนรับบอกเลยว่าวิวจะสวยมาก ๆส่วนใครโชคไม่ดีก็เหมือนถ่ายในสตูมีพื้นหลังเป็นไวท์สกรีนอะค่ะ ก็เก๋ไปอีกแบบ
แต่รับรองว่าคุ้มกับการนั่งรถฝ่าดงโค้งขึ้นมา
ที่จริงวัดนี้มีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจอีกเยอะ ถ้ามีเวลาลองเดินดูรอบ ๆ บรรยากาศดี วิวก็สวยแต่คนส่วนมากคงไม่ได้เดินดู
เพราะต่อแถวถ่ายรูปกับประตูสวรรค์ก็ไม่มีเวลาทำอะไรแล้ว
ถ่ายแบบเกร็ง ๆ แต่ถือว่าโอเค สวยงาม คุ้มค่าแก่การรอคอย (ไวท์สกรีนมั้ย ฮ่าๆๆ)
เงาสะท้อนที่พื้นใช้เทคนิคพิเศษของที่นี่
พื้นแบบออริจินอล
รอบ ๆ วัดยังมีวิวสวย ๆ อีกมากมาย
มุมนี้ก็สวย (หมายถึงคนนะ)
ทางขึ้นลงลาดชัน ระวังหกล้มโสร่งเปิด
ทางเข้าวัดมีสละขายน่ากินมาก ลูกใหญ่สีแดงเข้ม นึกว่ารสชาติมันจะนุ่ม ๆ ฉ่ำ ๆ เหมือนบ้านเราพอลองกัดปุ๊บ!
รสชาติคือ มะละกอดิบดี ๆนี่เอง เนื้อกรอบกัดดังกร๊วบ รสหวาน ถามว่าอร่อยมั้ย..ก็อร่อยนะ แต่รสชาติไม่คุ้นปาก เลยไม่ได้ซื้อ
คำแนะนำ
- วางแผนการเดินทางให้ดีถ้ามาจากสนามบินเดนปาซาร์มาถึง LEMPUYANG ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า ๆ
- ถ้ามาช่วงเที่ยง ๆ หรือเย็น ๆ วิวน่าจะสวยกว่านี้ เพราะท้องฟ้าเปิดเห็นภูเขาไฟอากุง
- ตอนถ่ายรูปจะมีเจ้าหน้าที่ถ่ายให้มีเวลาคนละประมาณ 1-2 นาที ระหว่างต่อคิวคิดท่าโพสต์ไว้เลย เพราะถึงคิวเราจะตื่นเต้นคิดไม่ออก
- ควรเผื่อเวลาซึมซับธรรมชาติและเสพสถาปัตยกรรมบนนั้นด้วยก็จะดีมากซึ่งพวกเราไม่มีเวลา
ต้องรีบไปสถานที่ต่อไป...ทัวร์ชะโงกอะเนอะ! ฮ่าๆๆๆ
[CR] อาถรรพ์แฮชแท็ก! ... โดนโกงเงิน 10,000 ที่บาหลี!!!
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้