ตั้งแต่เรารู้ตัวว่าท้อง ก็ได้พันทิปนี่แหละค่ะเป็นแหล่งข้อมูลในทุกเรื่องสำหรับการเตรียมตัวเป็นคุณแม่ ตอนนี้กลับมาทำงานตามปกติ หลังจากคลอดลูกสาวมาได้ 3 เดือนกว่า (ลางาน 98 วันเต็มเลยค่ะ) เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ผ่าคลอดของเราไว้ให้ว่าที่คุณแม่มือใหม่ได้อ่านและเตรียมพร้อมกันค่ะ
...ย้อนกลับไปช่วงก่อนวันที่คลอด
ตอนนั้นเราแพลนว่าจะลางาน เพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวก่อนคลอดสัก 2 สัปดาห์ ท้องแรกอ่ะเน๊อะอยากพักผ่อนสักหน่อย โดยที่คุยกับคุณหมอที่ฝากครรภ์ว่าเราจะนัดผ่าวันที่ 6 เม.ย.นับอายุครรภ์คือ 39+6 weeks รพ.ที่เราฝากครรภ์เป็นรพ.เอกชน ก็ได้มีการจองห้องผ่าตัด/คุยคชจ./นัดวันต่างๆไว้เรียบร้อย
เป็นปกติที่ช่วงใกล้คลอดคุณหมอจะนัดตรวจทุกสัปดาห์ วันนั้นเราก็ไปตรวจตามนัด อายุครรภ์เราคือ 38+5 weeks เวลานัดคือ บ่ายโมงตรง เรากับแฟนไปถึงรพ.ประมาณเที่ยงครึ่ง ชั่งน้ำหนัก/วัดความดัน/เก็บปัสสาวะทุกอย่างปกติ อาการผิดปกติอื่นๆ คือมีท้องแข็งบ้าง ก็แจ้งพยาบาลไป จากนั้นก็ไปที่นอนติดมอนิเตอร์ที่ห้องรอคลอดครึ่งชั่วโมง เหมือนครั้งก่อนๆ
การติดมอนิเตอร์จะมีวัดการเต้นของหัวใจลูก,การบีบตัวของมดลูก ควบคู่ไปกับเรากดปุ่มตอนลูกดิ้น ซึ่งข้อมูลจะไปโชว์เป็นกราฟที่จอของจนท. การติดมอนิเตอร์ครั้งนี้ของเรา ค่อนข้างแปลกไปจากทุกครั้งคือ เรากดปุ่มลูกดิ้นได้เพียง 1-2ครั้ง นอนไปประมาณ 15 นาทีพยาบาลก็เดินเข้ามาพร้อมเครื่องกำเนิดเสียง ลูกเราอาจจะหลับเลยต้องใช้เสียงดังมาปลุก เราก็ยังชิลอยู่นะคะ เพราะครั้งก่อนที่ตรวจก็โดนปลุกเหมือนกัน แต่ครั้งนี้หลังจากปลุกเราก็ยังจับการดิ้นได้ประมาณ 2-3 ครั้ง จนครบครึ่งชั่วโมงก็ออกมาฟังผลจากหมอ คุณหมอก็แจ้งว่าอยากให้นอนติดเครื่องมืออีกรอบ เนื่องจากกราฟการเต้นของหัวใจลูกมีต่ำลงช่วงที่มดลูกบีบตัว ค่าค่อนข้างก่ำกึ่ง จับได้ประมาณ140ครั้ง/นาที เพื่อความชัวร์จะขอติดเครื่องมือดูอีกรอบ ตอนนั้นเรายังไม่คิดอะไร มีกังวลนิดหน่อยเพราะเราจับการดิ้นได้น้อยจริงๆ เริ่มหิวข้าวด้วย เพราะไม่ได้กินข้าวเที่ยง (กะว่าหาหมอเสร็จก็แปปเดียวเดี๋ยวค่อยไปกิน)
ติดมอนิเตอร์รอบที่ 2 นอนไปประมาณ 20 นาที เคลิ้มๆจะหลับ ตอนนั้นเวลาประมาณบ่าย 2กว่าๆ คุณหมอก็เดินเข้ามาพร้อมพยาบาลและเอกสารในมือ
แฟนเราไปเข้าห้องน้ำ คุณหมอก็บอกรอแฟนก่อน จะได้อธิบายทีเดียว
หมอถามเราว่าทานอะไรมาบ้าง/ล่าสุดตอนกี่โมง เราก็ตอบว่า มื้อเช้าตอน 8โมง เที่ยงไม่ได้ทาน แต่กินคริสปี้ครีมไป 2 ชิ้น ตอน 11 โมง กับน้ำเปล่า 1 แก้ว
ตอนมาถึงรพ. คุณหมอแจ้งกับเราว่า ค่าที่ได้จากมอนิเตอร์ช่วงที่มดลูกมีการบีบตัว หัวใจเด็กเต้นอ่อนลง บวกกับเด็กดิ้นน้อยลง ถึงแม้จะเป็นอัตราการเต้นที่ไม่ได้ต่ำมากแต่หมอไม่วางใจ หากให้เรากลับบ้านไปหมอคิดว่า คุณแม่คงแยกการดิ้นของลูกกับอาการมดลูกบีบตัวไม่ออก ต้องการให้เราผ่าคลอดภายในวันนี้ หมอให้พยาบาลเช็คห้องผ่าตัดแล้ว มีว่าง 1 ห้องพอดี ตอนเวลา 5 โมงเย็น
เราจำได้เลยว่าคุณหมอพูดว่า ทำใจให้สบายนะ เราโชคดีที่ตรวจเจออาการนี้ ให้คิดแค่ว่าลูกอยากจะเกิดวันนี้
ตอนนั้นเวลาประมาณบ่าย 3 จังหวะนั้นเราค่อนข้างตกใจ เพราะอ่านมาเยอะเกี่ยวกับเด็กที่หัวใจหยุดเต้นเสียชีวิตในท้อง จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ตอนนั้นผ่าก็ผ่าค่ะเราตอบตกลงแบบไม่ต้องคิดเลยค่ะ หมอก็ออกจากห้องไป
... เรากับแฟน ตอนนั้นยอมรับว่าตื่นเต้นมากทั้งคู่ ต่างคนต่างหยิบโทรศัพท์โทรหาที่บ้านแจ้งข่าวทันที โชคดีที่เราเตรียมเก็บของใส่กระเป๋าเดินทางไว้แล้ว
เลยบอกให้แม่หยิบกระเป๋าขึ้นรถมาได้เลย แต่ด้วยความที่บ้านเราอยู่ระยอง รพ.อยู่พัทยา คำนวณเวลาแล้วคงไม่ทันที่เราเข้าห้องผ่าตัด ความรู้สึกนั้นมันรู้สึกตุ๋มๆต่อมๆมาก ไม่อุ่นใจเลย กังวลสารพัดคิดถึงแม่มากๆเลยค่ะ อยากได้กำลังใจจากแม่ สักพักพยาบาลก็เข้ามาเตรียมตัวให้เรา ด้วยความที่ใส่คอนแทคเลนส์มาแต่ไม่ได้หยิบกล่องกับแว่นสายตามา ตอนแรกว่าจะถอดคอนแทคแล้วทิ้งเลยแต่พยาบาลน่ารักมาก ไปขอกระปุกใส่น้ำยาจากพยาบาลอีกคนมาให้เก็บคอนแทคเลนส์ จากนั้นให้เราล้างตัว+ทำความสะอาดช่วงล่าง เอาสายรัดข้อมือมาใส่ให้ พร้อมตรวจสายวัดข้อมือลูก แจ้งเรื่องขั้นตอนการแจ้งเกิดบลาๆ คือรพ.จะส่งเรื่องแจ้งเกิดให้ได้วันจันทร์เพราะวันนั้นเป็นวันศุกร์ จะส่งเอกสารไม่ทัน เราก็โอเค เสร็จปุ๊บก็เปลี่ยนชุด ใส่สายฉี่ สายน้ำเกลือ แล้วก็ให้เรานอนรอ
นึกขึ้นได้ว่าตั้งใจให้แฟนเข้าห้องผ่าตัดด้วย อารมณ์อยากมีรูปครอบครัวในห้องผ่าตัดเหมอนคนอื่นๆ เราเลยแจ้งว่าจะขอให้แฟนเราเข้าไปในห้องผ่าตัดด้วย พยาบาลบอกจะแจ้งคุณหมอให้ พักนึงคุณหมอก็เข้ามาบอกกับเราว่า หมอขอไม่อนุญาตให้แฟนเราเข้า เนื่องจากเป็นเคสที่ค่อนข้างฉุกเฉิน ตอนนั้นคนที่กังวลมากกว่าคือแฟนค่ะ นั่งไม่ติดเลย นางเดินไปมารอบเตียง ได้แต่มองหน้ากันเงียบๆ
... เวลาประมาณ 4 โมงกว่า พยาบาลก็เข้ามาพาเราไปห้องเตรียมคลอด ยกเราเปลี่ยนให้นอนอีกเตียงค่ะ
แฟนเราต้องนั่งรออยู่ด้านหน้า จากนั้นจนท.ก็เข็นเตียงเราเข้ามาด้านใน มีจนท.ชุดเขียวรอรับ ขานชื่อถามวันเดือนปีเกิด /วัดความดัน /เซ็นเอกสาร /กินยา นู้นนี่นั้น บรรยากาศในห้องนี้ค่อนข้างเย็น แต่ไม่เงียบนะคะ จนท.ค่อนข้างเยอะ จากนั้นเราก็นอนรอค่ะ มีคุณลุงจนท.ท่านนึง ดูอาวุโสที่สุดในนั้นมายืนคุยเป็นเพื่อนค่ะ เล่าขั้นตอนให้ฟังว่าเดี๋ยวจะทำอะไรๆต่อ กลัวมั้ย มีประวัติเคยผ่าตัดมั้ย เราไม่เคยผ่าตัดมาก่อนก็บอกไป แล้วเค้าก็ถามต่อ เคยทำฟันมั้ย ลักษณะจะคล้ายๆกันไม่น่ากลัว อาจเพราะเห็นอาการเราดูกังวลมาก พอมีคุณลุงมาคุยด้วย ช่วยเราได้เยอะเลย
... ใกล้ๆจะ 5 โมง จนท.คนอื่นๆก็มาเตรียมเข็นเตียงเราไปห้องผ่าตัด ตอนนี้เปลี่ยนเตียงอีกรอบ จากนั้นก็เข็นเราไปตามทางเดิน ห้องรอคลอดกับห้องผ่าตัดใกล้กันนิดเดียวค่ะ เงยหน้าดู เราเข้าห้องผ่าตัดเลขที่ 05 ก่อนเข้าไปในห้องปุ้บ เปลี่ยนเตียงอีกรอบค่ะ
บรรยากาศในห้องนี้เย็นวาบกว่าห้องเมื่อกี้มาก เป็นห้องสีขาวมีเตียงผ่าตัดตรงกลาง และห้องกว้างมาก สว่างขาวโพลนไปหมด เหมือนในหนังเกาหลีที่ชอบดูเลย ที่สำคัญคนเยอะมาก จากที่เห็นคร่าวๆ น่าจะเป็น10คน เราเริ่มรู้สึกว่ามันน่ากลัว อากาศมันหนาวแบบจับใจมาก
เราเริ่มกลัว คือรู้ตัวทันทีว่ากลัวห้องผ่าตัด!!
ตลอดเวลาจนท.จะคอยถามเราตลอดว่าเรารู้สึกเป็นยังไงบ้าง ให้กำลังใจดีมาก พักนึงคุณหมอทำคลอด คุณหมอวิสัญญี ก็เข้ามาในห้อง
อ่อลืมบอกเราผ่าแบบบล็อคหลังค่ะ เราก็ทำตามที่หมอวิสัญญีบอกค่ะ คืองอตัวให้เยอะที่สุด พยายามให้เข่าเข้ามาชิดคางให้มากที่สุด แทงเข็มครั้งแรก
แทงไม่เข้าค่ะ จังหวะนี้ความดันเราขึ้น 190กว่า พลิกตัวกลับมานอนราบใหม่ เขาช่วยกันปลอบค่ะ หายใจลึกๆอะไรก็ว่ากันไป แล้วก็ลองใหม่คราวนี้แทงเข็มได้ค่ะ จับเราพลิกกลับมานอนหงาย กั้นผ้าปิดเรียบร้อย พักเดียวเราเริ่มชา ตั้งแต่ใต้อกลงไปชาหมดค่ะ แต่ความรู้สึกคือรู้ทุกอย่าง รู้ว่าโดนราดแอลกอฮอล์ เช็ดเนื้อตัว เพียงแต่ไม่เห็นอะไรเพราะมีผ้ากั้นปิดมิดชิดมาก
...จำได้ว่ามีขานเวลา 17.17 น. หมอก็บอกเอาเวลานี้นะเลขสวย เริ่มลงมีด ระหว่างนั้นหมอก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระ บรรยากาศชิลมาก เรารู้ว่ามีมีดกรีด มีแรงกดตรงใต้อกแรงๆแต่ไม่เจ็บ ดึงเอาตัวเด็กออกมา ขานเวลาเกิดคือ 17.24 น. เราได้ยินเสียงเด็กร้อง เสียงดังดีมาก น้ำตามาเลยค่ะ ถามหมอทันทีว่าลูกเราปลอดภัยมั้ย? ครบ 32มั้ย? หมอบอกว่าลูกสาวปลอดภัยดี
จังหวะนี้เราก็คิดในใจว่าเดี๋ยวคงได้ดู อ่านรีวิวมาแล้วว่าเขาต้องทำความสะอาดก่อน สรุปหมอเด็กขอไม่อนุญาตให้เราดูลูก
เขาบอกว่าน้องตัวเล็กมาก (2,6xxกรัม) ไม่อยากเคลื่อนย้ายเด็กออกจากตู้ตอนนี้ ขอย้ายน้องออกไปเช็คร่างกายเลย แต่จะมีบันทึกรูปลูกในห้องผ่าตัดให้
แล้วก็รู้สึกว่าเขาเปิดประตูพาลูกเราออกไป เรายอมรับว่าใจคอไม่ดีเลย จะร้องไห้ ทุกคนก็ปลอบค่ะ ว่าไม่เป็นไรนะคะคุณแม่ เอาความปลอดภัยน้องเป็นหลัก ตอนนั้นรวบรวมสติ เริ่มสวดมนต์ในใจค่ะขอให้ลูกปลอดภัย เรารู้สึกว่าหมอกำลังสาละวนกับแผล จากนั้นเราเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก ทั้งๆที่เราใส่สายออกซิเจนอยู่ อาจจะเพราะเครียดกังวล เลยบอกพยาบาล แปบเดียวไม่ทันขาดคำเราก็หลับไปเลยค่ะ
... มารู้สึกตัวอีกที พยาบาลเรียกค่ะ ตอนนั้นจนท.กำลังจะเข็นเราไปที่ห้องพัก เวลาประมาณทุ่มกว่าๆ เรายังอยู่ในชุดเขียว มึนๆ ด้วย คงเพราะโดนยาสลบ หลับๆตื่นๆในห้องพักแปปเดียว
แฟนเราก็เดินเข้ามาเกาะข้างเตียง แฟนบอกลูกตอนนี้ปลอดภัยดี ยังอยู่ในตู้ที่ห้องเด็กอ่อน ตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่น แต่ร้องเสียงดังที่สุดในห้องเลย ครอบครัวเราเริ่มทยอยเข้ามาในห้อง ถามได้ความว่าไปรุมอยู่ที่หน้าห้องเด็กอ่อนกันมา
พักนึงพยาบาลก็เข้ามาแจ้งว่าจะพาลูกขึ้นมาให้ตอน 3 ทุ่ม ความรู้สึกนั้นคือยกภูเขาออกจากอกเลยค่ะ โล่งมากๆ เขาจะพาลูกขึ้นมาให้เราได้ คือหมายความว่า ลูกปลอดภัยจริงๆ ถึงเวลา พยาบาลก็มาเรียกแฟนเรา ให้ลงไปรับลูกขึ้นมาค่ะ
ที่รพ.จะมีรปภ.เดินประกบมาด้วยตอนพาเด็กมาส่งครั้งแรก วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้า เขาดูบอบบางมาก นอนหลับตาพริ้มเลย ไม่จำเป็นต้องมีรูปครอบครัวในห้องคลอดก็ได้ ขอแค่ลูกปลอดภัย มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเลยค่ะ ตื้นตันมาก ร้องไห้ไปอีก1ยก
เราสัมภาษณ์แฟนช่วงที่เราอยู่ในห้องผ่าตัดว่าเป็นยังไงบ้าง นางก็เล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่เราเข้าห้องไป นางก็รีบลงไปไหว้ศาลที่หน้าตึก ขอให้เราทั้งคู่ปลอดภัย เสร็จแล้วก็มานั่งรออยู่ข้างหน้า เห็นเขาเข็นตู้ที่มีเด็กออกมาจากห้องคลอด นางบอกว่านางเดินตามไปแบบไม่รู้ตัวเลย คิดว่าต้องใช่แน่ๆ ตามไปถึงในห้องเด็กอ่อน พยาบาลหันมาเห็นต้องรีบเชิญให้ออกมารอข้างนอก ก็เลยถามว่าเด็กคนนี้ใช่ลูกผมมั้ย ดูที่สายรัดข้อมือสรุปว่าใช่ นางก็ออกมายืนรอ แปปนึงคุณหมอเดินออกมาคุย บอกว่าต้องขอเช็คก่อนว่าจำเป็นต้องกระตุ้นปอดน้องรึป่าว เพราะน้องตัวเล็กมาก น้ำหนักแค่ 2.6 กก. /ความยาว 49 เซนติเมตร แต่สรุปตามที่บอกค่ะ น้องแข็งแรงดีมากไม่ต้องกระตุ้นปอดเลย
เราจะได้ลงจากเตียงครั้งแรกคือหลังจากผ่าตัด12 ชั่วโมงค่ะ ลงจากเตียงครั้งแรกพยาบาลกำชับว่าต้องเรียกให้เขามาพยุงเท่านั้น ห้ามเดินเอง เราก็ทำตามที่บอกค่ะ มีเจ็บแผลบ้าง แต่พอทนค่ะ ไม่เคยขอยาแก้ปวดเลยและแผลค่อนข้างสวย
หวังว่าประสบการณ์ของเราจะเป็นประโยชน์สำหรับว่าที่คุณแม่ที่ได้อ่านนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แรกเกิด / 1 วัน / 1สัปดาห์ / 3เดือน
แชร์ประสบการณ์...ผ่าคลอด (แบบฉุกเฉิน)
...ย้อนกลับไปช่วงก่อนวันที่คลอด
ตอนนั้นเราแพลนว่าจะลางาน เพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวก่อนคลอดสัก 2 สัปดาห์ ท้องแรกอ่ะเน๊อะอยากพักผ่อนสักหน่อย โดยที่คุยกับคุณหมอที่ฝากครรภ์ว่าเราจะนัดผ่าวันที่ 6 เม.ย.นับอายุครรภ์คือ 39+6 weeks รพ.ที่เราฝากครรภ์เป็นรพ.เอกชน ก็ได้มีการจองห้องผ่าตัด/คุยคชจ./นัดวันต่างๆไว้เรียบร้อย
เป็นปกติที่ช่วงใกล้คลอดคุณหมอจะนัดตรวจทุกสัปดาห์ วันนั้นเราก็ไปตรวจตามนัด อายุครรภ์เราคือ 38+5 weeks เวลานัดคือ บ่ายโมงตรง เรากับแฟนไปถึงรพ.ประมาณเที่ยงครึ่ง ชั่งน้ำหนัก/วัดความดัน/เก็บปัสสาวะทุกอย่างปกติ อาการผิดปกติอื่นๆ คือมีท้องแข็งบ้าง ก็แจ้งพยาบาลไป จากนั้นก็ไปที่นอนติดมอนิเตอร์ที่ห้องรอคลอดครึ่งชั่วโมง เหมือนครั้งก่อนๆ
การติดมอนิเตอร์จะมีวัดการเต้นของหัวใจลูก,การบีบตัวของมดลูก ควบคู่ไปกับเรากดปุ่มตอนลูกดิ้น ซึ่งข้อมูลจะไปโชว์เป็นกราฟที่จอของจนท. การติดมอนิเตอร์ครั้งนี้ของเรา ค่อนข้างแปลกไปจากทุกครั้งคือ เรากดปุ่มลูกดิ้นได้เพียง 1-2ครั้ง นอนไปประมาณ 15 นาทีพยาบาลก็เดินเข้ามาพร้อมเครื่องกำเนิดเสียง ลูกเราอาจจะหลับเลยต้องใช้เสียงดังมาปลุก เราก็ยังชิลอยู่นะคะ เพราะครั้งก่อนที่ตรวจก็โดนปลุกเหมือนกัน แต่ครั้งนี้หลังจากปลุกเราก็ยังจับการดิ้นได้ประมาณ 2-3 ครั้ง จนครบครึ่งชั่วโมงก็ออกมาฟังผลจากหมอ คุณหมอก็แจ้งว่าอยากให้นอนติดเครื่องมืออีกรอบ เนื่องจากกราฟการเต้นของหัวใจลูกมีต่ำลงช่วงที่มดลูกบีบตัว ค่าค่อนข้างก่ำกึ่ง จับได้ประมาณ140ครั้ง/นาที เพื่อความชัวร์จะขอติดเครื่องมือดูอีกรอบ ตอนนั้นเรายังไม่คิดอะไร มีกังวลนิดหน่อยเพราะเราจับการดิ้นได้น้อยจริงๆ เริ่มหิวข้าวด้วย เพราะไม่ได้กินข้าวเที่ยง (กะว่าหาหมอเสร็จก็แปปเดียวเดี๋ยวค่อยไปกิน)
ติดมอนิเตอร์รอบที่ 2 นอนไปประมาณ 20 นาที เคลิ้มๆจะหลับ ตอนนั้นเวลาประมาณบ่าย 2กว่าๆ คุณหมอก็เดินเข้ามาพร้อมพยาบาลและเอกสารในมือ
แฟนเราไปเข้าห้องน้ำ คุณหมอก็บอกรอแฟนก่อน จะได้อธิบายทีเดียว
หมอถามเราว่าทานอะไรมาบ้าง/ล่าสุดตอนกี่โมง เราก็ตอบว่า มื้อเช้าตอน 8โมง เที่ยงไม่ได้ทาน แต่กินคริสปี้ครีมไป 2 ชิ้น ตอน 11 โมง กับน้ำเปล่า 1 แก้ว
ตอนมาถึงรพ. คุณหมอแจ้งกับเราว่า ค่าที่ได้จากมอนิเตอร์ช่วงที่มดลูกมีการบีบตัว หัวใจเด็กเต้นอ่อนลง บวกกับเด็กดิ้นน้อยลง ถึงแม้จะเป็นอัตราการเต้นที่ไม่ได้ต่ำมากแต่หมอไม่วางใจ หากให้เรากลับบ้านไปหมอคิดว่า คุณแม่คงแยกการดิ้นของลูกกับอาการมดลูกบีบตัวไม่ออก ต้องการให้เราผ่าคลอดภายในวันนี้ หมอให้พยาบาลเช็คห้องผ่าตัดแล้ว มีว่าง 1 ห้องพอดี ตอนเวลา 5 โมงเย็น
เราจำได้เลยว่าคุณหมอพูดว่า ทำใจให้สบายนะ เราโชคดีที่ตรวจเจออาการนี้ ให้คิดแค่ว่าลูกอยากจะเกิดวันนี้
ตอนนั้นเวลาประมาณบ่าย 3 จังหวะนั้นเราค่อนข้างตกใจ เพราะอ่านมาเยอะเกี่ยวกับเด็กที่หัวใจหยุดเต้นเสียชีวิตในท้อง จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ตอนนั้นผ่าก็ผ่าค่ะเราตอบตกลงแบบไม่ต้องคิดเลยค่ะ หมอก็ออกจากห้องไป
... เรากับแฟน ตอนนั้นยอมรับว่าตื่นเต้นมากทั้งคู่ ต่างคนต่างหยิบโทรศัพท์โทรหาที่บ้านแจ้งข่าวทันที โชคดีที่เราเตรียมเก็บของใส่กระเป๋าเดินทางไว้แล้ว
เลยบอกให้แม่หยิบกระเป๋าขึ้นรถมาได้เลย แต่ด้วยความที่บ้านเราอยู่ระยอง รพ.อยู่พัทยา คำนวณเวลาแล้วคงไม่ทันที่เราเข้าห้องผ่าตัด ความรู้สึกนั้นมันรู้สึกตุ๋มๆต่อมๆมาก ไม่อุ่นใจเลย กังวลสารพัดคิดถึงแม่มากๆเลยค่ะ อยากได้กำลังใจจากแม่ สักพักพยาบาลก็เข้ามาเตรียมตัวให้เรา ด้วยความที่ใส่คอนแทคเลนส์มาแต่ไม่ได้หยิบกล่องกับแว่นสายตามา ตอนแรกว่าจะถอดคอนแทคแล้วทิ้งเลยแต่พยาบาลน่ารักมาก ไปขอกระปุกใส่น้ำยาจากพยาบาลอีกคนมาให้เก็บคอนแทคเลนส์ จากนั้นให้เราล้างตัว+ทำความสะอาดช่วงล่าง เอาสายรัดข้อมือมาใส่ให้ พร้อมตรวจสายวัดข้อมือลูก แจ้งเรื่องขั้นตอนการแจ้งเกิดบลาๆ คือรพ.จะส่งเรื่องแจ้งเกิดให้ได้วันจันทร์เพราะวันนั้นเป็นวันศุกร์ จะส่งเอกสารไม่ทัน เราก็โอเค เสร็จปุ๊บก็เปลี่ยนชุด ใส่สายฉี่ สายน้ำเกลือ แล้วก็ให้เรานอนรอ
นึกขึ้นได้ว่าตั้งใจให้แฟนเข้าห้องผ่าตัดด้วย อารมณ์อยากมีรูปครอบครัวในห้องผ่าตัดเหมอนคนอื่นๆ เราเลยแจ้งว่าจะขอให้แฟนเราเข้าไปในห้องผ่าตัดด้วย พยาบาลบอกจะแจ้งคุณหมอให้ พักนึงคุณหมอก็เข้ามาบอกกับเราว่า หมอขอไม่อนุญาตให้แฟนเราเข้า เนื่องจากเป็นเคสที่ค่อนข้างฉุกเฉิน ตอนนั้นคนที่กังวลมากกว่าคือแฟนค่ะ นั่งไม่ติดเลย นางเดินไปมารอบเตียง ได้แต่มองหน้ากันเงียบๆ
... เวลาประมาณ 4 โมงกว่า พยาบาลก็เข้ามาพาเราไปห้องเตรียมคลอด ยกเราเปลี่ยนให้นอนอีกเตียงค่ะ
แฟนเราต้องนั่งรออยู่ด้านหน้า จากนั้นจนท.ก็เข็นเตียงเราเข้ามาด้านใน มีจนท.ชุดเขียวรอรับ ขานชื่อถามวันเดือนปีเกิด /วัดความดัน /เซ็นเอกสาร /กินยา นู้นนี่นั้น บรรยากาศในห้องนี้ค่อนข้างเย็น แต่ไม่เงียบนะคะ จนท.ค่อนข้างเยอะ จากนั้นเราก็นอนรอค่ะ มีคุณลุงจนท.ท่านนึง ดูอาวุโสที่สุดในนั้นมายืนคุยเป็นเพื่อนค่ะ เล่าขั้นตอนให้ฟังว่าเดี๋ยวจะทำอะไรๆต่อ กลัวมั้ย มีประวัติเคยผ่าตัดมั้ย เราไม่เคยผ่าตัดมาก่อนก็บอกไป แล้วเค้าก็ถามต่อ เคยทำฟันมั้ย ลักษณะจะคล้ายๆกันไม่น่ากลัว อาจเพราะเห็นอาการเราดูกังวลมาก พอมีคุณลุงมาคุยด้วย ช่วยเราได้เยอะเลย
... ใกล้ๆจะ 5 โมง จนท.คนอื่นๆก็มาเตรียมเข็นเตียงเราไปห้องผ่าตัด ตอนนี้เปลี่ยนเตียงอีกรอบ จากนั้นก็เข็นเราไปตามทางเดิน ห้องรอคลอดกับห้องผ่าตัดใกล้กันนิดเดียวค่ะ เงยหน้าดู เราเข้าห้องผ่าตัดเลขที่ 05 ก่อนเข้าไปในห้องปุ้บ เปลี่ยนเตียงอีกรอบค่ะ
บรรยากาศในห้องนี้เย็นวาบกว่าห้องเมื่อกี้มาก เป็นห้องสีขาวมีเตียงผ่าตัดตรงกลาง และห้องกว้างมาก สว่างขาวโพลนไปหมด เหมือนในหนังเกาหลีที่ชอบดูเลย ที่สำคัญคนเยอะมาก จากที่เห็นคร่าวๆ น่าจะเป็น10คน เราเริ่มรู้สึกว่ามันน่ากลัว อากาศมันหนาวแบบจับใจมาก
เราเริ่มกลัว คือรู้ตัวทันทีว่ากลัวห้องผ่าตัด!!
ตลอดเวลาจนท.จะคอยถามเราตลอดว่าเรารู้สึกเป็นยังไงบ้าง ให้กำลังใจดีมาก พักนึงคุณหมอทำคลอด คุณหมอวิสัญญี ก็เข้ามาในห้อง
อ่อลืมบอกเราผ่าแบบบล็อคหลังค่ะ เราก็ทำตามที่หมอวิสัญญีบอกค่ะ คืองอตัวให้เยอะที่สุด พยายามให้เข่าเข้ามาชิดคางให้มากที่สุด แทงเข็มครั้งแรก
แทงไม่เข้าค่ะ จังหวะนี้ความดันเราขึ้น 190กว่า พลิกตัวกลับมานอนราบใหม่ เขาช่วยกันปลอบค่ะ หายใจลึกๆอะไรก็ว่ากันไป แล้วก็ลองใหม่คราวนี้แทงเข็มได้ค่ะ จับเราพลิกกลับมานอนหงาย กั้นผ้าปิดเรียบร้อย พักเดียวเราเริ่มชา ตั้งแต่ใต้อกลงไปชาหมดค่ะ แต่ความรู้สึกคือรู้ทุกอย่าง รู้ว่าโดนราดแอลกอฮอล์ เช็ดเนื้อตัว เพียงแต่ไม่เห็นอะไรเพราะมีผ้ากั้นปิดมิดชิดมาก
...จำได้ว่ามีขานเวลา 17.17 น. หมอก็บอกเอาเวลานี้นะเลขสวย เริ่มลงมีด ระหว่างนั้นหมอก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระ บรรยากาศชิลมาก เรารู้ว่ามีมีดกรีด มีแรงกดตรงใต้อกแรงๆแต่ไม่เจ็บ ดึงเอาตัวเด็กออกมา ขานเวลาเกิดคือ 17.24 น. เราได้ยินเสียงเด็กร้อง เสียงดังดีมาก น้ำตามาเลยค่ะ ถามหมอทันทีว่าลูกเราปลอดภัยมั้ย? ครบ 32มั้ย? หมอบอกว่าลูกสาวปลอดภัยดี
จังหวะนี้เราก็คิดในใจว่าเดี๋ยวคงได้ดู อ่านรีวิวมาแล้วว่าเขาต้องทำความสะอาดก่อน สรุปหมอเด็กขอไม่อนุญาตให้เราดูลูก
เขาบอกว่าน้องตัวเล็กมาก (2,6xxกรัม) ไม่อยากเคลื่อนย้ายเด็กออกจากตู้ตอนนี้ ขอย้ายน้องออกไปเช็คร่างกายเลย แต่จะมีบันทึกรูปลูกในห้องผ่าตัดให้
แล้วก็รู้สึกว่าเขาเปิดประตูพาลูกเราออกไป เรายอมรับว่าใจคอไม่ดีเลย จะร้องไห้ ทุกคนก็ปลอบค่ะ ว่าไม่เป็นไรนะคะคุณแม่ เอาความปลอดภัยน้องเป็นหลัก ตอนนั้นรวบรวมสติ เริ่มสวดมนต์ในใจค่ะขอให้ลูกปลอดภัย เรารู้สึกว่าหมอกำลังสาละวนกับแผล จากนั้นเราเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก ทั้งๆที่เราใส่สายออกซิเจนอยู่ อาจจะเพราะเครียดกังวล เลยบอกพยาบาล แปบเดียวไม่ทันขาดคำเราก็หลับไปเลยค่ะ
... มารู้สึกตัวอีกที พยาบาลเรียกค่ะ ตอนนั้นจนท.กำลังจะเข็นเราไปที่ห้องพัก เวลาประมาณทุ่มกว่าๆ เรายังอยู่ในชุดเขียว มึนๆ ด้วย คงเพราะโดนยาสลบ หลับๆตื่นๆในห้องพักแปปเดียว
แฟนเราก็เดินเข้ามาเกาะข้างเตียง แฟนบอกลูกตอนนี้ปลอดภัยดี ยังอยู่ในตู้ที่ห้องเด็กอ่อน ตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่น แต่ร้องเสียงดังที่สุดในห้องเลย ครอบครัวเราเริ่มทยอยเข้ามาในห้อง ถามได้ความว่าไปรุมอยู่ที่หน้าห้องเด็กอ่อนกันมา
พักนึงพยาบาลก็เข้ามาแจ้งว่าจะพาลูกขึ้นมาให้ตอน 3 ทุ่ม ความรู้สึกนั้นคือยกภูเขาออกจากอกเลยค่ะ โล่งมากๆ เขาจะพาลูกขึ้นมาให้เราได้ คือหมายความว่า ลูกปลอดภัยจริงๆ ถึงเวลา พยาบาลก็มาเรียกแฟนเรา ให้ลงไปรับลูกขึ้นมาค่ะ
ที่รพ.จะมีรปภ.เดินประกบมาด้วยตอนพาเด็กมาส่งครั้งแรก วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้า เขาดูบอบบางมาก นอนหลับตาพริ้มเลย ไม่จำเป็นต้องมีรูปครอบครัวในห้องคลอดก็ได้ ขอแค่ลูกปลอดภัย มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเลยค่ะ ตื้นตันมาก ร้องไห้ไปอีก1ยก
เราสัมภาษณ์แฟนช่วงที่เราอยู่ในห้องผ่าตัดว่าเป็นยังไงบ้าง นางก็เล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่เราเข้าห้องไป นางก็รีบลงไปไหว้ศาลที่หน้าตึก ขอให้เราทั้งคู่ปลอดภัย เสร็จแล้วก็มานั่งรออยู่ข้างหน้า เห็นเขาเข็นตู้ที่มีเด็กออกมาจากห้องคลอด นางบอกว่านางเดินตามไปแบบไม่รู้ตัวเลย คิดว่าต้องใช่แน่ๆ ตามไปถึงในห้องเด็กอ่อน พยาบาลหันมาเห็นต้องรีบเชิญให้ออกมารอข้างนอก ก็เลยถามว่าเด็กคนนี้ใช่ลูกผมมั้ย ดูที่สายรัดข้อมือสรุปว่าใช่ นางก็ออกมายืนรอ แปปนึงคุณหมอเดินออกมาคุย บอกว่าต้องขอเช็คก่อนว่าจำเป็นต้องกระตุ้นปอดน้องรึป่าว เพราะน้องตัวเล็กมาก น้ำหนักแค่ 2.6 กก. /ความยาว 49 เซนติเมตร แต่สรุปตามที่บอกค่ะ น้องแข็งแรงดีมากไม่ต้องกระตุ้นปอดเลย
เราจะได้ลงจากเตียงครั้งแรกคือหลังจากผ่าตัด12 ชั่วโมงค่ะ ลงจากเตียงครั้งแรกพยาบาลกำชับว่าต้องเรียกให้เขามาพยุงเท่านั้น ห้ามเดินเอง เราก็ทำตามที่บอกค่ะ มีเจ็บแผลบ้าง แต่พอทนค่ะ ไม่เคยขอยาแก้ปวดเลยและแผลค่อนข้างสวย
หวังว่าประสบการณ์ของเราจะเป็นประโยชน์สำหรับว่าที่คุณแม่ที่ได้อ่านนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้