เรื่องมีอยู่ว่า ตอนม.ต้นเราผิวดำมากเพราะตากแดดบ่อย ไม่ยอมทาครีมกันแดดหรือโลชั่นอะไรทั้งสิ้น ตอนนั้นใส่แว่นด้วยค่ะ สิวก็เยอะมากๆบริเวณหน้าผาก ฟันเราก็เบี้ยวมากค่ะ(ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่มั่นใจที่สุดเลย) เพราะเวลาเราเผลอยิ้มหรือยิ้มปกติ ฟันมันน่าเกลียดมากเลยค่ะ ผลจากตอนเด็กเราเอาฟันน้ำนมออกช้า(เพราะกลัวเลือดค่ะ) ทำให้ฟันแท้ขึ้นมาซ้อนจนมันบิดเบี้ยวㅠㅠ และสิ่งที่มันเด่นออกมาเลยคือริมฝีปากค่ะ เรามีริมฝีปากคล้ำบริเวณขอบปาก ทำให้เวลามองใบหน้าแล้ว ปากจะเป็นจุดเด่นเลยค่ะ
เราเป็นผู้หญิงที่ออกจะแมนๆ? มั้งนะคะ ชอบเล่นกีฬา ชอบกิจกรรมตากแดด ตอนม.ต้นก็ทำกิจกรรมกลางแดดตลอด ทั้งฟุตบอลบ้าง แล้วก็บาส ก็โคตรจะแมน ทำให้เรามีเพื่อนผู้ชายก็ค่อนข้างเยอะค่ะ แต่บางครั้งเพื่อนผู้ชายบางคนมันก็ปากหมาๆ เราก็โดนล้อ ว่าอีเหยิน อีดำ อีอ้วนบ้าง จริงๆก็โกรธค่ะ แต่ก็ฟาดพวกนั้นกลับไปตลอด แล้วก็ด่ากลับด้วยค่ะ555
พอขึ้นม.2 เราก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นเรื่องความสวยความงามของผู้หญิงบ้าง เพราะเราก็มีเพื่อนผู้หญิงกลุ่มใหญ่เหมือนกัน ซึ่งแน่นอนแหละค่ะ เพื่อนเรามีแต่สวยๆน่ารักๆทั้งนั้น และช่วงนั้นที่ฮิตๆมากๆเลยคือ”หน้าม้า” ตอนนั้นเรามีความรู้สึกว่าทำไมคนมีหน้าม้าถึงน่ารักจัง แล้วความคิดอันบรรลัยของเราก็ผุดขึ้น เย็นวันนั้นเรากลับบ้านไปตัดหน้าม้าค่ะ5555 ตามร้านตัดผมปกติเขาน่าจะจับผมให้เป็นสามเหลี่ยมใช่มั้ยคะ เราไม่รู้ค่ะ เลยหวีๆแล้วจับผมสางมาด้านหน้ากำไว้ แล้วก็คิดในใจว่า เออ เอาวะ ถ้าตัด เดี๋ยวก็สวย 555555555555
ผลมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไงคะ ตัดแล้วพอหวีหน้าม้ามันก็กระเด้งขึ้นไปขดม้วนๆ555 เราก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หวีๆ แล้วก็เพิ่งรู้ว่าเราตัดเลยไปเกือบครึ่งหัว หน้าม้าเลยหนามากกกกกกก วินาทีนั้นอยากจะแทรกแผ่นดินหนีมากๆ;-; อับอายมาก ได้แต่มองตัวเองในกระจกแล้วก็ยิ้มแห้งๆ
วันนั้นก็คือแม่ด่าด้วยนะคะ แงงงㅠㅡㅠ
เราเลยลองม้วนๆหน้าม้ามาโรงเรียนครั้งแรก พอเข้าห้องมาทุกคนก็ดูเหมือนจะตกใจ แล้วเราจะรอดจากแก๊งผู้ชายหรอคะ เหอะ ไม่เหลือ
หลังจากนั้นเราก็พยายามใช้กิ๊ปเก็บหน้าม้าตลอดเลยค่ะ (มันไม่เวิร์คแล้ว ฮือ) แถมสิวขึ้นเยอะกว่าเดิมด้วย
แต่พอเริ่มประมาณม.3 เราก็เริ่มเครียดๆเพราะต้องอ่านหนังสือสอบเข้าสายวิชา ม.4 บวกกับเรื่องที่บ้านช่วงนั้นก็มีความรู้สึกดาวน์ๆบ่อยครั้ง วันนั้นเรารู้สึกเหม่อลอยมาก มาสอบโดยที่หน้าม้าก็ปล่อยมันกระเสอะกระเสิงแบบนั้น ขอบตาดำเพราะอ่านหนังสือข้ามวัน ได้นอน2ชม.ในรถ
ยังไม่ทันจะเข้าห้องสอบ เพื่อนผู้ชายที่นั่งๆด้านนอกก็พูดเสียงดังว่า ไอ้ปากดำเพราะสูบบุหรี่นะเนี่ย เพื่อนผชคนอื่นก็พูดว่าไม่เอาหน้าม้าขึ้นหรอกลัวเถิกหรอ
วันนั้นเราเหมือนหมดความอดทน คำพูดที่ฟังตอนแรกๆมันก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ฟังไปเรื่อยๆมันก็อยากจะตอกกลับไปซักครั้ง เราหันกลับไปด่าพวกนั้นเสียงดังมากๆ น้ำตามันเกือบจะไหลตอนตะโกนด่าด้วยค่ะมันอัดอั้นจนเก็บไม่อยู่ยังไงไม่รู้ แต่พอคิดดูก็สมควรที่ต้องโต้ตอบกลับบ้าง ไม่งั้นเราจะทนฟังคำแบบนี้ไปตลอดงั้นหรอ (โชคดีที่วันนั้นครูไม่เดินออกมา..)
เพื่อนผู้ชายที่ด่าก็เหมือนจะตกใจนิดหน่อยเพราะคงไม่เคยเห็นเราวีนขนาดนี้
เราเข้ามาสอบวิชาแรกก็สะอื้นเลยค่ะ แต่เป็นการสะอื้นที่เหมือนสะอึกแบบคนหิวน้ำเพราะไม่อยากให้ใครรู้เท่าไหร่ว่าตอนนั้นเราร้องไห้ออกมาแล้ว นั่งขยี้ตาเพราะจะเช็ดน้ำตาด้วยค่ะ จนอาจารย์มองว่าเป็นอะไร ทำไมขยี้ตาบ่อย5555
.
.
.
ช่วงปิดเทอมม.3 เราพยายามไม่ออกแดดเลยค่ะ อยู่แต่ในบ้าน ลดขนมขบเคี้ยวแบบขั้นสุด (เพราะปกติเรากินขนมกับน้ำอัดลมบ่อยมากๆ) แล้วเล่นกีฬาตอนเย็นๆ เช่น ตีแบต กับเล่นบาสที่สวนหมู่บ้าน ปั่นจักรยาน เราไม่วิ่งค่ะ จะวิ่งแค่ตอนเล่นบาสเท่านั้น แต่วิ่งออกกำลังกายไม่วิ่งค่ะ555 แล้วเราก็ลองดูพวกยูทูปเบอร์ของฝรั่งกับไทย ดูแฮชแท็กในทวิต พวกของใช้ รีวิวเครื่องสำอาง จนตอนนั้นเราเริ่มใส่คอนแทคแล้วค่ะ ไปยืดผม+ตัดหน้าม้าให้มันเข้ากับโครงหน้าด้วย(เท่าที่ช่างจะแก้ให้ได้5555)
แล้วพอมาม.4 ทุกคนเหมือนจะจำเราไม่ได้เลยค่ะ เพราะเอาจริงๆเราสำรวจตัวเองก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปขนาดนั้น
เราผิวขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด น้ำหนักลดลง เริ่มรู้จักการแต่งหน้า(แต่ส่วนมากไปรรไม่ได้แต่งเยอะค่ะ มีแค่คุชชั่นกับลิปมันมีสีให้ปากไม่ซีดเกินไป)
เราไม่ค่อยโดนล้อเรื่องเก่าๆแล้วค่ะ เพราะแก๊งผชที่ล้อก็กระจายตัวไปตามสายวิชาที่ตัวเลือก ซึ่งจะมีอยู่3-4คนที่อยู่สายวิชาเดียวกับเรา ซึ่งมันก็ไม่ค่อยล้อเราแล้ว มีแต่ถามว่าไปทำอะไรมาเปลี่ยนไปเยอะ
เรารู้สึกดีค่ะ อย่างน้อยจะได้ไม่เจอคำดูถูกหรือคำล้อเหมือนเมื่อก่อน
กระทั่งวันนึงเราต้องไปถ่ายงานให้ห้อง ซึ่งมีเพื่อนผญ.เรา3-4คนแล้วก็ผช.ในห้องอีก4-5คน ผญ.เราต้องแต่งหน้ากันหน่อย เพราะกล้องโฟกัส เราก็แต่งไปพอดีๆไม่ฉูดฉาด แล้วตอนถ่าย เราเห็นว่าคนถ่ายคือ1ในแก๊งที่ล้อเรา เราก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเพราะความจำเก่าคือเพิ่งจะด่ามันไป เมื่อม.3 เราก็ไม่ค่อยสบตา การกระทำเราก็คงจะเห็นได้ชัด
เราขอแทนชื่อคนนั้นว่า “นัท” นะคะ (เป็นนามสมมติ)
นัทก็คงเห็นเรา แต่นัทก็บอกว่า ทำตัวสบายๆเหอะ ไม่เป็นไรหรอก
เราก็พยายามทำตัวให้สบายๆ ไม่อยากให้เกร็ง แล้วเราก็ดันได้ยินไอ้นัทพูดขึ้นมาว่า กูขอโทษนะ แววตาที่มองเราก็รู้ได้ชัดเจนแหละค่ะ ว่าต้องการจะขอโทษเราเรื่องอะไร ตอนนั้นเราก็โล่งใจยังไงไม่รู้ เหมือนทุกอย่างถูกปลดล็อค ความรู้สึกโกรธเกลียดมันก็จางไป เราก็เลยกลับมาถ่ายงานใหม่ได้ต่อ
หลังเลิกกองเราก็ได้คุยกับนัทเรื่องตอนม.3แล้วก็ปรับความเข้าใจกัน จนสามารถคุยกันง่ายขึ้น ไม่อึดอัด
วันนั้นก่อนแยกย้ายกันกลับ ก็ถ่ายรูปหมู่ แล้วนัทก็ขอถ่ายรูปคู่กับเราแยกอีกรูป ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าจะถ่ายไปทำไม มันให้เหตุผลว่าเก็บไว้ลงแฮปในไอจี
หลังจากวันนั้นนัทก็ทักมาหาเรา ถามนู่นบ้าง นี่บ้าง เล่นมุขใส่กันบ้าง นัดกันไปเที่ยว ถ่ายรูปบ้าง จนในที่สุดตลอดห้าเดือนที่ผ่านมา มันก็ได้บอกว่า ขอเป็นมากกว่าเพื่อนได้ไหม
ใจเราตอนนั้นเหมือนยังไม่ต้องการความสัมพันธ์แบบนั้น เรายังไม่อยากให้เขามายืนในจุดนั้น มันรู้สึกเสี่ยงเกินไป เราไม่ได้ไม่ชอบเขาแต่แค่เราต้องการมีเขาไปเรื่อยๆแบบนี้ โดยไม่มีการเพิ่มหรือลดความสัมพันธ์ลงไป
แบบนี้มันจะดีไหม? หรือเราจะเป็นคนเห็นแก่ตัว?
ม.ต้นเราขี้เหร่มากค่ะแบบมากๆ พวกผู้ชายชอบล้อกันจนเราต้องเปลี่ยนตัวเอง ล่าสุด ผช.1ในแก๊งที่ล้อกลับมาชอบเราซะอย่างงั้น
เราเป็นผู้หญิงที่ออกจะแมนๆ? มั้งนะคะ ชอบเล่นกีฬา ชอบกิจกรรมตากแดด ตอนม.ต้นก็ทำกิจกรรมกลางแดดตลอด ทั้งฟุตบอลบ้าง แล้วก็บาส ก็โคตรจะแมน ทำให้เรามีเพื่อนผู้ชายก็ค่อนข้างเยอะค่ะ แต่บางครั้งเพื่อนผู้ชายบางคนมันก็ปากหมาๆ เราก็โดนล้อ ว่าอีเหยิน อีดำ อีอ้วนบ้าง จริงๆก็โกรธค่ะ แต่ก็ฟาดพวกนั้นกลับไปตลอด แล้วก็ด่ากลับด้วยค่ะ555
พอขึ้นม.2 เราก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นเรื่องความสวยความงามของผู้หญิงบ้าง เพราะเราก็มีเพื่อนผู้หญิงกลุ่มใหญ่เหมือนกัน ซึ่งแน่นอนแหละค่ะ เพื่อนเรามีแต่สวยๆน่ารักๆทั้งนั้น และช่วงนั้นที่ฮิตๆมากๆเลยคือ”หน้าม้า” ตอนนั้นเรามีความรู้สึกว่าทำไมคนมีหน้าม้าถึงน่ารักจัง แล้วความคิดอันบรรลัยของเราก็ผุดขึ้น เย็นวันนั้นเรากลับบ้านไปตัดหน้าม้าค่ะ5555 ตามร้านตัดผมปกติเขาน่าจะจับผมให้เป็นสามเหลี่ยมใช่มั้ยคะ เราไม่รู้ค่ะ เลยหวีๆแล้วจับผมสางมาด้านหน้ากำไว้ แล้วก็คิดในใจว่า เออ เอาวะ ถ้าตัด เดี๋ยวก็สวย 555555555555
ผลมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไงคะ ตัดแล้วพอหวีหน้าม้ามันก็กระเด้งขึ้นไปขดม้วนๆ555 เราก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หวีๆ แล้วก็เพิ่งรู้ว่าเราตัดเลยไปเกือบครึ่งหัว หน้าม้าเลยหนามากกกกกกก วินาทีนั้นอยากจะแทรกแผ่นดินหนีมากๆ;-; อับอายมาก ได้แต่มองตัวเองในกระจกแล้วก็ยิ้มแห้งๆ
วันนั้นก็คือแม่ด่าด้วยนะคะ แงงงㅠㅡㅠ
เราเลยลองม้วนๆหน้าม้ามาโรงเรียนครั้งแรก พอเข้าห้องมาทุกคนก็ดูเหมือนจะตกใจ แล้วเราจะรอดจากแก๊งผู้ชายหรอคะ เหอะ ไม่เหลือ
หลังจากนั้นเราก็พยายามใช้กิ๊ปเก็บหน้าม้าตลอดเลยค่ะ (มันไม่เวิร์คแล้ว ฮือ) แถมสิวขึ้นเยอะกว่าเดิมด้วย
แต่พอเริ่มประมาณม.3 เราก็เริ่มเครียดๆเพราะต้องอ่านหนังสือสอบเข้าสายวิชา ม.4 บวกกับเรื่องที่บ้านช่วงนั้นก็มีความรู้สึกดาวน์ๆบ่อยครั้ง วันนั้นเรารู้สึกเหม่อลอยมาก มาสอบโดยที่หน้าม้าก็ปล่อยมันกระเสอะกระเสิงแบบนั้น ขอบตาดำเพราะอ่านหนังสือข้ามวัน ได้นอน2ชม.ในรถ
ยังไม่ทันจะเข้าห้องสอบ เพื่อนผู้ชายที่นั่งๆด้านนอกก็พูดเสียงดังว่า ไอ้ปากดำเพราะสูบบุหรี่นะเนี่ย เพื่อนผชคนอื่นก็พูดว่าไม่เอาหน้าม้าขึ้นหรอกลัวเถิกหรอ
วันนั้นเราเหมือนหมดความอดทน คำพูดที่ฟังตอนแรกๆมันก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ฟังไปเรื่อยๆมันก็อยากจะตอกกลับไปซักครั้ง เราหันกลับไปด่าพวกนั้นเสียงดังมากๆ น้ำตามันเกือบจะไหลตอนตะโกนด่าด้วยค่ะมันอัดอั้นจนเก็บไม่อยู่ยังไงไม่รู้ แต่พอคิดดูก็สมควรที่ต้องโต้ตอบกลับบ้าง ไม่งั้นเราจะทนฟังคำแบบนี้ไปตลอดงั้นหรอ (โชคดีที่วันนั้นครูไม่เดินออกมา..)
เพื่อนผู้ชายที่ด่าก็เหมือนจะตกใจนิดหน่อยเพราะคงไม่เคยเห็นเราวีนขนาดนี้
เราเข้ามาสอบวิชาแรกก็สะอื้นเลยค่ะ แต่เป็นการสะอื้นที่เหมือนสะอึกแบบคนหิวน้ำเพราะไม่อยากให้ใครรู้เท่าไหร่ว่าตอนนั้นเราร้องไห้ออกมาแล้ว นั่งขยี้ตาเพราะจะเช็ดน้ำตาด้วยค่ะ จนอาจารย์มองว่าเป็นอะไร ทำไมขยี้ตาบ่อย5555
.
.
.
ช่วงปิดเทอมม.3 เราพยายามไม่ออกแดดเลยค่ะ อยู่แต่ในบ้าน ลดขนมขบเคี้ยวแบบขั้นสุด (เพราะปกติเรากินขนมกับน้ำอัดลมบ่อยมากๆ) แล้วเล่นกีฬาตอนเย็นๆ เช่น ตีแบต กับเล่นบาสที่สวนหมู่บ้าน ปั่นจักรยาน เราไม่วิ่งค่ะ จะวิ่งแค่ตอนเล่นบาสเท่านั้น แต่วิ่งออกกำลังกายไม่วิ่งค่ะ555 แล้วเราก็ลองดูพวกยูทูปเบอร์ของฝรั่งกับไทย ดูแฮชแท็กในทวิต พวกของใช้ รีวิวเครื่องสำอาง จนตอนนั้นเราเริ่มใส่คอนแทคแล้วค่ะ ไปยืดผม+ตัดหน้าม้าให้มันเข้ากับโครงหน้าด้วย(เท่าที่ช่างจะแก้ให้ได้5555)
แล้วพอมาม.4 ทุกคนเหมือนจะจำเราไม่ได้เลยค่ะ เพราะเอาจริงๆเราสำรวจตัวเองก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปขนาดนั้น
เราผิวขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด น้ำหนักลดลง เริ่มรู้จักการแต่งหน้า(แต่ส่วนมากไปรรไม่ได้แต่งเยอะค่ะ มีแค่คุชชั่นกับลิปมันมีสีให้ปากไม่ซีดเกินไป)
เราไม่ค่อยโดนล้อเรื่องเก่าๆแล้วค่ะ เพราะแก๊งผชที่ล้อก็กระจายตัวไปตามสายวิชาที่ตัวเลือก ซึ่งจะมีอยู่3-4คนที่อยู่สายวิชาเดียวกับเรา ซึ่งมันก็ไม่ค่อยล้อเราแล้ว มีแต่ถามว่าไปทำอะไรมาเปลี่ยนไปเยอะ
เรารู้สึกดีค่ะ อย่างน้อยจะได้ไม่เจอคำดูถูกหรือคำล้อเหมือนเมื่อก่อน
กระทั่งวันนึงเราต้องไปถ่ายงานให้ห้อง ซึ่งมีเพื่อนผญ.เรา3-4คนแล้วก็ผช.ในห้องอีก4-5คน ผญ.เราต้องแต่งหน้ากันหน่อย เพราะกล้องโฟกัส เราก็แต่งไปพอดีๆไม่ฉูดฉาด แล้วตอนถ่าย เราเห็นว่าคนถ่ายคือ1ในแก๊งที่ล้อเรา เราก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเพราะความจำเก่าคือเพิ่งจะด่ามันไป เมื่อม.3 เราก็ไม่ค่อยสบตา การกระทำเราก็คงจะเห็นได้ชัด
เราขอแทนชื่อคนนั้นว่า “นัท” นะคะ (เป็นนามสมมติ)
นัทก็คงเห็นเรา แต่นัทก็บอกว่า ทำตัวสบายๆเหอะ ไม่เป็นไรหรอก
เราก็พยายามทำตัวให้สบายๆ ไม่อยากให้เกร็ง แล้วเราก็ดันได้ยินไอ้นัทพูดขึ้นมาว่า กูขอโทษนะ แววตาที่มองเราก็รู้ได้ชัดเจนแหละค่ะ ว่าต้องการจะขอโทษเราเรื่องอะไร ตอนนั้นเราก็โล่งใจยังไงไม่รู้ เหมือนทุกอย่างถูกปลดล็อค ความรู้สึกโกรธเกลียดมันก็จางไป เราก็เลยกลับมาถ่ายงานใหม่ได้ต่อ
หลังเลิกกองเราก็ได้คุยกับนัทเรื่องตอนม.3แล้วก็ปรับความเข้าใจกัน จนสามารถคุยกันง่ายขึ้น ไม่อึดอัด
วันนั้นก่อนแยกย้ายกันกลับ ก็ถ่ายรูปหมู่ แล้วนัทก็ขอถ่ายรูปคู่กับเราแยกอีกรูป ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าจะถ่ายไปทำไม มันให้เหตุผลว่าเก็บไว้ลงแฮปในไอจี
หลังจากวันนั้นนัทก็ทักมาหาเรา ถามนู่นบ้าง นี่บ้าง เล่นมุขใส่กันบ้าง นัดกันไปเที่ยว ถ่ายรูปบ้าง จนในที่สุดตลอดห้าเดือนที่ผ่านมา มันก็ได้บอกว่า ขอเป็นมากกว่าเพื่อนได้ไหม
ใจเราตอนนั้นเหมือนยังไม่ต้องการความสัมพันธ์แบบนั้น เรายังไม่อยากให้เขามายืนในจุดนั้น มันรู้สึกเสี่ยงเกินไป เราไม่ได้ไม่ชอบเขาแต่แค่เราต้องการมีเขาไปเรื่อยๆแบบนี้ โดยไม่มีการเพิ่มหรือลดความสัมพันธ์ลงไป
แบบนี้มันจะดีไหม? หรือเราจะเป็นคนเห็นแก่ตัว?