“ค่าเงินบาทแข็ง” มหัตภัยใหม่เศรษฐกิจไทย


“ค่าเงินบาทแข็ง” มหัตภัยใหม่เศรษฐกิจไทย

ผมคงต้องเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยหลังวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ชื่อว่า "ต้มยำกุ้ง" ในปีพ.ศ. 2540 จากนั้นเป็นต้นมาประเทศไทยก็ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบกึ่งจัดการ(Managed Float Exchange Rate System) แทนการใช้แบบระบบคงที่ตระกร้าเงิน หรือที่เรียกว่า (Basket of Currencies) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาค่าเงินบาทก็ไม่ได้ Fixe ไว้ที่ 25 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯเหมือนเก่าก่อน (ใครทันถือว่าแก่นะครับ) ทำให้หลังจากนั้นค่าเงินบาทของไทยมีการขึ้นๆลงๆ ตามสภาวะเศรษฐกิจโลกและความต้องการเงินบาท

ผมยังจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งที่ผมเป็นโบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์วันนั้นเป็นวันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2549ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการ ‘ดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้น’ (The reserve requirement on short-term capital inflows) ด้วยหวังจะใช้แก้ปัญหาเงินทุนระยะสั้นจากต่างชาติไหลที่เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทเป็นจำนวนมากส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก จนกระทบภาคการส่งออกของไทยซึ่งจะมีผลบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกชั้นหนึ่ง

เนื้อหาของมาตรการนี้คือเมื่อมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในประเทศสถาบันการเงินที่เป็นผู้รับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทต้องกันสำรองเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศคิดเป็นจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ ของเงินนำเข้าทั้งหมด ทำให้ทุนนำเข้าสามารถแลกเป็นเงินบาทเพื่อใช้ลงทุนต่อในตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้ได้เพียง 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น (การกันสำรองให้ยกเว้นธุรกรรมที่เป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ( Foreign Direct Investment -FDI) ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติที่นำทุนออกก่อนระยะเวลา 1 ปี จะได้รับเงินคืนแค่ 2 ใน 3 ของเงินสำรองที่กันไว้ (ได้คืนแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของเงินนำเข้าทั้งหมด โดยถูกหักไป 10 เปอร์เซ็นต์) ส่วนนักลงทุนที่นำเงินออกหลัง 1 ปี จะได้เงินคืนเต็มจำนวน แต่ก็ยังไม่ได้ดอกเบี้ยจากการถูกกันสำรอง

1 วันให้หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศมาตรการลงโทษทุนระยะสั้นดังกล่าว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยลดลงเป็นประวัติการณ์ถึง 108.41 จุด คิดเป็น 14.84 เปอร์เซ็นต์ ส่วนมูลค่าหุ้นในตลาดเมื่อปิดตลาดวันนั้นลดลงประมาณ 8.2 แสนล้านบาท ในชั่วเวลาเพียง 1 วัน (ที่มา : บทความ โลกความคิดของ ปกป้อง จันวิทย์)

เปรียบการใช้มาตรการ capital control ในครั้งนั้นคือการใช้ยาแรงเลยที่เดียวครับ ซึ่งก็มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ครับ เพราะประกาศแล้วใช้เลยครับ

และเมื่อเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วกลับมาสร้างปัญหาให้กับเศรษฐกิจไทยอีกครั้งในกลางปี 2562  ผมก็ได้เห็นมาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้นำมาใช้ในเวลานี้คือ การลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้นลงประมาณ 2,000 ล้านบาทในเดือนกรกฎาคม 2562 (ซึ่งปกติทาง ธปท.จะออกพันธบัตรทุกเดือนเพื่อดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน) ซึ่งเป็นการทำให้อุปทานลดลงขณะอุปสงค์เท่าเดิม จะทำให้มีผลราคาพันธบัตรระยะสั้นในตลาดสูงขึ้นและผลตอบแทนจากพันธบัตร (Yield)ลดลงการทำเช่นนี้จะทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนพันธบัตรระยะสั้นของไทยซึ่งเป็นแหล่งพักเงินของนักลงทุนต่างชาติและอาจจะส่งผลสู่การประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในไม่ช้านี้ครับ

และมาตรการต่อไปถ้าหากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง ผมเดาว่าอาจจะมีการพูดถึงมาตรการเก็บภาษี Tobin Tax เป็นแนวคิดของ James Tobin เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ผู้เสนอเรียกเก็บเงิน จากการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign Exchange) ซึ่งต่อมาได้ปรับแนวความคิดมาเป็นการเก็บ ภาษีจากธุรกรรมทางการเงิน (Financial transaction tax) ซึ่งจะเก็บจาก หุ้น (Share) พันธบัตร (Bond) และตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน (derivatives) ที่ต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรแล้วได้ส่วนต่างนำออกไปนอกประเทศ ในส่วนของกำไรต้องนำมาคิดภาษี หรือถ้าจะให้โหดกว่านั้นก็คิดภาษีเงินทั้งจำนวนที่เข้ามาและออกไปก็แล้วแต่การพิจารณาของแต่ละประเทศครับ

ในมุมมองของผมมองว่าถ้าจะใช้เครื่องมือในการป้องกันเงินร้อน (Hot Money) ที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรทั้งค่าเงินบาทและตลาดหุ้นนั้นอาจจะต้องใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก(คุ้นๆไหมครับ) จะหักดิบเหมือนในอดีตก็มีบทเรียนกันแล้วนะครับว่าทั้งความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่จะหายไป
อีกทั้งจะกระทบกระเทือนธุรกิจการค้าผู้นำเข้า-ส่งออกที่จะถูกแรงกระแทกจากการใช้มาตรการที่รุนแรงเกินความจำเป็นนะครับ แต่ที่แย่แน่ๆในตอนนี้คือธุรกิจส่งออกที่โดนผลกระทบเต็มๆ จากค่าเงินบาทแข็งอย่างรวดเร็วในครั้งนี้ครับ

ที่มาข้อมูล : 

https://www.bot.or.th/Thai/Pages/default.aspx

https://brandinside.asia/baht-appreciate-compare-asean/

https://pantip.com/topic/39034963?fbclid=IwAR2cpKJdOU7AGu_k5aMGfWIHkup2DPEbD5JGFFEe-9W3XLN1bxxUDiwqaWE

http://pokpong.org/writing/reserve-requirement-bot/

http://www2.fpo.go.th/FPO/modules/Content/getfile.php?contentfileID=4193
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่