อัตราว่างงานในสหรัฐที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 50 ปี ทำให้นายจ้างต่างงัดกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้เพื่อดึงและรักษาคนงานฝีมือดี บางบริษัทใจป้ำถึงขั้นเสนอให้ทำงาน 4 วันหวังดึงคนทำงานที่เน้นสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว
นักวิชาการแห่งสถาบันบริหารและแรงงานสัมพันธ์ ชี้ว่าเมื่อธุรกิจต่างๆ ยืดหยุ่นในเรื่องของเวลาทำงาน ก็จะมีผลดีกับการทำงาน เพราะพอพนักงานได้รับการยืดหยุ่นก็จะรู้สึกพร้อมจะทำงานให้แก่บริษัท
การทำงานสัปดาห์ละ 4 วันอาจจัดวางได้ในหลายรูปแบบ บางบริษัทให้พนักงานทำงานวันละ 10 ชั่วโมง บางบริษัทให้ทำงานวันละ 9 ชั่วโมง หรืออาจจัดวางในรูปแบบอื่นๆ
Shake Shack ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่าจะทดลองแนวคิดทำงานสัปดาห์ละ 4 วันที่บางสาขา โดยแต่ละสาขาจัดสรรกันตามความเหมาะสม เฉลี่ยแล้วพนักงานทำงาน 40 ชั่วโมงใน 4 วัน โดยได้เงินเดือนและสวัสดิการอื่นๆ เหมือนเดิม
Randy Garutti ซีอีโอของ Shake Shack บอกว่าการทำงานร้านอาหารเป็นงานหนัก แทบไม่ได้กลับบ้าน เพราะต้องทำงานสัปดาห์ละ 6-7 วันๆ ละ 12-14 ชั่วโมง การทดลองปรับเวลาทำงานเป็นการทำงานแบบสมาร์ทขึ้น โดยได้เนื้องานเท่าเดิม ไม่ใช่ลดลง
ส่วนพนักงานของบริษัทซอฟต์แวร์ Wildbit ทำงานสัปดาห์ละ 32 ชั่วโมง และ 4 วัน มาได้ 2 ปีกว่าแล้ว หลังจากเริ่มทดลองลดวันทำงานในช่วงฤดูร้อนแล้วปรากฏว่าดีต่อทุกคน
Natalie Nagele ซีอีโอของ Wildbit บอกว่าพอทดลองแล้วปรากฏว่าผลงานและเนื้องานออกมาดีขึ้น บริษัทเลยขยายเวลาทำงานอาทิตย์ละ 4 วัน เพราะการให้พนักงานได้พักผ่อนเพิ่มอีก 1 วันเป็นเหมือนการชาร์จพลังงาน พอถึงเช้าวันจันทร์ทุกคนจะรีบมาทำงาน หัวหน้าสามารถโยนโจทย์ยากๆ ให้และพนักงานก็เติมพลังงานมาพร้อมรับมือ ส่วนงานชิ้นที่ค้างอยู่เพราะไอเดียตัน พนักงานก็มีเวลาหยุด 3 วันและกลับมาพร้อมไอเดียใหม่ๆ
วิธีการทำงานแบบสมาร์ทของบริษัทแห่งนี้ ยังรวมถึงการจำกัดเวลาการประชุมไว้ที่ครั้งละ 30 นาทีในแต่ละสัปดาห์ การประชุมที่น้อยลงทำให้มีเวลาทำงานมากขึ้น และพนักงานสามารถควบคุมตารางเวลาของตัวเองได้
สำหรับตัวซีอีโอเองนั้น งดประชุมทุกวันพุธ ซึ่งเป็นวันสำหรับการนั่งทำงานเงียบๆ อย่างไม่มีใครรบกวน
บริษัทยังเดินหน้าหาทางปรับปรุงศักยภาพการทำงานอย่างต่อเนื่อง อย่างเดือนนี้พนักงานแต่ละคนจะคอยดูตารางเวลาทำงานของตัวเอง เพื่อดูว่าโฟกัสกับการทำงานโดยไม่มีใครหรืออะไรเข้ามาขัดจังหวะ ได้นานที่สุดเท่าไร เพื่อนำไปปรับปรุงแนวทางการทำงานให้ได้เนื้องานออกมามากที่สุด
บางบริษัทก่อตั้งมาพร้อมปณิธานของการทำงานอาทิตย์ละ 4 วัน อย่างบริษัทซอฟต์แวร์ Cockroach Labs ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2558 แต่บริษัทต้องเปลี่ยนจากการหยุดทุกวันศุกร์ หรือ “Free Fridays” เป็น “Flexible Fridays” คือยืดหยุ่นในวันหยุด เมื่อธุรกิจเติบโตมากขึ้นและต้องรองรับลูกค้า รวมถึงหุ้นส่วนอื่นๆ ที่ยังทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน
นอกจากนั้น วันหยุด 3 วันยังไม่เวิร์กสำหรับฝ่ายเซลส์ ซึ่งต้องทำเป้าให้ได้ตามยอด แต่แม้ไม่ได้หยุดวันศุกร์ ฝ่ายเซลส์ก็ได้ค่าคอมมิชชันและโบนัส
ด้วยเวลาทำงาน 4 วันทำให้ต้องโฟกัสกับการทำงาน บริษัทจึงแจกหูฟังกันเสียงจากภายนอกให้แก่พนักงาน ส่วนวิศวกรก็มีสัญญาณไฟหน้าจอมอนิเตอร์เพื่อส่งสัญญาณว่าตอนไหนว่างพอพูดคุย
ผู้บริหารชี้ว่าโรคหมดไฟนั้นมีอยู่จริง และหากอยากได้คนฝีมือดีมาทำงานด้วย แต่ไม่ให้เกียรติคนเหล่านี้ พนักงานก็จะไปหางานทำที่อื่น เพราะปัจจุบันมีตัวเลือกมากมาย
https://money2know.com/%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99-2/
อเมริกา สู่ยุคแย่งคนทำงาน อัตราคนว่างงานต่ำ เริ่มทยอยลดวันทำงาน เหลือ4วัน/สัปดาห์
นักวิชาการแห่งสถาบันบริหารและแรงงานสัมพันธ์ ชี้ว่าเมื่อธุรกิจต่างๆ ยืดหยุ่นในเรื่องของเวลาทำงาน ก็จะมีผลดีกับการทำงาน เพราะพอพนักงานได้รับการยืดหยุ่นก็จะรู้สึกพร้อมจะทำงานให้แก่บริษัท
การทำงานสัปดาห์ละ 4 วันอาจจัดวางได้ในหลายรูปแบบ บางบริษัทให้พนักงานทำงานวันละ 10 ชั่วโมง บางบริษัทให้ทำงานวันละ 9 ชั่วโมง หรืออาจจัดวางในรูปแบบอื่นๆ
Shake Shack ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่าจะทดลองแนวคิดทำงานสัปดาห์ละ 4 วันที่บางสาขา โดยแต่ละสาขาจัดสรรกันตามความเหมาะสม เฉลี่ยแล้วพนักงานทำงาน 40 ชั่วโมงใน 4 วัน โดยได้เงินเดือนและสวัสดิการอื่นๆ เหมือนเดิม
Randy Garutti ซีอีโอของ Shake Shack บอกว่าการทำงานร้านอาหารเป็นงานหนัก แทบไม่ได้กลับบ้าน เพราะต้องทำงานสัปดาห์ละ 6-7 วันๆ ละ 12-14 ชั่วโมง การทดลองปรับเวลาทำงานเป็นการทำงานแบบสมาร์ทขึ้น โดยได้เนื้องานเท่าเดิม ไม่ใช่ลดลง
ส่วนพนักงานของบริษัทซอฟต์แวร์ Wildbit ทำงานสัปดาห์ละ 32 ชั่วโมง และ 4 วัน มาได้ 2 ปีกว่าแล้ว หลังจากเริ่มทดลองลดวันทำงานในช่วงฤดูร้อนแล้วปรากฏว่าดีต่อทุกคน
Natalie Nagele ซีอีโอของ Wildbit บอกว่าพอทดลองแล้วปรากฏว่าผลงานและเนื้องานออกมาดีขึ้น บริษัทเลยขยายเวลาทำงานอาทิตย์ละ 4 วัน เพราะการให้พนักงานได้พักผ่อนเพิ่มอีก 1 วันเป็นเหมือนการชาร์จพลังงาน พอถึงเช้าวันจันทร์ทุกคนจะรีบมาทำงาน หัวหน้าสามารถโยนโจทย์ยากๆ ให้และพนักงานก็เติมพลังงานมาพร้อมรับมือ ส่วนงานชิ้นที่ค้างอยู่เพราะไอเดียตัน พนักงานก็มีเวลาหยุด 3 วันและกลับมาพร้อมไอเดียใหม่ๆ
วิธีการทำงานแบบสมาร์ทของบริษัทแห่งนี้ ยังรวมถึงการจำกัดเวลาการประชุมไว้ที่ครั้งละ 30 นาทีในแต่ละสัปดาห์ การประชุมที่น้อยลงทำให้มีเวลาทำงานมากขึ้น และพนักงานสามารถควบคุมตารางเวลาของตัวเองได้
สำหรับตัวซีอีโอเองนั้น งดประชุมทุกวันพุธ ซึ่งเป็นวันสำหรับการนั่งทำงานเงียบๆ อย่างไม่มีใครรบกวน
บริษัทยังเดินหน้าหาทางปรับปรุงศักยภาพการทำงานอย่างต่อเนื่อง อย่างเดือนนี้พนักงานแต่ละคนจะคอยดูตารางเวลาทำงานของตัวเอง เพื่อดูว่าโฟกัสกับการทำงานโดยไม่มีใครหรืออะไรเข้ามาขัดจังหวะ ได้นานที่สุดเท่าไร เพื่อนำไปปรับปรุงแนวทางการทำงานให้ได้เนื้องานออกมามากที่สุด
บางบริษัทก่อตั้งมาพร้อมปณิธานของการทำงานอาทิตย์ละ 4 วัน อย่างบริษัทซอฟต์แวร์ Cockroach Labs ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2558 แต่บริษัทต้องเปลี่ยนจากการหยุดทุกวันศุกร์ หรือ “Free Fridays” เป็น “Flexible Fridays” คือยืดหยุ่นในวันหยุด เมื่อธุรกิจเติบโตมากขึ้นและต้องรองรับลูกค้า รวมถึงหุ้นส่วนอื่นๆ ที่ยังทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน
นอกจากนั้น วันหยุด 3 วันยังไม่เวิร์กสำหรับฝ่ายเซลส์ ซึ่งต้องทำเป้าให้ได้ตามยอด แต่แม้ไม่ได้หยุดวันศุกร์ ฝ่ายเซลส์ก็ได้ค่าคอมมิชชันและโบนัส
ด้วยเวลาทำงาน 4 วันทำให้ต้องโฟกัสกับการทำงาน บริษัทจึงแจกหูฟังกันเสียงจากภายนอกให้แก่พนักงาน ส่วนวิศวกรก็มีสัญญาณไฟหน้าจอมอนิเตอร์เพื่อส่งสัญญาณว่าตอนไหนว่างพอพูดคุย
ผู้บริหารชี้ว่าโรคหมดไฟนั้นมีอยู่จริง และหากอยากได้คนฝีมือดีมาทำงานด้วย แต่ไม่ให้เกียรติคนเหล่านี้ พนักงานก็จะไปหางานทำที่อื่น เพราะปัจจุบันมีตัวเลือกมากมาย
https://money2know.com/%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99-2/