ส่วนใหญ่ก็เป็นหนังเก่านะครับ แต่เป็นหนังที่ไม่ได้เก่าขนาดหนังยุคภาพขาว-ดำ เป็นหนังที่โด่งดังในอดีต เชื่อว่าใครหลายๆคน พวกคอหนังคงดูหนังพวกนี้กันแทบหมดแล้วแหละ
เป็นหนังที่มีดาราดังชั้นนำของวงการฮฮลลีวู้ดมาประชันบทบาทเข้มๆใส่กัน แอ็คติ้งดีๆที่เชือดเฉือนกันไม่ลง ส่วนใหญ่ที่ผมจะมาแนะนำ จะเป็นหนังแนวทริลเลอร์ อาชญากรรม และ
แนวแอ็คชั่น เพราะชอบดูหนังสามแนวนี้มากๆ มาลุยกันเลยดีกว่า...
- The Prestige ศึกมายากลหยุดโลก (2006)
ผลงานแนวทริลเลอร์ ไซไฟ ของยอดผู้กำกับ/มือเขียนบทแห่งยุคนี้ อย่าง Christopher Nolan ที่เรื่องนี้ ได้สองพระเอกที่โด่งดังมากๆ ณ ตอนนั้น คือ Hugh Jackman จากหนังเรื่องa X-Men ไตรภาค, Swordfish มาประชันบทบาทเข้มๆกับ Christian Bale จากหนังเรื่อง Batman Begins, The Machinist สมทบด้วยนักแสดงชั้นนำอย่าง Scarlett Johansson, Rebecca Hall และ Michael Caine
เรื่องนี้ทั้ง เบล และ ฮิวจ์ แสดงประชันบทบาทได้เจ๋งมากๆ ด้วยบทของโนแลนด้วยที่เขียนมาแบบสุดยอดมาก หนังเน้นบทสนทนาแบบยืดยาวแต่ฟังแล้วไม่น่าเบื่อนะ มันมีอะไรให้คิดตามบทสนทนาของทั้งสองตัวละครนี้ ทั้งสองตัวละครนี้ มันดูมีความลึกลับ มีปมในอดีตที่ตัวหนังไม่ค่อยจะเปิดเผย และหนังมีการหักมุมตลอดทั้งเรื่อง จะเรียกได้ว่า เรื่องนี้เป็นหนังแนวล้างแค้นก็ไม่ผิด แต่เป็นการล้างแค้นของสองนักมายากลที่เชือดเฉือนกันด้วยการเปิดแสดงมายากล ไหวพริบ กึ๋น และใครกันที่จะทันใครก่อนกัน
เรื่องทั้งบทของฮิวจ์และเบลเด่นกันทั้งคู่ และแสดงได้เข้าถึงบทบาทได้ดีทั้งคู่ ไม่ได้ดูแอ็คติ้งใส่อารมณ์มากไปหรือน้อยไป ดูเรื่องนี้เขาตัดภาพเก่าๆจากบทหนังเดิมๆของพี่แกสองคนนี้ได้เลยครับ ถือเป็นการมาแสดงประชันบทกันของทั้งสองที่เจ๋งมากๆ ด้วยบทหนังที่คาดเดาไม่ได้และคาดไม่ถึงแทบทั้งเรื่องของโนแลนด้วย การนำเสนอของหนังตามสไตล์โนแลน ที่แกจะชอบเริ่มต้นการเล่าเรื่องของหนังด้วยช่วงท้ายเรื่องของหนังไล่มาจนถึงต้นเรื่อง เรื่องนี้ก็เป็นเช่นกัน เริ่มเรื่องขึ้นมาคืออยู่ช่วงจะท้ายเรื่องแล้ว แล้วก็จะ flasback ไปช่วงแรกๆของหนังเป็นพักๆการแสดงออกทางสีหน้า และอารมณ์ของทั้งสองนักแสดงนำ ก็สุดยอดมากๆครับ
เรื่องนี้บอกไม่ได้ว่าใครเป็นพระเอกหรือตังร้าย เพราะในหนังทั้งคู่ต่างแสดงทั้งด้านดีและด้านมืดออกมาเท่าๆกัน เป็นตัวเอกทั้งคู่ และเป็นหนึ่งในหนังของผู้กำกับโนแลนที่ผมชอบมากๆครับ
- Heat คนระห่ำคน (1995)
ผลงานการกำกับและเขียนบทของ Michael Mann เรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในหนังระดับตำนานในแนว แอ็คชั่น อาชญากรรม ปล้น ปนความเป็นหนังดราม่าบทดีๆ เรื่องนี้เป็นการประชันบทบาทของสองนักแสดงดีกรีออสการ์ Al Pacino (The Godfather ไตรภาค, Scent Of A Woman) และ Robert De Niro (The Godfather Part II, Taxi Driver) สมทบด้วยนักแสดงดังอย่าง Val Kilmer, Tom Sizemore, Jon Voint และ Natalie Portman
เรื่องนี้เป็นการโคจรมาเจอกันระหว่างพ่อและลูก จากเรื่อง The Godfather ไงอย่างงั้น ทั้งอัลและโรเบิร์ต การแสดงของทั้งคู่ในเรื่องนี้ก็ทำออกมาดีตามมาตรฐานของทั้งคู่ โรเบิร์ตแสดงเป็นผู้ร้ายในเรื่องนี้ เป็นหัวหน้าแกงค์โจรปล้นธนาคาร แต่มาในมาดโจรพระเอก จะบอกยังไงดี คือ เป็นผู้ร้ายในเรื่องก็จริง แต่คาแร็คเตอร์ของแกมันโคตรจะพระเอก มาดดีใส่สูทยังกะสายลับเจมส์ บอนด์ ดูสุภาพบุรุษ สุขุม และนิ่งต่อสถานการณ์ร้ายๆ หน้าแบบมีความเหี้ยมนิดๆ ส่วนอัลนั้นแสดงเป็น นายตำรวจรุ่นเดอะหัวหน้าหน่วยปราบอาชญากรรมปล้น แสดงดูหน้าตามีความมุ่นมั่งสูงในการที่จะตามจับพวกแกงค์โจรปล้น แถมมีประเด็นดราม่าเรื่องเมียกับลูกสาวอีก ที่ตัวหนังไม่ได้พยายามยัดประเด็นดราม่าลงมาให้ดูน่ารำคาญหรือน่าเบื่อเหมือนหนังแนวปล้นเรื่องอื่นที่ทำตามเรื่อง Heat ในยุคต่อมา
ตัวบทของหนังจะแสดงให้เห็นเหมือนชีวิตคนจริงๆ ทั้งฝ่ายผู้ร้ายและพระเอกต่างมีชีวิตหลังการจับปืนออกบู๊ เหมือนคนทั่วๆไป ครอบครัวมีสุขและทุกข์ตามสถานการณ์ ต้องแบ่งหน้าที่ รู้ว่างานอยู่ส่วนงาน เรื่องส่วนตัวภายในครอบครัวก็ต้องเก็บไว้ อย่าให้มาปนกันจนงานพัง ซึ่งระดับดาราดีกรีออสการ์ ทั้งอับและโรเบิร์ต แกแสดงเข้าถึงบทบาทได้ดีทั้งคู่
หนังเรื่องนี้มีความยาวเกือบ 3 ชม. ปูเรื่องตั้งแต่ชีวิตส่วนตัวทั้งของฝ่ายพระเอกและผู้ร้าย ก่อนจะนำไปสู่การออกไล่ล่าตามจับกัน บทดราม่าในหนังไม่มีช่วงไหนดูแล้วรู้สึกน่าเบื่อเลย ฉากแอ็คชั่นก็ดูสมจริง ดุดัน ฉากไล่ยิงกันกลางถนน อันโด่งดัง ตัวผู้กำกับ ไมเคิล มานน์ ทำออกมาได้ดีมากๆ ทั้งเสียงปืนที่ยิงออกมาแต่ละนัด มันหนักแน่นมากๆ เป็นหนึ่งในฉาก longtake ที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ ที่จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้ คือ ซีนที่สองตัวละครมาประชันหน้ากันในร้านอาหาร มีการพูดเชือนคมกัน ฟังแล้วขนลุก ไม่ใช่เหมือนหนังแอ็คชั่นเรื่องอื่นๆ ที่พระเอกเจอกับตัวร้ายปุป ก็มาซัดกันเลย เรื่องนี้มันมีชั่นเชิงกว่านั้น ทั้งพระเอกและผู้ร้ายต่างมีชั้นเชิงและกึ๋นที่พอๆกัน กินกันไม่ลง
ซีนในร้านอาหารที่สองตัวเอกมาประชันหน้ากัน เป็นแรงบันดาลใจในฉากแนวๆเดียวกันที่ตัวร้ายกับพระเอกมาพูดเชือนคมกันดูชั้นเชิงของทั้งคู่ เรื่อง The Dark Knight (2008), 007 Skyfall (2012) และ The Equalizer (2014) ต่างได้อิทธิพลจากซีนร้านอาหารในเรื่อง Heat
- The Fugitive ขึ้นทำเนียบจับตาย (1993)
ผลงานแนวแอ็คชั่นทริลเลอร์ สืบสวนสอบสวนของผู้กำกับ Andrew Davis (Under Siege) เรื่องนี้ได้สองนักแสดงดังมากๆในยุคนั้นมาแสดงเชือดเฉือนบทบาทกันระหว่าง Harrison Ford (Blade Runner, Indiana Jones ไตรภาค) และ Tommy Lee Jones ที่เรื่องนี้แกได้เสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงชายสมทบยอดเยี่ยมอีกด้วย และมี Junalie Moore ร่วมแสดงสมทบในบทเล็กๆด้วย
เป็นหนังแนวแอ็คชั่นทริลเลอร์ ที่ไม่จำเป็นต้องยัดฉากแอ็คชั่นลงมามากมาย ทั้งเรื่องแทบไม่มีฉากต่อสู้หรือฉากยิงกัน แต่ตัวหนังทำให้คนดูติดตามได้จนจบ ไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อ ด้วยบทสนทนา มีประเด็นการสืบสวนสอบสวนที่น่าสนใจ และน่าติดตาม การสร้างตัวละครของพระเอก ที่เป็นหมอศัลยกรรมที่ต้องหนีจากการตามล่าของพวกตำรวจและพวกจนท. U.S. Marshall คือ ปกติหนังแนงแอ็คชั่นไล่ล่ากัน ตัวเอกของเรื่องมักจะเป็น อดีตสายลับ ตำรวจ ทหาร อะไรพวกนี้ คือ เก่งการต่อสู้อยู่แล้ว ดูแล้วไม่ต้องลุ้นอะไรมาก แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่เป็นอย่างงั้น ดูแล้วจะโคตรลุ้นกับตัวเอกของเรื่อง ที่เป็นแค่หมออายุในวัยกลางคนธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ดวงซวยซ้ำแล้วซ้ำอีก ถูกใส่ร้ายว่าฆ่าเมียตัวเองตาย โดนตำรวจทั้งรัฐตนมล่า แถมแกต้องตามสืบหาตัวคนร้ายตัวจริงอีกด้วย เพื่อหาหลักฐานให้ตนพ้นผิด ทั้งเรื่องพระเอกน่าสงสารมาก ต้องหนีตัวซุกหัวซุน แบบไม่มีอะไรติดตัวมากมาย มีบางฉากที่จำเป็นต้องต่อสู้ก็สู้แบบคนที่ไม่ได้เป็นการต่อสู้อะไรมากมาย ดูแล้วอินกับตัวละครและเอาใจช่วยและลุ้นกว่าหนังที่พระเอกเป็นอดีตเก่งๆทั้งหลาย
การแสดงของทั้งฟอร์ดและทอม ดีมากๆ คนหนึ่งเป็นหมอที่ต้องทำหน้าเครียดและเศร้าอยู่ตลอดเวลา อีกคนเป็นจนท. U.S. Marshall ที่แสดงสีหน้าหน้าตามุ่งมั่น เอาจริงเอาจังกับงาน กัดไม่ปล่อย ทั้งคู่เชือดเฉือนบทกันดีทั้งคู่ ผมชอบฉากที่ทั้งสองตัวละครมาเจอกันในอุโมงค์น้ำ ระหว่างไล่ล่ากัน ที่ฟอร์ดถือปืนจ่อหน้าทอมแล้วพูดว่า " I'm not kill my wife." แล้วทอมพูดกลับว่า "I don't care." ก่อน
ฟอร์ดจะโดดลงจากอุโมงค์น้ำหนีไป ซีนนี้คือชอบมาก
- Law Abiding Citizen ขังฮีโร่โค่นอำนาจ (2009)
ผลงานแนวทริลเลอร์ของผู้กำกับ F.Gary Gray จากเรื่อง The Italian Job (2003) นำแสดงโดยสองพระเอกชื่อดังมากฝีมืออย่าง Jamie Foxx (Ray, Collateral) และ Gerard Butler (Tomb Raider 2, 300) เป็นหนังแนวทริลเลอร์เชิงจิตวิทยา ที่มีพล็อตเหมือนหนังล้างแค้นทั่วไป แต่การนำเสนอ ไม่เหมือนเรื่องอื่น มันยกระดับหนังล้างแค้นไปอีกขั้น
สองนักแสดงนำของเรื่องทั้งฟ็อกซ์และเจอราล์ด แสดงได้ดีทั้งคู่ เวลามีซีนที่ทั้งคู่เผชิญหน้าและพูดกัน มันมีการเชือดเฉือนกันด้วยสายตา บทพูดที่ออกเชิงจิตวิทยา ดูเรื่องนี้จบ ต่างเห็นใจกันทั้งสองตัวเอกในเรื่องที่ต้องมาแบกรับสถานการณ์ร้ายๆกันทั้งคู่ แต่ต่างรูปแบบออกไป คนหนึ่งเป็นอัยการเขตที่ต้องพยายามหยุดแผนการลอบสังหาร อีกคนพกความแค้นมาเต็มเหนี่ยว เดินหมากวางแผนลอบสังหารทุกคนที่ไม่ให้ความยุติธรรมกับครอบครัวของเขา
การแสดงสีหน้าของเจอราล์ดในเรื่องนี้ มาแบบคนเก็บกดความแค้นลึกๆไว้ในใจ เครียดแค้นและผิดหวังต่อระบบกฏหมายในเมืองที่เขาอยู่ ซึ่งแกแสดงสีหน้าออกมาได้ดีมาก เช่นเดียวกับฟ็อกซ์ดาราดีกรีออสการ์ไม่เคยทำให้ผิดหวังสักบทเดียว มาในมาดอัยการเขต ใส่สูท ดูภูมิฐาน ทำหน้าคิดแก้ไขสถานการณ์ร้ายๆอยู่ตลอดเวลา แสดงได้ดีมากๆเช่นกัน
เรื่องนี้ที่ผมบอกไปว่ามันต่างออกไปจากหนังแนวล้างแค้นทั่วไป คือ แผนการล้างแค้นของพระเอกนี่แหละ ไม่จำเป็นต้องถือปืนถือมีดไปฆ่าใครโดยตรง ฆ่าได้ทางอ้อม
สปอย์มากไม่ได้ ใครยังไม่ดูแนะนำเลยครับ
มาแนะนำหนังฮฮลลีวู้ดที่มีสองดาราดังชั้นนำมาประชันบทบาทเข้มๆกัน
เป็นหนังที่มีดาราดังชั้นนำของวงการฮฮลลีวู้ดมาประชันบทบาทเข้มๆใส่กัน แอ็คติ้งดีๆที่เชือดเฉือนกันไม่ลง ส่วนใหญ่ที่ผมจะมาแนะนำ จะเป็นหนังแนวทริลเลอร์ อาชญากรรม และ
แนวแอ็คชั่น เพราะชอบดูหนังสามแนวนี้มากๆ มาลุยกันเลยดีกว่า...
- The Prestige ศึกมายากลหยุดโลก (2006)
ผลงานแนวทริลเลอร์ ไซไฟ ของยอดผู้กำกับ/มือเขียนบทแห่งยุคนี้ อย่าง Christopher Nolan ที่เรื่องนี้ ได้สองพระเอกที่โด่งดังมากๆ ณ ตอนนั้น คือ Hugh Jackman จากหนังเรื่องa X-Men ไตรภาค, Swordfish มาประชันบทบาทเข้มๆกับ Christian Bale จากหนังเรื่อง Batman Begins, The Machinist สมทบด้วยนักแสดงชั้นนำอย่าง Scarlett Johansson, Rebecca Hall และ Michael Caine
เรื่องนี้ทั้ง เบล และ ฮิวจ์ แสดงประชันบทบาทได้เจ๋งมากๆ ด้วยบทของโนแลนด้วยที่เขียนมาแบบสุดยอดมาก หนังเน้นบทสนทนาแบบยืดยาวแต่ฟังแล้วไม่น่าเบื่อนะ มันมีอะไรให้คิดตามบทสนทนาของทั้งสองตัวละครนี้ ทั้งสองตัวละครนี้ มันดูมีความลึกลับ มีปมในอดีตที่ตัวหนังไม่ค่อยจะเปิดเผย และหนังมีการหักมุมตลอดทั้งเรื่อง จะเรียกได้ว่า เรื่องนี้เป็นหนังแนวล้างแค้นก็ไม่ผิด แต่เป็นการล้างแค้นของสองนักมายากลที่เชือดเฉือนกันด้วยการเปิดแสดงมายากล ไหวพริบ กึ๋น และใครกันที่จะทันใครก่อนกัน
เรื่องทั้งบทของฮิวจ์และเบลเด่นกันทั้งคู่ และแสดงได้เข้าถึงบทบาทได้ดีทั้งคู่ ไม่ได้ดูแอ็คติ้งใส่อารมณ์มากไปหรือน้อยไป ดูเรื่องนี้เขาตัดภาพเก่าๆจากบทหนังเดิมๆของพี่แกสองคนนี้ได้เลยครับ ถือเป็นการมาแสดงประชันบทกันของทั้งสองที่เจ๋งมากๆ ด้วยบทหนังที่คาดเดาไม่ได้และคาดไม่ถึงแทบทั้งเรื่องของโนแลนด้วย การนำเสนอของหนังตามสไตล์โนแลน ที่แกจะชอบเริ่มต้นการเล่าเรื่องของหนังด้วยช่วงท้ายเรื่องของหนังไล่มาจนถึงต้นเรื่อง เรื่องนี้ก็เป็นเช่นกัน เริ่มเรื่องขึ้นมาคืออยู่ช่วงจะท้ายเรื่องแล้ว แล้วก็จะ flasback ไปช่วงแรกๆของหนังเป็นพักๆการแสดงออกทางสีหน้า และอารมณ์ของทั้งสองนักแสดงนำ ก็สุดยอดมากๆครับ
เรื่องนี้บอกไม่ได้ว่าใครเป็นพระเอกหรือตังร้าย เพราะในหนังทั้งคู่ต่างแสดงทั้งด้านดีและด้านมืดออกมาเท่าๆกัน เป็นตัวเอกทั้งคู่ และเป็นหนึ่งในหนังของผู้กำกับโนแลนที่ผมชอบมากๆครับ
- Heat คนระห่ำคน (1995)
ผลงานการกำกับและเขียนบทของ Michael Mann เรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในหนังระดับตำนานในแนว แอ็คชั่น อาชญากรรม ปล้น ปนความเป็นหนังดราม่าบทดีๆ เรื่องนี้เป็นการประชันบทบาทของสองนักแสดงดีกรีออสการ์ Al Pacino (The Godfather ไตรภาค, Scent Of A Woman) และ Robert De Niro (The Godfather Part II, Taxi Driver) สมทบด้วยนักแสดงดังอย่าง Val Kilmer, Tom Sizemore, Jon Voint และ Natalie Portman
เรื่องนี้เป็นการโคจรมาเจอกันระหว่างพ่อและลูก จากเรื่อง The Godfather ไงอย่างงั้น ทั้งอัลและโรเบิร์ต การแสดงของทั้งคู่ในเรื่องนี้ก็ทำออกมาดีตามมาตรฐานของทั้งคู่ โรเบิร์ตแสดงเป็นผู้ร้ายในเรื่องนี้ เป็นหัวหน้าแกงค์โจรปล้นธนาคาร แต่มาในมาดโจรพระเอก จะบอกยังไงดี คือ เป็นผู้ร้ายในเรื่องก็จริง แต่คาแร็คเตอร์ของแกมันโคตรจะพระเอก มาดดีใส่สูทยังกะสายลับเจมส์ บอนด์ ดูสุภาพบุรุษ สุขุม และนิ่งต่อสถานการณ์ร้ายๆ หน้าแบบมีความเหี้ยมนิดๆ ส่วนอัลนั้นแสดงเป็น นายตำรวจรุ่นเดอะหัวหน้าหน่วยปราบอาชญากรรมปล้น แสดงดูหน้าตามีความมุ่นมั่งสูงในการที่จะตามจับพวกแกงค์โจรปล้น แถมมีประเด็นดราม่าเรื่องเมียกับลูกสาวอีก ที่ตัวหนังไม่ได้พยายามยัดประเด็นดราม่าลงมาให้ดูน่ารำคาญหรือน่าเบื่อเหมือนหนังแนวปล้นเรื่องอื่นที่ทำตามเรื่อง Heat ในยุคต่อมา
ตัวบทของหนังจะแสดงให้เห็นเหมือนชีวิตคนจริงๆ ทั้งฝ่ายผู้ร้ายและพระเอกต่างมีชีวิตหลังการจับปืนออกบู๊ เหมือนคนทั่วๆไป ครอบครัวมีสุขและทุกข์ตามสถานการณ์ ต้องแบ่งหน้าที่ รู้ว่างานอยู่ส่วนงาน เรื่องส่วนตัวภายในครอบครัวก็ต้องเก็บไว้ อย่าให้มาปนกันจนงานพัง ซึ่งระดับดาราดีกรีออสการ์ ทั้งอับและโรเบิร์ต แกแสดงเข้าถึงบทบาทได้ดีทั้งคู่
หนังเรื่องนี้มีความยาวเกือบ 3 ชม. ปูเรื่องตั้งแต่ชีวิตส่วนตัวทั้งของฝ่ายพระเอกและผู้ร้าย ก่อนจะนำไปสู่การออกไล่ล่าตามจับกัน บทดราม่าในหนังไม่มีช่วงไหนดูแล้วรู้สึกน่าเบื่อเลย ฉากแอ็คชั่นก็ดูสมจริง ดุดัน ฉากไล่ยิงกันกลางถนน อันโด่งดัง ตัวผู้กำกับ ไมเคิล มานน์ ทำออกมาได้ดีมากๆ ทั้งเสียงปืนที่ยิงออกมาแต่ละนัด มันหนักแน่นมากๆ เป็นหนึ่งในฉาก longtake ที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ ที่จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้ คือ ซีนที่สองตัวละครมาประชันหน้ากันในร้านอาหาร มีการพูดเชือนคมกัน ฟังแล้วขนลุก ไม่ใช่เหมือนหนังแอ็คชั่นเรื่องอื่นๆ ที่พระเอกเจอกับตัวร้ายปุป ก็มาซัดกันเลย เรื่องนี้มันมีชั่นเชิงกว่านั้น ทั้งพระเอกและผู้ร้ายต่างมีชั้นเชิงและกึ๋นที่พอๆกัน กินกันไม่ลง
ซีนในร้านอาหารที่สองตัวเอกมาประชันหน้ากัน เป็นแรงบันดาลใจในฉากแนวๆเดียวกันที่ตัวร้ายกับพระเอกมาพูดเชือนคมกันดูชั้นเชิงของทั้งคู่ เรื่อง The Dark Knight (2008), 007 Skyfall (2012) และ The Equalizer (2014) ต่างได้อิทธิพลจากซีนร้านอาหารในเรื่อง Heat
- The Fugitive ขึ้นทำเนียบจับตาย (1993)
ผลงานแนวแอ็คชั่นทริลเลอร์ สืบสวนสอบสวนของผู้กำกับ Andrew Davis (Under Siege) เรื่องนี้ได้สองนักแสดงดังมากๆในยุคนั้นมาแสดงเชือดเฉือนบทบาทกันระหว่าง Harrison Ford (Blade Runner, Indiana Jones ไตรภาค) และ Tommy Lee Jones ที่เรื่องนี้แกได้เสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงชายสมทบยอดเยี่ยมอีกด้วย และมี Junalie Moore ร่วมแสดงสมทบในบทเล็กๆด้วย
เป็นหนังแนวแอ็คชั่นทริลเลอร์ ที่ไม่จำเป็นต้องยัดฉากแอ็คชั่นลงมามากมาย ทั้งเรื่องแทบไม่มีฉากต่อสู้หรือฉากยิงกัน แต่ตัวหนังทำให้คนดูติดตามได้จนจบ ไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อ ด้วยบทสนทนา มีประเด็นการสืบสวนสอบสวนที่น่าสนใจ และน่าติดตาม การสร้างตัวละครของพระเอก ที่เป็นหมอศัลยกรรมที่ต้องหนีจากการตามล่าของพวกตำรวจและพวกจนท. U.S. Marshall คือ ปกติหนังแนงแอ็คชั่นไล่ล่ากัน ตัวเอกของเรื่องมักจะเป็น อดีตสายลับ ตำรวจ ทหาร อะไรพวกนี้ คือ เก่งการต่อสู้อยู่แล้ว ดูแล้วไม่ต้องลุ้นอะไรมาก แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่เป็นอย่างงั้น ดูแล้วจะโคตรลุ้นกับตัวเอกของเรื่อง ที่เป็นแค่หมออายุในวัยกลางคนธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ดวงซวยซ้ำแล้วซ้ำอีก ถูกใส่ร้ายว่าฆ่าเมียตัวเองตาย โดนตำรวจทั้งรัฐตนมล่า แถมแกต้องตามสืบหาตัวคนร้ายตัวจริงอีกด้วย เพื่อหาหลักฐานให้ตนพ้นผิด ทั้งเรื่องพระเอกน่าสงสารมาก ต้องหนีตัวซุกหัวซุน แบบไม่มีอะไรติดตัวมากมาย มีบางฉากที่จำเป็นต้องต่อสู้ก็สู้แบบคนที่ไม่ได้เป็นการต่อสู้อะไรมากมาย ดูแล้วอินกับตัวละครและเอาใจช่วยและลุ้นกว่าหนังที่พระเอกเป็นอดีตเก่งๆทั้งหลาย
การแสดงของทั้งฟอร์ดและทอม ดีมากๆ คนหนึ่งเป็นหมอที่ต้องทำหน้าเครียดและเศร้าอยู่ตลอดเวลา อีกคนเป็นจนท. U.S. Marshall ที่แสดงสีหน้าหน้าตามุ่งมั่น เอาจริงเอาจังกับงาน กัดไม่ปล่อย ทั้งคู่เชือดเฉือนบทกันดีทั้งคู่ ผมชอบฉากที่ทั้งสองตัวละครมาเจอกันในอุโมงค์น้ำ ระหว่างไล่ล่ากัน ที่ฟอร์ดถือปืนจ่อหน้าทอมแล้วพูดว่า " I'm not kill my wife." แล้วทอมพูดกลับว่า "I don't care." ก่อน
ฟอร์ดจะโดดลงจากอุโมงค์น้ำหนีไป ซีนนี้คือชอบมาก
- Law Abiding Citizen ขังฮีโร่โค่นอำนาจ (2009)
ผลงานแนวทริลเลอร์ของผู้กำกับ F.Gary Gray จากเรื่อง The Italian Job (2003) นำแสดงโดยสองพระเอกชื่อดังมากฝีมืออย่าง Jamie Foxx (Ray, Collateral) และ Gerard Butler (Tomb Raider 2, 300) เป็นหนังแนวทริลเลอร์เชิงจิตวิทยา ที่มีพล็อตเหมือนหนังล้างแค้นทั่วไป แต่การนำเสนอ ไม่เหมือนเรื่องอื่น มันยกระดับหนังล้างแค้นไปอีกขั้น
สองนักแสดงนำของเรื่องทั้งฟ็อกซ์และเจอราล์ด แสดงได้ดีทั้งคู่ เวลามีซีนที่ทั้งคู่เผชิญหน้าและพูดกัน มันมีการเชือดเฉือนกันด้วยสายตา บทพูดที่ออกเชิงจิตวิทยา ดูเรื่องนี้จบ ต่างเห็นใจกันทั้งสองตัวเอกในเรื่องที่ต้องมาแบกรับสถานการณ์ร้ายๆกันทั้งคู่ แต่ต่างรูปแบบออกไป คนหนึ่งเป็นอัยการเขตที่ต้องพยายามหยุดแผนการลอบสังหาร อีกคนพกความแค้นมาเต็มเหนี่ยว เดินหมากวางแผนลอบสังหารทุกคนที่ไม่ให้ความยุติธรรมกับครอบครัวของเขา
การแสดงสีหน้าของเจอราล์ดในเรื่องนี้ มาแบบคนเก็บกดความแค้นลึกๆไว้ในใจ เครียดแค้นและผิดหวังต่อระบบกฏหมายในเมืองที่เขาอยู่ ซึ่งแกแสดงสีหน้าออกมาได้ดีมาก เช่นเดียวกับฟ็อกซ์ดาราดีกรีออสการ์ไม่เคยทำให้ผิดหวังสักบทเดียว มาในมาดอัยการเขต ใส่สูท ดูภูมิฐาน ทำหน้าคิดแก้ไขสถานการณ์ร้ายๆอยู่ตลอดเวลา แสดงได้ดีมากๆเช่นกัน
เรื่องนี้ที่ผมบอกไปว่ามันต่างออกไปจากหนังแนวล้างแค้นทั่วไป คือ แผนการล้างแค้นของพระเอกนี่แหละ ไม่จำเป็นต้องถือปืนถือมีดไปฆ่าใครโดยตรง ฆ่าได้ทางอ้อม
สปอย์มากไม่ได้ ใครยังไม่ดูแนะนำเลยครับ