สวัสดีค่าชาวพันทิปทุกโค้นนน เห็นจั่วหัวข้อมาขนาดนี้ก็คงไม่ต้องบอกแล้วใช่มั้ยคะว่าจะมารีวิวอะไร … ใช่ค่า จะมารีวิวชีวิต 1 ปี เป๊ะ ในประเทศออสเตรเลีย ณ เมืองบริสเบน แบบฉบับนักเรียนไทยหัวใจป๊อดคนนี้ ที่ไม่รู้ว่ากล้าดียังไง ภาษาก็ไม่ดี แล้วยังจะกล้าบินไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศคนเดียวอี้กกกก ถามว่ารวยหรอก็หึ! แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ดีซะจนไม่อยากจะกลับกันเลยทีเดียว ตอนนี้ก็รวมเวลากลับมาไทยได้ประมาณปีกว่าแล้ว และที่มาเขียนนี่ก็คือคิดถึงความดีงามต่างๆของบริสเบนมากเว่อร์ เกริ่นมาขนาดนี้ถ้าไม่เล่าต่อนี่ก็คงจะโดนกระทืบ งั้นถ้าพร้อมกันแล้วตามมาได้เลยจ้าาาา
หลังจากจบชีวิตมหาลัย ทุกคนคงเคยเป็นกันแหละเนอะ กับความรู้สึกเหมือนโหวงๆในท้อง ว่างๆ เคว้งๆ แบบชีวิตนี้ชั้นจะไปอยู่ตรงไหนดีวะแกร๊ ก็เลยสมัครงานไป ซึ่งก็เป็นงานที่ตรงกับสายที่เรียนมา แต่พอทำไปเรื่อยๆ ด้วยสภาพแวดล้อมของที่ทำงานที่ไม่มีอะไรตื่นเต้นสำหรับวัยรุ่นเลยอะเพ่ เช้าตื่น6โมง นั่งรถเมล์ ไปทำงาน เที่ยงกินข้าว เย็นกลับบ้าน นอน แล้วก็ตื่น วนเป็นวัฐจักรดักแด้ซ้ำอยู่อย่างนั้น ก็เริ่มเกิดความเบื่อในชีวิต แต่ไม่รู้จะทำอะไรดี บวกกับในตอนนั้นเป็นชะนีน้อยติดแฟน ติดแจ ติดยิ่งกว่ากาวตราช้างอีก จนหลังๆเริ่มมีปัญหาระหองระแหงกัน ชะนีคนนี้ก็ไม่รู้นึกครึ้มอกครึ้มใจอะไร ตัดสินใจบอกแม่ว่า “แม่! หนูจะไปเรียนเมืองนอก ขอตังด้วย!” แม่บอกกลับมาว่า “แน๊ะ! เด็กคนนี้ คิดดีแล้วนะ ถ้าดีแล้วก็เอ้า! ไปเล่ย” จากนั้นก็ลุยหาเอเจนซี่ หาประเทศ โจทย์ของเราก็คือ ไปเมืองไหนก็ได้ที่เราจะสามารถเรียนไปทำงานไปได้อย่างถูกกฏหมาย และต้องเป็นที่ที่คนไทยไม่พลุกพล่านชุกชุมเหมือนไปเดินตลาดจตุจักร เพราะอยากฝึกภาษาให้ได้มากที่สุด ก็มาจบที่ บริสเบน ประเทศออสเตรเลีย ตอนแรกตัดสินใจไปแค่6เดือน เพราะแม่กลัวอยู่ไม่ไหวเดี๋ยวร้องไห้กลับบ้านเสียดายตังเด้ออีลูก ก็สมัครคอร์สจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับเรียบร้อย และเดินไปหาหัวหน้าบอกว่า พี่คะ หนูขอลาออกค่ะ หนูจะไปค้นหาความหมายของชีวิต 55555555 นับถอยหลัง อีก1เดือนจะเดินทาง
หลังจากลาออกก็เอาเวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำวีซ่าและต่างๆ โดยครั้งนี้เราไปกับเอเจนซี่ ซึ่งเราถามเพื่อนที่ไปเรียนก่อนเราว่าใช้เอเจนซี่ไหนเอ่ย ดีมั้ยอย่างไร ซึ่งรู้สึกตัดสินใจไม่ผอดที่เลือกเอเจนซี่นี้ (ใครอยากรู้ว่าเอเจนซี่อะไรหลังไมค์มาได้จ้า ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด) พี่ๆก็ใจดี อธิบายและให้คำแนะนำดีมาตลอด แต่ถ้าไปแบบชิวๆมันก็คงไม่ใช่ชีวิตอีช้อย มันมีเรื่องให้ตื่นเต้นตลอดตั้งแต่เท้ายังไม่ก้าวออกจากปรเทศเลยค่ะ!! คือ วีซ่าผ่านตอนก่อนเดินทาง4วันค่ะคุณพี่! พอวีซ่าออกปั๊บ เราก็จัดแจงไปเดินแพลตินั่มซื้อเสื้อยืดเป็นโหลๆ ตุนไว้ค่ะคุณผู้ชม เสื้อหนาวหนาๆซักตัว กกนตุนไปเป็นโหลๆ แพ็คทุกอย่างเรียบร้อย เอกสารเรียบร้อย แต่น้องไม่พร้อมมม คืนก่อนเดินทาง นอนไม่หลับ ได้แต่ร้องไห้กอดแม่แล้วถามแม่ว่า ไม่ไปแล้วได้มั้ยยย แม่บอก ไม่ได้! จ่ายเงินไปแล้ว! น้ำตาไหลย้อนกลับทันทีด้วยความเสียดายเงิน 555555
และวันนี้ก็มาถึงจ้า วันเดินทาง เพื่อนๆเดินทางมาส่งที่สนามบิน ถ่ายรูปแชะๆ บอกลากันเรียบร้อย เช็คเอกสารอีกที โอเคบินได้ ในการไปครั้งนี้ เราไปกับเอเจนซี่ โดยเราไม่ได้เลือกที่จะใช้บริการ pick-up ที่สนามบินเพราะห้าวมาก คิดว่าเอ้อ ไปถึงสนามบิน ซื้อซิม ต่ออินเตอร์เน็ต โหลดแอพ uber เรียกรถแพ๊บเดียวก้ได้ละป่ะว้าา แถม! ไม่ได้พักกับโฮสด้วยจ้ะ ดิชั้นเลือกพักที่อพาร์ทเมนท์ใกล้โรงเรียนแบบเดินแค่10ก้าวถึงเพราะกลัวตื่นไปเรียนไม่ทัน 55555 แต่ทุกอย่างยังคงชิวจนกระทั่งเครื่องบิน landing ที่สนามบินบริสเบน

เดินผ่านตม.ออกมาปั๊บก็จัดการเดินไปที่เคาเตอร์ขายซิมการ์ดและ… เกิดปัญหาขึ้น เพราะไม่รู้จะพูดภาษาอังกฤษยังไงเพื่อจะขอซื้อซิมการ์ดแบบเติมเงินจ้าาาา ไอ้ที่ซ้อมมาบนเครื่องก็ลืมสิ้น ก็ได้แต่บอกตะกุกตะกักไปจนพนักงานสาวชาวออสซี่ก็คงเดาได้ว่าอีนี่มาซื้อซิมแน่ๆ นางก็อธิบายนู่นนี่เยอะแยะ ชะนีไทยก็จับใจความได้แค่ว่า10-30minutes อะไรวะ 55555 เค้าคงให้เรารอเปิดใช้ซิมมั้ง นี่ก็รอ ยืนรอกลางสนามบิน ถ้าใครที่เดินทางไปไฟล์เดียวกันในวันนั้นคงเห็นเด็กผู้หญิงคนไทยหัวดำยืนหัวโด่ งงๆ อยู่กลางสนามบิน น้ำตาคลอนิดๆด้วยความกลัว ผ่านไป10นาทีก็แล้ว20นาทีก็แล้ว ยังไม่ได้อีกก เหมือนเทวดาจะสงสารในความอ๊องของชะนี เลยส่งพี่สาวใจดีมาให้คนนึง
“คนไทยใช่มั้ยคะ” เหมือนคำร่ายมนต์ให้ชะนีไทยหันไปแบบอัตโนมัติและตอบรับว่าใช่ค่ะ จากนั้นเราก็คุยกันนิดหน่อย เราบอกเค้าไปว่าโทรศัพท์ใช้ไม่ได้เลยเรียก uber ไม่ได้ เดชะบุญที่พี่เค้าเป็นเจ้าของเอเจนซี่มารับหลานชายกับเด็กในเอเจนซี่ตัวเองไปส่งที่พัก และรู้จักกับสตาฟคนไทยในโรงเรียนที่เราจะไปเรียนพอดี พี่เค้าเลยอาสาไปส่ง เอ้า ไปสิคะรออะไร! ระหว่างทาง พี่คนไทยก็แวะพาพวกเราเปิดบัญชีธนาคาร กินข้าวมื้อแรกในออสเตรเลียซึ่งก็คือ Mc Donald’s แบบไม่มีซอสให้และชิ้นใหญ่เบิ้ม ก่อนจะพาไปส่งที่โรงเรียน ชะนีรีบโทรเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและแม่บอกว่า โชคดีมากนะที่เค้าไม่ฉวยโอกาสตรงนั้นเอาเราไปขาย 5555555 ซึ่งก็จริงของแม่!

หน้าร้าน Mc Donald ที่ Fortitude Vallay อาหารมื้อแรกของชะนีน้อย
ในห้องพักเราแบ่งเป็น2ห้องใหญ่ มีห้องน้ำ2ห้อง และห้องนั่งเล่นกับครัวแบบฟูลมาก มีเตาอบมีนู่นนีนั่นตื่นเต้นๆๆๆ ในห้องเราอยู่กับ4คน เรานอนกับน้องคนไทยที่กำลังจะกลับแล้ว และอีก2คนเป็นชาวไต้หวันกับญี่ปุ่น หลังจากเก็บของเสร็จปุ๊บก็คิดว่าเราต้องไปสำรวจบริเวณรอบๆและซื้อของใช้ส่วนตัวซะหน่อย อากาศก็กำลังเย็นสบาย 23 องศา ก็เลยตัดสินใจเดินไปซุปเปอร์ข้างๆ และเสิร์ชหา supermarket ที่ขายของเอเชียเพื่อไปซื้อข้าวสารอาหารแห้งมาทำกับข้าว ระหว่างเดินก็หลงบ้างอะไรบ้าง และค้นพบว่าเมืองนี้มันน่าอยู่จริงๆเล้ยยย เริ่มชอบเมืองนี้เข้าแล้วสิ จบวันนั้นโดยการได้ สบู่แชมพูมาใช้พร้อมกับผักสดและเนื้อสดนิดหน่อยและสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือข้าวสารและพริกป่น ตามแบบฉบับ thai style ที่แท้ทรู

อันนี้ถ่ายไว้กันหลงทางจ้ะ

เงียบสงบ ชอบมากจ้า

24องศา เย็นกรุบกริบ ลมพัดตึง

ช็อปปิ้งของกินเสร็จ เดินหลงทิศจ้า ตามสไตล์
เดี๋ยวมาลงต่อนะจ๊ะ ขอลองเช็คเรตติ้งก่อนว่ามีใครสนใจมั้ย ถ้าไม่กริบ น้องมาลงแต่แน่นอนสัญญาจ้า
ไปไหน! ไป‘บริสเบน’ ใครบอกบริสเบนไม่มีอะไร มา! จะเล่าให้ฟัง
หลังจากจบชีวิตมหาลัย ทุกคนคงเคยเป็นกันแหละเนอะ กับความรู้สึกเหมือนโหวงๆในท้อง ว่างๆ เคว้งๆ แบบชีวิตนี้ชั้นจะไปอยู่ตรงไหนดีวะแกร๊ ก็เลยสมัครงานไป ซึ่งก็เป็นงานที่ตรงกับสายที่เรียนมา แต่พอทำไปเรื่อยๆ ด้วยสภาพแวดล้อมของที่ทำงานที่ไม่มีอะไรตื่นเต้นสำหรับวัยรุ่นเลยอะเพ่ เช้าตื่น6โมง นั่งรถเมล์ ไปทำงาน เที่ยงกินข้าว เย็นกลับบ้าน นอน แล้วก็ตื่น วนเป็นวัฐจักรดักแด้ซ้ำอยู่อย่างนั้น ก็เริ่มเกิดความเบื่อในชีวิต แต่ไม่รู้จะทำอะไรดี บวกกับในตอนนั้นเป็นชะนีน้อยติดแฟน ติดแจ ติดยิ่งกว่ากาวตราช้างอีก จนหลังๆเริ่มมีปัญหาระหองระแหงกัน ชะนีคนนี้ก็ไม่รู้นึกครึ้มอกครึ้มใจอะไร ตัดสินใจบอกแม่ว่า “แม่! หนูจะไปเรียนเมืองนอก ขอตังด้วย!” แม่บอกกลับมาว่า “แน๊ะ! เด็กคนนี้ คิดดีแล้วนะ ถ้าดีแล้วก็เอ้า! ไปเล่ย” จากนั้นก็ลุยหาเอเจนซี่ หาประเทศ โจทย์ของเราก็คือ ไปเมืองไหนก็ได้ที่เราจะสามารถเรียนไปทำงานไปได้อย่างถูกกฏหมาย และต้องเป็นที่ที่คนไทยไม่พลุกพล่านชุกชุมเหมือนไปเดินตลาดจตุจักร เพราะอยากฝึกภาษาให้ได้มากที่สุด ก็มาจบที่ บริสเบน ประเทศออสเตรเลีย ตอนแรกตัดสินใจไปแค่6เดือน เพราะแม่กลัวอยู่ไม่ไหวเดี๋ยวร้องไห้กลับบ้านเสียดายตังเด้ออีลูก ก็สมัครคอร์สจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับเรียบร้อย และเดินไปหาหัวหน้าบอกว่า พี่คะ หนูขอลาออกค่ะ หนูจะไปค้นหาความหมายของชีวิต 55555555 นับถอยหลัง อีก1เดือนจะเดินทาง
หลังจากลาออกก็เอาเวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำวีซ่าและต่างๆ โดยครั้งนี้เราไปกับเอเจนซี่ ซึ่งเราถามเพื่อนที่ไปเรียนก่อนเราว่าใช้เอเจนซี่ไหนเอ่ย ดีมั้ยอย่างไร ซึ่งรู้สึกตัดสินใจไม่ผอดที่เลือกเอเจนซี่นี้ (ใครอยากรู้ว่าเอเจนซี่อะไรหลังไมค์มาได้จ้า ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด) พี่ๆก็ใจดี อธิบายและให้คำแนะนำดีมาตลอด แต่ถ้าไปแบบชิวๆมันก็คงไม่ใช่ชีวิตอีช้อย มันมีเรื่องให้ตื่นเต้นตลอดตั้งแต่เท้ายังไม่ก้าวออกจากปรเทศเลยค่ะ!! คือ วีซ่าผ่านตอนก่อนเดินทาง4วันค่ะคุณพี่! พอวีซ่าออกปั๊บ เราก็จัดแจงไปเดินแพลตินั่มซื้อเสื้อยืดเป็นโหลๆ ตุนไว้ค่ะคุณผู้ชม เสื้อหนาวหนาๆซักตัว กกนตุนไปเป็นโหลๆ แพ็คทุกอย่างเรียบร้อย เอกสารเรียบร้อย แต่น้องไม่พร้อมมม คืนก่อนเดินทาง นอนไม่หลับ ได้แต่ร้องไห้กอดแม่แล้วถามแม่ว่า ไม่ไปแล้วได้มั้ยยย แม่บอก ไม่ได้! จ่ายเงินไปแล้ว! น้ำตาไหลย้อนกลับทันทีด้วยความเสียดายเงิน 555555
และวันนี้ก็มาถึงจ้า วันเดินทาง เพื่อนๆเดินทางมาส่งที่สนามบิน ถ่ายรูปแชะๆ บอกลากันเรียบร้อย เช็คเอกสารอีกที โอเคบินได้ ในการไปครั้งนี้ เราไปกับเอเจนซี่ โดยเราไม่ได้เลือกที่จะใช้บริการ pick-up ที่สนามบินเพราะห้าวมาก คิดว่าเอ้อ ไปถึงสนามบิน ซื้อซิม ต่ออินเตอร์เน็ต โหลดแอพ uber เรียกรถแพ๊บเดียวก้ได้ละป่ะว้าา แถม! ไม่ได้พักกับโฮสด้วยจ้ะ ดิชั้นเลือกพักที่อพาร์ทเมนท์ใกล้โรงเรียนแบบเดินแค่10ก้าวถึงเพราะกลัวตื่นไปเรียนไม่ทัน 55555 แต่ทุกอย่างยังคงชิวจนกระทั่งเครื่องบิน landing ที่สนามบินบริสเบน
“คนไทยใช่มั้ยคะ” เหมือนคำร่ายมนต์ให้ชะนีไทยหันไปแบบอัตโนมัติและตอบรับว่าใช่ค่ะ จากนั้นเราก็คุยกันนิดหน่อย เราบอกเค้าไปว่าโทรศัพท์ใช้ไม่ได้เลยเรียก uber ไม่ได้ เดชะบุญที่พี่เค้าเป็นเจ้าของเอเจนซี่มารับหลานชายกับเด็กในเอเจนซี่ตัวเองไปส่งที่พัก และรู้จักกับสตาฟคนไทยในโรงเรียนที่เราจะไปเรียนพอดี พี่เค้าเลยอาสาไปส่ง เอ้า ไปสิคะรออะไร! ระหว่างทาง พี่คนไทยก็แวะพาพวกเราเปิดบัญชีธนาคาร กินข้าวมื้อแรกในออสเตรเลียซึ่งก็คือ Mc Donald’s แบบไม่มีซอสให้และชิ้นใหญ่เบิ้ม ก่อนจะพาไปส่งที่โรงเรียน ชะนีรีบโทรเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและแม่บอกว่า โชคดีมากนะที่เค้าไม่ฉวยโอกาสตรงนั้นเอาเราไปขาย 5555555 ซึ่งก็จริงของแม่!
ในห้องพักเราแบ่งเป็น2ห้องใหญ่ มีห้องน้ำ2ห้อง และห้องนั่งเล่นกับครัวแบบฟูลมาก มีเตาอบมีนู่นนีนั่นตื่นเต้นๆๆๆ ในห้องเราอยู่กับ4คน เรานอนกับน้องคนไทยที่กำลังจะกลับแล้ว และอีก2คนเป็นชาวไต้หวันกับญี่ปุ่น หลังจากเก็บของเสร็จปุ๊บก็คิดว่าเราต้องไปสำรวจบริเวณรอบๆและซื้อของใช้ส่วนตัวซะหน่อย อากาศก็กำลังเย็นสบาย 23 องศา ก็เลยตัดสินใจเดินไปซุปเปอร์ข้างๆ และเสิร์ชหา supermarket ที่ขายของเอเชียเพื่อไปซื้อข้าวสารอาหารแห้งมาทำกับข้าว ระหว่างเดินก็หลงบ้างอะไรบ้าง และค้นพบว่าเมืองนี้มันน่าอยู่จริงๆเล้ยยย เริ่มชอบเมืองนี้เข้าแล้วสิ จบวันนั้นโดยการได้ สบู่แชมพูมาใช้พร้อมกับผักสดและเนื้อสดนิดหน่อยและสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือข้าวสารและพริกป่น ตามแบบฉบับ thai style ที่แท้ทรู
เดี๋ยวมาลงต่อนะจ๊ะ ขอลองเช็คเรตติ้งก่อนว่ามีใครสนใจมั้ย ถ้าไม่กริบ น้องมาลงแต่แน่นอนสัญญาจ้า