วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ การโดนเหยียดผิวที่เบอร์ลิน

หลายคนคงทราบกันมาว่า เบอร์ลินนี่เป็น ฐานที่ตั้งสำคัญของ Nazi ในยุคสงครามโลกครั้งที่2
จนกลายเป็นที่มาของการแบ่งแยกประเทศหลังสงคราม ที่มีการแยกเบอร์ลินออกเป็นสองฝ่าย ทั้งฝ่ายตะวันออก ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทาง รัสเซีย ที่เป็นคอมมูนิส และฝั่งตะวันตก ที่ปกครองโดย ระบบทุนนิยม ในแบบของ อเมริกา

(จุด Check point Charlie จุดร่วมระหว่างคอมมิวนิส และทุนนิยม ที่มาประจบกัน)


(กำแพงเบอร์ลิน)
จนวันเวลาล่วงเลยมา40กว่าปีกับเบื้อหลังกำแพง ที่ฝ่ายทุนนิยมเจริญรุ่งเรืองผู้คนอยู่ดีกินดี ในขณะที่ฝ่ายคอมมูนิส ชีวิตความเป็นอยู่กลับแย่ลง จนมาถึงยุคปลายทางคอมมูนิส รัสเซียล่มสลาย จึงเกิดการรวมกันระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตก

(ฝั่งตะวันตก)

(ฝั่งตะวันออก)


(เบอร์ลินถูกแบ่งแยกเป็น4ส่วน จาก 2ส่วนหลัก / หลังจากสงครามโลกครั้งที่2)

ซึ่งก็เกิดการShock น้ำกันอยู่พักนึง โดยคนฝั่ง ตะวันออกจะมีความ Consevative หรือที่เรียกว่าลัทธินิยมมากกว่า ฝั่งตะวันตกที่เป็นระบบทุนนิยม
จนผมก็ได้มีโอกาส ได้เดินทางไปเบอร์ลิน และได้ไปพักในฝั่งเบอร์ลินตะวันออกเก่า โดยการนั่งเครื่องบินมาจากลอนดอนลงที่สนามบิน ... โดยที่มีเพื่อนที่เป็นคนอังกฤษมาเจอและพักด้วยกันเป็น3คน

(ที่พัก ที่ผมได้ไปพัก)
หลังจากคืนแรกก็ผ่านไปด้วยดี โดยที่เราก็ออกเดินทางชมเมือง โดยมีเพื่อนเป็นคนพาไป ในขณะที่ผมออกจากบ้านก็ถามเพื่อนว่า คนที่นี่เหยียดผิวไหม ซึ่งเพื่อนทั้งสองคนที่เป็นคนขาว (อังกฤษ และ เยอรมัน) ก็บอกว่าไม่น่าจะมีแล้วน่ะ.... ซึ่งใช่สิเพื่อนเป็นผิวขาวนี่หน่า555


ก็เริ่มเห็นอาการคนเยอรมันตั้งแต่วันแรกที่นั่งรถสาธารณะ คนเยอรมันที่เป็นคนแก่ที่มีอายุหน่อยจะจ้องหน้าเราเหมือนเคียดแค้น จ้องแบบไม่หลบตา (เจอบ่อยมาก) ซึ่งเมืองอื่นๆของเยอรมัน เช่น แฟรงเฟิร์ต ผมไม่เจอแบบนี้

คนเยอรมันในรถไฟใต้ดิน จ้องผมจน ตอนหลังเพื่อนจับสังเกตุได้ก็บอกให้ผมทำตาเหล่ไส่ หรือเพื่อนก็เอามือมาช่วยทำหน้าหล่อให้ก็ล้อเลียนกันไป จนคนที่จ้องก็มีอาการไม่พอใจนัก
จนมาถึงHi light คือวันนึงเป็นวันที่ฝนตกหนักมากแล้วผมไม่ได้เอาเสื้อกันฝนและร่มไป จึงแวะร้านขายเสื้อมือสองที่อยู่ข้างถนน มีเสื้อลายทหาร อยู่ตัวนึงซึ่งมันใหญ่พอที่จะคลุมได้ทั้งตัว ผมจึงซื้อมาและใช้เลย ซึ่งมันใช้งานได้ดีมากๆ จนถึงตอนเย็นก็นัดเพื่อนที่ผับ ผับนึง ซึ่งเพื่อนเป็นคนเยอรมันและคนอังกฤษ ผิวขาว โดยที่ผมรับหน้าที่เดินไปสั่งเครื่องดื่มให้

(เสื้อทหารที่ซื้อจากร้านมือสอง)
บริเวณบาร์ ที่มีพนักงาน2 คนกำลังทำหน้าที่อยู่ซึ่งก็ไม่ได้ยุ่งแค่ยืนเช้ดแก้ว และรับออร์เดอร์จากหญิงสาวหน้าบาร์ แค่คนเดียว

พอผมตะโกนสั่งเครื่องดื่ม ซึ่งพนักงานเสิร์ฟ ทำเหมือนไม่ได้ยิน และทำเหมือนเราเป็นอากาศ โดยให้คิวคนที่มาหลังเราก่อน จนผมมองไปรอบร้านก็เห็นแต่คนผิวขาว นั่งอยู่เต็มร้าน...
สักพักพอพนักงานเสิรฟเห็นผมเรียกอยู่หลายครั้ง จึงเดินเข้ามาหาและก้มตัวลงพูดกับผมเบาๆว่า
“ร้านเราไม่รับคนต่างชาติ และขอให้ผมกลับบ้านไปซ่ะ และจะให้ดีช่วยถอดเสื้อทหารตัวนี้ไว้ที่นี่ด้วย!”
เมื่อพูดเสร็จก็หันหลังกลับไป
ปล่อยให้เกิดคำถามในหัวว่า ชายพนักงานเสริฟที่อายุน่าจะประมาณ 30ปี แต่กลับมีความคิดที่เหยียดเชื่อชาติซึ่งไม่น่าที่จะเกิดขึ้นกับคนในรุ่นอายุเท่านี้ เพราะสงครามและความโหดร้ายของการแบ่งแยกเชื่อชาติ ควรจะจบไปเมื่อ70กว่าปีที่แล้วในยุคที่ Hitler เรืองอำนาจ...
ผมเดินกลับมาที่โต๊ะที่อยู่ด้านนอกร้านในขณะที่เพื่อนรออยู่ โดยบอกเพื่อนให้ย้านร้าน เพื่อนก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น!
จนเราเดินออกมาสักพัก ผมก็เลยเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนฟัง ซึ่งเพื่อนที่เป็นคนเยอรมัน ไม่พอใจอย่างมาก และเดินกลับไปเพื่อที่จะเอาเรื่องพนักงานเสิร์ฟคนนั้น ซึ่งโวยวายเป็นภาษาเยอรมัน คนในร้านก็มามุง และเพื่อนก็ตัดสินใจโทรหาตำรวจ ซึ่งผมก็เพื่งรู้ว่ากฏหมายการเยียดผิวในเยอรมันนั้นรุ่นแรงมากๆ จนพนักงานเสริฟขอให้เราถอนแจ้งความ แต่เพื่อนผมไม่ยอม จนกลายเป็นเรื่องเป็นราว

แต่ด้วยความที่ผมเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่อยากจะมาเป็นคดี ความที่ต่างบ้านต่างเมืองจึงตัดสินใจ ขอไม่เอาเรื่องและก็จบเป็นเรื่องของการเข้าใจผิดไปเอง
ความเกลียดชัง หรือ การกดคนอื่นเพื่อให้ตัวเองสูงกว่าเป็นการกระทำในเชิงจิตวิทยา เพื่อให้ตัวเองดูมีค่ามากกว่าคนอื่นซึ่งผมก็เข้าในประเด็นนี้ดี แต่ไม่อยากให้มันกลายเป็นลัทธิ หรือวัฒนธรรมจนกลายเป็นสงครามแห่งความเกลียดชังดังเช่นในอดีต

ซึ่งเมื่อวันก่อน ก็มีเหตุการณ์คนจีนยืนทำมือเป็นเครื่องหมาย Nazi ที่ตรงบันใดหน้า พิพิภัณทร์ (ตรงจุดที่ Hitler เคยกล่าวปราศัย) จนทำให้ถึงกับต้องส่งตัวกลับประเทศกันเลย

ซึ่งผมก็คิดว่าเหตุการณ์นี้ผมก็มีส่วนผิด ที่ไม่รู้และไม่ได้คิดอย่างถ้วนถี่ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อเสื้อทหารจากร้านมือสอง มาไส่กันฝน เพราะมันคง อะเอียดอ่อนในแง่ของความรู้สึก ของคนที่อยู่ในประเทศที่แพ้สงครามมาก่อนและคงเป็นบาทแผลในใจ
จนมาถึงวันสุดท้ายก่อนที่ผมจะย้ายเมือง จาก เบอรลินไป ปารีส ก็ได้เดินเข้าไปในร้านอาหาร และมีป้าแก่ๆ เดินมาบอกว่า เขาขออนุญาติไม่รับคนเอเชีย จะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ผมยิ้มให้และเดินออกมาโดยที่ไม่ได้ว่ากล่าวใดๆ
เพียงแค่คิดว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เราทำแล้วให้อีกคนสบายใจ ก็เป็นแค่สิ่งเล็กๆที่เราพอจะทำให้เขาได้ โดยที่ไม่ได้ยากเย็นอะไร
โลกเราจะน่าอยู่ หรือไม่น่าอยู่เลย จริงๆแล้วมันอยู่ที่มุมมองของตัวเราเอง สิ่งที่ผมเจอคงเป็นส่วนน้อยมากๆในสังคม ที่ผมโชคดีได้เจอ

(Anne frank อีก 1 สัญลักษณ์ จากผลพวงแห่งยุค นาซี )
แต่ในทางกลับกันถ้าคน1คนจะต้องคอยหลบคนเอเชียไปทั้งชีวิต คงไม่ต่างจากการนั่งอยู่บนพื้นดินและพยายามจะหลบมดไม่ให้มาไต่ตัว ทั้งชีวิต คงลำบาก และน่าสงสารน่าดู
อะไรที่เราพอจะช่วยได้ ถ้าไม่หนักหนาอะไร ผมก็ยินดีทำให้
ขอเอาประสบการณ์ตรงนี้แชร์ให้กับคนที่ได้เข้ามาอ่าน เพื่อให้เห็นความแตกต่างที่บนโลกนี้ยังมีอยู่ในเราได้เห็นจากประสบการณ์ของผมเอง ขอบคุณมากครับ
ประสบการณ์ การโดนเหยียดผิวที่เบอร์ลิน ประเทศ เยอรมันนี
หลายคนคงทราบกันมาว่า เบอร์ลินนี่เป็น ฐานที่ตั้งสำคัญของ Nazi ในยุคสงครามโลกครั้งที่2
จนกลายเป็นที่มาของการแบ่งแยกประเทศหลังสงคราม ที่มีการแยกเบอร์ลินออกเป็นสองฝ่าย ทั้งฝ่ายตะวันออก ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทาง รัสเซีย ที่เป็นคอมมูนิส และฝั่งตะวันตก ที่ปกครองโดย ระบบทุนนิยม ในแบบของ อเมริกา
จนวันเวลาล่วงเลยมา40กว่าปีกับเบื้อหลังกำแพง ที่ฝ่ายทุนนิยมเจริญรุ่งเรืองผู้คนอยู่ดีกินดี ในขณะที่ฝ่ายคอมมูนิส ชีวิตความเป็นอยู่กลับแย่ลง จนมาถึงยุคปลายทางคอมมูนิส รัสเซียล่มสลาย จึงเกิดการรวมกันระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตก
ซึ่งก็เกิดการShock น้ำกันอยู่พักนึง โดยคนฝั่ง ตะวันออกจะมีความ Consevative หรือที่เรียกว่าลัทธินิยมมากกว่า ฝั่งตะวันตกที่เป็นระบบทุนนิยม
จนผมก็ได้มีโอกาส ได้เดินทางไปเบอร์ลิน และได้ไปพักในฝั่งเบอร์ลินตะวันออกเก่า โดยการนั่งเครื่องบินมาจากลอนดอนลงที่สนามบิน ... โดยที่มีเพื่อนที่เป็นคนอังกฤษมาเจอและพักด้วยกันเป็น3คน
หลังจากคืนแรกก็ผ่านไปด้วยดี โดยที่เราก็ออกเดินทางชมเมือง โดยมีเพื่อนเป็นคนพาไป ในขณะที่ผมออกจากบ้านก็ถามเพื่อนว่า คนที่นี่เหยียดผิวไหม ซึ่งเพื่อนทั้งสองคนที่เป็นคนขาว (อังกฤษ และ เยอรมัน) ก็บอกว่าไม่น่าจะมีแล้วน่ะ.... ซึ่งใช่สิเพื่อนเป็นผิวขาวนี่หน่า555
ก็เริ่มเห็นอาการคนเยอรมันตั้งแต่วันแรกที่นั่งรถสาธารณะ คนเยอรมันที่เป็นคนแก่ที่มีอายุหน่อยจะจ้องหน้าเราเหมือนเคียดแค้น จ้องแบบไม่หลบตา (เจอบ่อยมาก) ซึ่งเมืองอื่นๆของเยอรมัน เช่น แฟรงเฟิร์ต ผมไม่เจอแบบนี้
จนมาถึงHi light คือวันนึงเป็นวันที่ฝนตกหนักมากแล้วผมไม่ได้เอาเสื้อกันฝนและร่มไป จึงแวะร้านขายเสื้อมือสองที่อยู่ข้างถนน มีเสื้อลายทหาร อยู่ตัวนึงซึ่งมันใหญ่พอที่จะคลุมได้ทั้งตัว ผมจึงซื้อมาและใช้เลย ซึ่งมันใช้งานได้ดีมากๆ จนถึงตอนเย็นก็นัดเพื่อนที่ผับ ผับนึง ซึ่งเพื่อนเป็นคนเยอรมันและคนอังกฤษ ผิวขาว โดยที่ผมรับหน้าที่เดินไปสั่งเครื่องดื่มให้
บริเวณบาร์ ที่มีพนักงาน2 คนกำลังทำหน้าที่อยู่ซึ่งก็ไม่ได้ยุ่งแค่ยืนเช้ดแก้ว และรับออร์เดอร์จากหญิงสาวหน้าบาร์ แค่คนเดียว
สักพักพอพนักงานเสิรฟเห็นผมเรียกอยู่หลายครั้ง จึงเดินเข้ามาหาและก้มตัวลงพูดกับผมเบาๆว่า
“ร้านเราไม่รับคนต่างชาติ และขอให้ผมกลับบ้านไปซ่ะ และจะให้ดีช่วยถอดเสื้อทหารตัวนี้ไว้ที่นี่ด้วย!”
เมื่อพูดเสร็จก็หันหลังกลับไป
ปล่อยให้เกิดคำถามในหัวว่า ชายพนักงานเสริฟที่อายุน่าจะประมาณ 30ปี แต่กลับมีความคิดที่เหยียดเชื่อชาติซึ่งไม่น่าที่จะเกิดขึ้นกับคนในรุ่นอายุเท่านี้ เพราะสงครามและความโหดร้ายของการแบ่งแยกเชื่อชาติ ควรจะจบไปเมื่อ70กว่าปีที่แล้วในยุคที่ Hitler เรืองอำนาจ...
ผมเดินกลับมาที่โต๊ะที่อยู่ด้านนอกร้านในขณะที่เพื่อนรออยู่ โดยบอกเพื่อนให้ย้านร้าน เพื่อนก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น!
จนเราเดินออกมาสักพัก ผมก็เลยเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนฟัง ซึ่งเพื่อนที่เป็นคนเยอรมัน ไม่พอใจอย่างมาก และเดินกลับไปเพื่อที่จะเอาเรื่องพนักงานเสิร์ฟคนนั้น ซึ่งโวยวายเป็นภาษาเยอรมัน คนในร้านก็มามุง และเพื่อนก็ตัดสินใจโทรหาตำรวจ ซึ่งผมก็เพื่งรู้ว่ากฏหมายการเยียดผิวในเยอรมันนั้นรุ่นแรงมากๆ จนพนักงานเสริฟขอให้เราถอนแจ้งความ แต่เพื่อนผมไม่ยอม จนกลายเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ด้วยความที่ผมเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่อยากจะมาเป็นคดี ความที่ต่างบ้านต่างเมืองจึงตัดสินใจ ขอไม่เอาเรื่องและก็จบเป็นเรื่องของการเข้าใจผิดไปเอง
ความเกลียดชัง หรือ การกดคนอื่นเพื่อให้ตัวเองสูงกว่าเป็นการกระทำในเชิงจิตวิทยา เพื่อให้ตัวเองดูมีค่ามากกว่าคนอื่นซึ่งผมก็เข้าในประเด็นนี้ดี แต่ไม่อยากให้มันกลายเป็นลัทธิ หรือวัฒนธรรมจนกลายเป็นสงครามแห่งความเกลียดชังดังเช่นในอดีต
ซึ่งเมื่อวันก่อน ก็มีเหตุการณ์คนจีนยืนทำมือเป็นเครื่องหมาย Nazi ที่ตรงบันใดหน้า พิพิภัณทร์ (ตรงจุดที่ Hitler เคยกล่าวปราศัย) จนทำให้ถึงกับต้องส่งตัวกลับประเทศกันเลย
ซึ่งผมก็คิดว่าเหตุการณ์นี้ผมก็มีส่วนผิด ที่ไม่รู้และไม่ได้คิดอย่างถ้วนถี่ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อเสื้อทหารจากร้านมือสอง มาไส่กันฝน เพราะมันคง อะเอียดอ่อนในแง่ของความรู้สึก ของคนที่อยู่ในประเทศที่แพ้สงครามมาก่อนและคงเป็นบาทแผลในใจ
จนมาถึงวันสุดท้ายก่อนที่ผมจะย้ายเมือง จาก เบอรลินไป ปารีส ก็ได้เดินเข้าไปในร้านอาหาร และมีป้าแก่ๆ เดินมาบอกว่า เขาขออนุญาติไม่รับคนเอเชีย จะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ผมยิ้มให้และเดินออกมาโดยที่ไม่ได้ว่ากล่าวใดๆ
เพียงแค่คิดว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เราทำแล้วให้อีกคนสบายใจ ก็เป็นแค่สิ่งเล็กๆที่เราพอจะทำให้เขาได้ โดยที่ไม่ได้ยากเย็นอะไร
โลกเราจะน่าอยู่ หรือไม่น่าอยู่เลย จริงๆแล้วมันอยู่ที่มุมมองของตัวเราเอง สิ่งที่ผมเจอคงเป็นส่วนน้อยมากๆในสังคม ที่ผมโชคดีได้เจอ
แต่ในทางกลับกันถ้าคน1คนจะต้องคอยหลบคนเอเชียไปทั้งชีวิต คงไม่ต่างจากการนั่งอยู่บนพื้นดินและพยายามจะหลบมดไม่ให้มาไต่ตัว ทั้งชีวิต คงลำบาก และน่าสงสารน่าดู
อะไรที่เราพอจะช่วยได้ ถ้าไม่หนักหนาอะไร ผมก็ยินดีทำให้
ขอเอาประสบการณ์ตรงนี้แชร์ให้กับคนที่ได้เข้ามาอ่าน เพื่อให้เห็นความแตกต่างที่บนโลกนี้ยังมีอยู่ในเราได้เห็นจากประสบการณ์ของผมเอง ขอบคุณมากครับ