▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ
บันทึกนักเดินทาง
ประเทศจอร์แดน
ภาพถ่ายทิวทัศน์
ภาพถ่ายจากกล้องโทรศัพท์
[CR] จอร์แดน...ดินแดนมหัศจรรย์ (ตอนจบ) - Petra, Wadi Rum, Dead Sea...Bye Bye Jordan
ตอนแรก https://pantip.com/topic/38993569
ตอนที่ 2 https://pantip.com/topic/38993995
สำหรับกระทู้ตอนจบนี้ ผมขอรวบสถานที่เที่ยวจอร์แดนที่เหลือทั้งหมดเพื่อไม่ให้กระทู้ของเรายืดเยื้อจนเกินไป เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อย เรามีดู highlight ต่างๆ กันก่อนครับ
หลัง check out เราก็เดินทางไปที่เพตรากันต่อ อากู๋บอกว่าเราจะใช้เวลาขับรถประมาณชั่วโมงครึ่ง ทางที่เราจะใช้ในวันนี้จะเป็นทางเลียบทะเล Dead Sea ซึ่งเป็นเส้นทางที่สวยมาก โดยมองข้ามทะเล Dead Sea ไปจะเห็นฝั่งอิสราเอล มาถึงตรงนี้ก็เริ่มคิดว่า หากเที่ยว Dead Sea จากฝั่งอิสราเอลจะสวยเหมือนอย่างที่จอร์แดนหรือไม่ คิดว่าคงต้องจัดทริปหน้าแล้ว
และระหว่างทาง เราจะผ่านอีกสถานที่ท่องเที่ยวแนวผจญภัยคือ Wadi Mujib ซึ่งเป็น trek ลัดเลาะแก่งหินและธารน้ำไหล ให้ได้ปืนป่ายกันสนุกสนาน แต่เนื่องจากช่วงเวลาที่ผมไปคือเดือนพฤศจิกายน Wadi Mujib จะปิดเพราะเป็นฤดูน้ำหลาก ทำให้อันตรายต่อนักท่องเที่ยว ผมจึงได้แต่แวะผ่านเท่านั้น อดเที่ยวครับ ตรง Wadi Mujib จะมีด่านตำรวจใหญ่ตั้งอยู่ คนขับรถอาจจะต้องเตรียม passport และใบขับขี่สากลไว้ด้วยนะครับ ถือเป็นด่านตำรวจแรกสำหรับผมที่มีการขอดูเอกสาร
แต่หากใครจะอยากหาสถานที่ใกล้เคียง มีความเป็น Canyon คล้ายๆใกล้ ก็มีอีกสถานที่หนึ่งชื่อ wadi numeira ต้องขับรถเลยมาอีกประมาณครึ่ง คือพ้นขอบทะเล Dead Sea พอดี ที่นี่ไม่ได้เป็นปิดช่วงหน้าหนาว แต่จริงๆแล้วมันเป็นเพราะที่นี่ยังไม่ได้รับพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจริงจัง ทางเข้าก็ยังงงๆ ผมอาศัยตาม Google Map ไป ง่ายๆว่าถ้าไม่ได้อยากจะต้องเที่ยว canyon ขนาดนั้นก็ข้ามไปเลยครับ ตอนผมไปถึง เดินเข้าไปไม่เท่าไหร่ก็เจอคนท้องถิ่นบอกว่าน้ำป่ากำลังมา ผมเลยแค่ถ่ายรูปมาเล็กๆน้อยๆและเผ่นครับ
ขับต่อมาก็หมดถนนทางลาดแล้วครับ ตอนนี้ก็กลับมาทางขึ้นเขาตามธรรมเนียมประเทศนี้ เช่นเคยครับ ทางชันเหมือนเดิม ระหว่างที่ยอดเขาจะมีร้านกาแฟ/ชา ขาย ประมาณแก้วละ 1 ดีน่า ลองแวะดูครับ กาแฟอาหรับรสชาติดี ผมก็เพิ่งเคยลอง กาแฟจะไม่ได้มีกลิ่นหอมพิเศษ แต่จุดเด่นคือรสที่มีผมเผ็ดแบบผสมขิง เจอกับอากาศหนาวๆ ผมว่าฟินพิลึก ที่สำคัญวิวที่ร้านกาแฟนี่หลักล้านครับ
อ่อลืมไปบอก ถ้าตอนนี้เห็นรูปผมเดี๋ยวมืด เดี๋ยวสว่าง เดี๋ยวฟ้าใส เดี๋ยวเมฆลง ไม่ต้องสงสัยนะครับ มันเป็นเพราะอากาศที่แปรปรวนตลอดเวลาครับ
หลังจากใช้เวลาขึ้นๆลงๆเขา ในที่สุดผมก็มาถึงเพตราครับ พอเข้าเขตเมืองเพตราถนนจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากถนน 2 เลนส์ก็กลายเป็น 4 เลนส์ทันที และก่อนเข้าเมือง เราก็จะผ่าน Moses's spring ที่ Wadi Musa ซึ่งเป็นสถานที่ 1 ใน 2 ที่เชื่อตามตำนานว่าโมเสสได้ขอน้ำจากพระผู้เป็นเจ้าให้ผู้อพยพชาวยิว โดยใช้ไม้เท้ากระทุ้งก้อนหินและน้ำก็ไหลออกมา ทั้งนี้อีกสถานที่ที่เชื่อว่าเป็น Moses's spring จะอยู่ใกล้ๆกับเขาเนโบ ความพิเศษของ Moses's spring แห่งนี้คือ ในปัจจุบันน้ำก็ยังคงไหลออกมาจากหินก้อนนั้นครับ
จบจาก Moses' Spring ผมก็ check in เข้าโรงแรม เพื่อเตรียมตัวดู Petra by night ในคืนนี้ Petra by night จะจัดทุกคืนวันจันทร์ พุธ และพฤหัสบดี โดยโชว์จะเริ่มประมาณสองทุ่มครึ่ง โดยเราสามารถติดต่อซื้อตั๋วกับทางโรงแรม ร้านค้าที่ Visitor Center หรือเอเจนต์ทัวร์ครับ แต่โชคเข้าข้างผมอีกแล้ว ฝนตกครับ! ใครจะเชื่อว่าร้อยวันพันปี เพตราฝนจะตก และเลือกมาตกในวันที่ผมมา สรุปคืออดดูครับ
ผมเลยมานั่งกินข้าวแทน ร้านนี้ชื่อ My Mom's recipe อาหารที่นี่อร่อยครับ โดยเฉพาะข้าว Mansaf เป็นอารมณ์ข้าวหมกแกะแล้วราดด้วยโยเกิร์ตเปรี้ยวตัดเลี่ยน ตอนแรกผมนึกว่าจะกินไม่ได้ แต่ร้านนี้ทำโอเคครับ แกะไม่มีกลื่น และข้าวอร่อย ก็ถือว่ายังดีที่มีอาหารดีๆปลอบใจหลังจากที่อดดูโชว์
เช้าวันใหม่ผมตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อไปให้ถึงประตู Visitor Center เปิดตอนหกโมงเช้า และอีกแล้วครับ เช้ามาฝนตกปรอยๆอีก มันคืออะไรกานนน! คิดว่าคงต้องม้วนสื่อกลับบ้านแล้ว แต่ก็ไปต่อครับ กางร่มไป อ่อ ตอนผ่านประตูเข้าเพตรา เจ้าหน้าที่ตรวจ passport นะครับ เพราะฉะนั้นเตรียมไปด้วยนะครับ
ขอต้อนรับเข้าสู่ Petra นครศิลาสีกุหลาบ
ก่อนอื่น เกริ่นประวัติกันก่อน เพตราเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวสวิส ชื่อ เซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท หลังจากถูกทิ้งร้างมากว่า 700 ปี โดยชนกลุ่มแรกที่เดินทางเข้ามาสู่เพตราคือพวกเอโดไมต์ ซึ่งเข้ามาราวปี 1000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ชนชาติที่สร้างเมืองเพตราขึ้นมานั้นคือชาวนาบาเทียน แม้ว่าเพตราจะตั้งอยู่กลางทะเลทรายแห้งแล้ง แต่เมืองนี้มั่งคั่งใหญ่โต เป็นเพราะ เพตราตั้งอยู่เส้นทางการค้าสำคัญที่สุดของโลกในขณะนั้น 2 สาย ได้แก่เส้นทางสายสายตะวันออก - สายตะวันตก ทำให้เพตราร่ำรวยจากการค้า และการเก็บค่าผ่านทาง และด้วยความมั่นคั่งนี้จึงทำให้โรมันเข้ายึดครองต่อมา
เริ่มต้นเดินทาง เราอาจจะเจอกับไกด์ท้องถิ่นที่เข้ามาจู่โจมเราทันที โดยเสนอขายโปรแกรมทัวร์มากมาย ลองฟังดูก่อนก็ได้ครับ จะเพิ่งเดินหนี คนไทยมีนิสัยกลัวไกด์หลอก ก็จะไม่ฟังเลย จากประสบการณ์ เส้นทางข้างในเดินไม่อยากครับ เดินเองได้โดยที่เราไม่ต้องใช้ไกด์ ไม่ซับซ้อนเดินตามๆเค้า ถามบ้างก็ไม่หลงครับ แต่นี่เฉพาะจุดหลักนะครับ แต่ถ้าใครมีเวลาวันเดียว และต้องเก็บให้ครบ โดยเฉพาะการไปจุดถ่ายรูป Treasury มุมสูง อันนี้ผมว่าจ้างไกด์ครับ แต่ต่อรองให้เคลียร์นะครับ
จากรูปข้างบนจะเห็นว่า จะมีทางสองข้าง จุดที่อยู่ต่ำกว่าจะเป็นทางสำหรับม้า หากใครไม่ต้องการเดิน สามารถจ้างม้าขี่เข้าไปได้ ทางเดินสำหรับนักท่องเที่ยวจะอยู่ด้านบน เดินเข้ามาจะพบช่องที่เจาะทะลุเข้าไปในภูเขาเป็นระยะๆ เช่นรูปข้างบนเช่นกัน ที่นี่เป็นวิหาร ที่ชั้นบนจะเป็นที่บรรจุอัฐิธาตุของผู้ตาย และชั้นล่างเป็นที่สำหรับญาติผู้ตายเวลามาทำบุญกัน
พ้นจากช่วงปากทางมา 200 จะเจอช่องทางน้ำตัดขวางอยู่ ในอดีตที่แห่งนี้เป็นลำธารที่ชาวนาบาเทียนมาตักน้ำไปใช้ รูปด้านล่างจะเห็นขั้นบันไดที่แกะสลักบนหิน นอกจากนี้เมืองจะได้น้ำจากฝนที่ตกมาจากยอดเขา โดยเขาจะสกัดหินเป็นรางน้ำและจุดเป็นบ่อที่ปลายทางเพื่อดักตะกอนและกักตุนน้ำไว้ใช้ การเข้าสู่นครเพตรา ในช่วงการเดินทางเข้าจะค่อนข้างง่าย เพราะเป็นทางลาดลงเขา แต่จะเหนื่อยเวลาเดินกลับ
ชาวนาบาเทียนสลักหินเพื่อตามรูปเคารพของเทพเจ้าตามความเชื่อ เช่นรูปข้างล่างที่เป็นเทพเจ้าแห่งการขอลูก พร้อมสัญลักษณ์สื่อความเป็นเพศชายและหญิง โดยมีความเชื่อหากโยนหินเข้าช่องด้านบนได้ ก็จะตั้งครรภ์
เลยจากจุดที่เป็นรูปสลักคนโรมันจูงอูฐไปอีกประมาณ 200 เมตร เราก็เข้าใกล้ Treasury แล้วล่ะครับ ให้ทุกคนค่อยๆเดินชิดซ้ายไว้ แล้วซอกหินจะค่อยๆเผยสิ่งมหัศจรรย์ข้างหน้าเราครับ
Treasury สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอิลิทรัสที่ 4 ตรงที่เราเห็นนี้ จริงๆแล้วเป็นชั้นที่สอง หากเดินเข้าไปใกล้ๆจะมองเห็นว่ามีชั้นล่างลงไปอีก โดยสันนิษฐานว่าเป็นที่ฝังศพของพระเจ้าอิลิทรัสที่ 4 จุดประสงค์การสร้าง Treasury ไม่แน่ชัด อาจจะเป็นสุสานหรือที่เก็บสมบัติจริงๆ สำหรับเรื่องที่เก็บสมบัติ ก็มีความเชื่อว่ารูปไหที่อยู่บนสุดมีสมบัติซ่อนอยู่ ในสมัยที่ตุรกีมาปกครองพื้นที่แห่งนี้จึงระดมยิง แต่นอกจากไม่เจออะไรแล้วยังทำให้รูปเทพเจ้าที่สลักไว้อย่างสวยงามเสียหายไปด้วย
ระหว่างทางเดินไป เราก็จะเจอกับ Theatre อีกแล้ว น่าจะเป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่นิยมที่ยุคนั้น โดยเฉพาะเวลาที่โรมันขยายการปกครองออกไป
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้