สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมารีวิวท่องเที่ยวประเทศจอร์แดนในหน้าหนาว ใช่ครับ คุณไม่ได้อ่านผิดไปหรอก มันคือหน้าหนาวจริงๆ แถมยังมีฝนตกและน้ำท่วมพ่วงมาด้วย จริงๆทริปนี้ผมไปมาตั้งแต่เมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้วครับ แม้เนื้อหาอาจจะไม่อัพเดต แต่ก็หวังว่าทุกคนจะเพลินเพลิดไปด้วยกันนะครับ


ทริปจอร์แดนของผมในครั้งนี้รวมทั้งหมด 9 วัน ผมเดินทางครั้งนี้ด้วยสายการบินประจำประเทศเค้า พร้อมตั๋วราคาโปรโมชั่นสุดพิเศษรวมทุกอย่างหมื่นต้นๆ จึงค่อนข้างประหยัดทั้งงบประมาณ และเวลา เดินทางจากกรุงเทพฯกลางคืนก็มาถึงจอร์แดนรุ่งเช้าพอดี แต่ไฟล์ทจากรุงเทพจะถึงเช้ามาก ร้านต่างๆยังไม่เปิด ตรงนี้เราจะมีเวลา slow life ค่อยๆทำวีซ่า on arrival ล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าชิลๆครับ หกโมงปุ๊บก็แวะซื้อซิมส์ และไปรับรถก่อนได้ อ่อ ลืมบอกไปทั้งทริปผมขับรถเองนะครับ 


ทริปนี้ผมใช้รถ SUV ของ KIA ก่อนมาถึงผมจองรถของ Budget เป็นรถแบบ compact ไว้ เพราะประหยัดเงินและเดินทางกันแค่ 2 คน แต่เมื่อมาถึงเจ้าหน้าที่แขกก็แจ้งว่ารถหมด! บร่ะเจ้า เริ่มต้นก็มีปัญหาเสียแล้ว แต่ที่น่าโมโหกว่านั้นคือเจ้าหน้าที่ไม่รับผิดชอบซักอย่าง บอกแค่จะคืนเงินให้มาถึงตรงนี้ สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ลักษณะของคนประเทศแถบนี้อย่างแรกคือ เค้าไม่มี service mind ขนาดนั้นนะครับ แม้จอร์แดนจะเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่าให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวมากกว่าประเทศในตะวันออกกลางอื่นๆ เพราะรายได้หลักมาจากการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นอย่ายอมครับ เราต้องสู้ จนสุดท้ายเค้าก็ยอมให้รถคันนี้มาในราคาเท่าเดิม แต่ไม่ล้างรถให้นะครับ เอากับมันสิ

ตารางการท่องเที่ยวในวันแรก เราเริ่มจากที่เมือง Ajloun ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองอัมมาน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจอร์แดน และจะผ่านเมืองเจราช หรือเมืองพันเสา ที่ Ajloun จะมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญคือ ปราสาท Ajlun ซึ่งเป็นป้อมปราการสำคัญทางตอนเหนือที่สร้างโดยชาวมุสลิมเพื่อป้องการการรุกรานจากชาวคริสต์สมัยสงครามคูเสด ปราสาทนี้ตั้งอยู่บนเขาแต่ขับรถขึ้นไปได้ครับ จากสนามบินมาถึงปราสาทนี้ก็ขับรถประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ

ปราสาทนี้สภาพยังค่อนข้างสมบูรณ์ เพราะหลังจากสร้างก็ไม่ได้ใช้ในรบแต่อย่างใด ภายในประสาทมีการจัดแสดงอาวุธ และข้าวของโบราณ มีห้องที่เป็นคุก ห้องพักในสมัยก่อน แต่ผมไม่ได้อ่านรายละเอียดจากป้ายข้อมูลมากนัก อาศัยเนียนๆเดินตามไกด์กรุ๊ปทัวร์คนไทย ติดตามกันมาตั้งแต่บนเครื่อง เอาจริงๆผมว่าหลังจอร์แดนค่อนข้างฮิตในหมู่คนไทย เพราะมากันทั้งแบบมาเองและทัวร์เยอะมาก เรียกได้ว่าสถานที่ฮิตๆเราต้องเจอคนบ้านเดียวกัน 

ผมว่าปราสาทอัจลุน ไม่ได้มีอะไรขนาดนั้น นอกจากคนที่จะสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์จริงๆ แต่มันก็ไม่ highlight แบบยอดเขาเนโบที่มีตำนานโมเสสให้น่าตื่นเต้น คือถ้าตารางเที่ยวเต็มแล้วจะอ่านก็ได้ ที่สำคัญผมขับผ่านเจราชตอนแปดโมงเพราะคิดว่าจะมาที่นี่ก่อน แต่สรุปผมได้ไปเจราชตอนเที่ยง ซึ่งแดดตรงหัว และเริ่มถ่ายรูปยากละ จนคิดว่าน่าจะมาท่านี่ทีหลังจะดีกว่า บ่นจบก็เดินทางต่อครับ

มาถึงเจราช หรือเมืองพันเสา ร่องรอยการขยายอาณาจักรของโรมันมาในดินแดนตะวันออกกลาง ในบริเวณเมืองเก่ามีสถาปัตยกรรมโรมันที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดีทั้ง ถนนอาณานิคม (collonaded street) ห้องอาบน้ำ โรงละคร พลาซ่า และซุ้มประตู ยังอยู่ในสภาพดี และมีนักโบราณคดียังพบด้วยว่า พื้นที่แถบนี้ เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคหินใหม่เมื่อ 6,000 ปีก่อนอีกด้วย

สำหรับท่านที่มาเที่ยว ถ้าอยากหาข้อมูลเพิ่มเติม ที่ด้านหน้าจะมีพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้ก่อนเที่ยวชม สำหรับคนที่ขับรถมาเช่นผม จอดรถข้างๆได้เลย แต่ระวังโดนเด็กแถวนั้นหลอกไถเงินนะครับ ซึ่งเอาจริงๆไม่จ่ายก็ไม่ผิดนะ แต่เด็กมันจะแอบปล่อยลมยางเรารึเปล่าก็ไม่รู้

เมื่อเดินผ่านลานกลางเมือง และถนนตรงกลางก็จะเข้าสู่บริเวณวัดวิหารโบราณแล้วครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าผมไปอัจลุนก่อน พอมาถึงที่นี่ก็บ่ายแล้วครับ เพราะฉะนั้นถ่ายรูปจะยากหน่อย และร้อนมาก ขนาดอากาศที่เย็นแล้ว ยังสู้แดดไม่ได้ครับ

พ้นจากกลุ่มวิหาร ก็เดินขึ้นเขามาจะมีโรงละครครับ และมีวิหารอะไรอีกไม่รู้ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว ซึ่งสามารถมองชมวิวเมืองโบราณจากด้านบนนี้ได้ครับ จากตรงนี้มองไปด้านล่างจะเห็นตัวพลาซ่าแบบมุมกว้างเลยครับ แต่เวลานี้เกือบสามโมงแล้ว ผมเริ่มหิวจนไม่ได้สนใจอ่านอะไรแล้วครับ แค่ถ่ายๆรูปให้จบพอ

หมดโปรแกรมวันแรกแล้วครับ ผมออกจากเจราชขับรถเข้าเมืองเพื่อหาข้าวกินและพักร่างสำหรับวันพรุ่งนี้ ในวันพรุ่งนี้เราจะขึ้นอัมมาน ซิคาเดล และไปตามหาโมเสดที่เขาเนโบกันครับ ก่อนจบวันนี้ผมขอแนบรูปร้านขนมหวานชือดังของจอร์แดนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม Ibis ที่ผมพักเลย เป็นขนมชื่อ Kanafeh  ตัวขนมจะเป็นแป้งราดด้วยน้ำเชื่อมสอดไส้ชีส โดยด้วยถั่วพิตาซิโอและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถ้ายังไงซื้อขาหรือกาแฟร้อนจากร้านข้างๆมากินคู่กัน ฟินลืมครับ

<img class="img-in-post in-tiny-editor">