ความสุขบนรอยบิ่น

ขอแชร์บทความดีๆที่เราชอบมาก เราได้บทความนี้มาจากผู้กำกับภาพยนตร์ท่านหนึ่ง แชร์มาให้แต่ไม่รู้ว่าเครดิตต้นทางมาจากไหน บทความนี้ที่ทำให้เราหลงใหลงานเขียน งานเขียนเปลี่ยนความคิด/ความรู้สึกได้ ขอเชิญรับชมในบรรทัดต่อไปครับ.

ความสุขบนรอยบิ่น..

ครอบครัวผมมีพี่น้องสามคน เราเป็นคนที่สาม พวกเราพี่น้องรักกันมาก เพราะพ่อแม่ปลูกฝังให้พวกกันรู้รักสามัคคีตั้งแต่เล็ก เราไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวย แต่คุณพ่อก็พยายามทำงานหนักเพื่อครอบครัว คุณแม่ดูแลทุกอย่างในบ้านอย่างมีระเบียบให้น่าอยู่ ฝีมือทำอาหารนี่เกินคำบรรยาย แม้พวกเราไม่เคยมีโอกาสไปชิมอาหารตามภัตตาคารหรู แต่เชื่อมั่นว่าฝีมือคุณแม่ไม่มีแพ้พวกเขา บ้านเราไม่ได้มีข้าวของเครื่องใช้ที่แพงนักหนา จะดีหน่อยก็จะเป็นชุดจานชามชุดใหญ่ที่เราใช้กันทุกมื้อ นั่นเพราะคุณแม่ต้องการให้พวกเราฝึกและคุ้นเคยกับมารยาทบนโต๊ะอาหาร จานชามชุดนี้แหละที่น่าจะหรูสุดในบ้านแล้ว.

วันหนึ่งตอนที่คุณแม่กำลังเสริฟมันฝรั่งต้มใส่จาน เรายกจานเร็วไปหน่อยจนจานไปกระทบจานของพี่สาว ทำให้จานเราบิ่นไปเล็กน้อย เราใจเสียขึ้นมาทันที เพราะจานชามชุดนี้เราต้องใช้ร่วมกันห้าคนทุกครั้ง แต่คุณแม่ก็ไม่ได้ดุว่าตำหนิเรา เพียงบอกว่าบิ่นนิดนึงยังใช้การได้ แต่เตือนเราว่าวันหลังให้ระวัง.

หลังจากนั้น พอทุกครั้งที่ใครได้รับจานใบนี้ ก็จะบ่นเป็นเชิงหยอกล้อว่าวันนี้โชคร้ายจัง เราไม่สบายใจ มันเหมือนตอกย้ำความสะเพร่าของเราครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้เราก็ได้จานใบนี้ เราไม่ชอบเลยที่ต้องใช้จานบิ่นๆและไม่สวย อยู่ๆคุณพ่อก็ประกาศว่า จากนี้ไปถ้าใครได้รับจานบิ่นใบนี้ ทุกคนต้องไปหอมแก้มเขา ว่าแล้วคุณพ่อก็เข้าไปหอมแก้มเราเป็นคนแรก แล้วทุกคนก็ทำตาม เรายิ้มอย่างมีความสุขที่ได้รับความรักมากมายขนาดนี้.

หลังจากวันนั้น ใครได้จานใบนั้นกลายเป็นสิ่งที่มีความสุข และถ้าวันไหนใครแบกความทุกข์เข้าบ้าน พวกเราก็จะจงใจวางจานใบนั้นข้างหน้าเขา แล้วทุกคนก็จะไปรุมหอมเขาพร้อมรอยยิ้ม ความทุกข์ความเศร้าหมองทั้งหลายก็แทบจะมลายหายไปในชั่วพริบตา.

จานชามชุดนั้นสุดท้ายก็ต้องโละทิ้งตามสภาพและกาลเวลา ฐานะบ้านเราค่อยๆดีขึ้น เดี๋ยวนี้บ้านเรามีจานชามมากกว่าหนึ่งชุดแล้ว แต่เรามักจะระลึกถึงบรรยากาศของการโอบกอดหอมแก้มกันอยู่เสมอ.

หลายปีผ่านไป วันหนึ่งเราไปทานข้าวที่ภัตตาคารพร้อมกัน ตอนบริกรเอาจานมาเสริฟ พวกเราสังเกตุเห็นว่า จานตรงข้างหน้าคุณพ่อมีรอยบิ่นเล็กๆ แทนที่เราจะเรียกให้บริกรเปลี่ยนจาน แต่เปล่า พวกเราทุกคนลุกขึ้นแล้วเดินไปหอมแก้มและโอบกอดคุณพ่ออย่างมีความสุข.

*****

รอยบิ่นแท้จริงแล้วคือจุดบกพร่อง แต่มันกลับกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขของเรา ทุกวันนี้แม้เราจะเจอสิ่งเลวร้ายขนาดไหน แต่เราก็สามารถเอาอีกมุมมองหนึ่งมาสยบความรู้สึกที่ไม่ดีออกไป.

ขอบคุณคุณพ่อมากๆ ที่สอนให้เรารู้จักวิธีการมองต่างมุม เพื่อค้นหาความหมายใหม่ๆที่มีคุณค่ามากยิ่งๆขึ้น.

ทุกสิ่งล้วนมีสองมุมมอง จะมองในแง่บวกหรือแง่ลบก็อยู่ที่ใจเรา หากมัวแต่มองด้านลบ เราคงสลัดปัญหาและความเศร้าหมองไม่พ้น แต่ถ้าฉลาดพอที่จะมองในแง่บวก ปัญหาต่างๆน่าจะกลายเป็นเรื่องง่ายที่จะแก้ไข.

เป็นเพราะคุณพ่อสอนให้เรารู้จักความหมายที่มีคุณค่าจากเหตุการณ์จานใบนั้น ยิ่งทำให้ครอบครัวเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความสุขทุกคืนวัน..

*****

#ส่วนตัวผมมันอาจจะเป็นเพียงจินตนาการที่ต้องสร้างขึ้นเองที่จะมองในแง่บวก
มันอาจจะไม่ง่ายในชีวิตจริง..
แม้จะไม่ได้กำลังใจหรือการสนับสนุนจากใครใดๆก็ตาม..
ไม่ต้องการทรัพย์สินเงินทองใดๆ ขอแค่พูดจากันดีๆก็เพียงพอแล้ว..

#ความอบอุ่นในครอบครัวก็เช่นกันต้องเริ่มจากความคิดที่ดีของคนในครอบครัว ถึงแม้จะไม่มีเงินทองร่ำรวยแต่ก็มีความสุขได้..

ด้วยรัก.

ถ้าคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมฝากไลค์ ช่วยแชร์ เพจด้านล่างด้วยนะครับ^^

หาเรื่อง "เขียน" กับ ทาคุยะ

https://www.facebook.com/%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%B0-2370786376522692/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่