จากช่วงเดือนมิถุนายน2562 ที่ผ่านมา ทองคำตลาดโลกปรับขึ้นมาประมาณ100 เหรียญสหรัฐ และราคาในบ้านเราขึ้นมาประมาณ1,000 บาท ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะไม่ปกติสักเท่าไรนัก แต่อะไรล่ะที่ได้ทำให้ราคาทองคำดูเหมือนจะพุ่งแรงไม่หยุด แล้วมันจะขึ้นต่อไหมและทองมันขึ้นไปถึงเท่าไร
คงไม่มีใครตอบได้จริงๆ หรอกครับแต่ผมจะมาเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาทองขึ้นแรงอย่างคร่าวๆให้ได้อ่านกันครับ
ในมุมมองผมมองว่าน่าจะเป็นอยู่ 3 ประเด็นใหญ่ๆ ที่ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกนั้นขึ้นมาแรงภายในเดือนเดียวที่ผ่านมา
ข้อแรกเลยคือ
Trade War ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศเพิ่มอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศจีน เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการประกาศคำสั่งฉุกเฉิน
ห้ามบริษัทสัญชาติอเมริกันใช้อุปกรณ์สื่อสารของต่างชาติที่ “อาจ” เป็นภัยความมั่นคง คำสั่งนั้นส่งผลให้อนาคตของ Huawei ดูเลวร้ายลงทันที เพราะหนึ่งในผลกระทบใหญ่คือระบบปฏิบัติการ Android บนมือถือที่จะได้รับผลกระทบในไม่ช้า และที่สำคัญการถูกแบนในครั้งนี้ยังส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ตั้งแต่ราคารับซื้อมือถือที่ลดลงอย่างมากในอังกฤษ หรืออย่างล่าสุดที่มีข่าวลือซึ่งระบุว่า Huawei มียอดขายตกลงมาก จนบริษัทรับจ้างผลิตมือถืออย่าง Foxconn ต้องหยุดไลน์ผลิตบางส่วนไปแล้ว สงครามครั้งนี้เป็นหนึ่งในภาพใหญ่ของ “สงครามการค้า” และ “สงครามเย็นไอที” ที่เรียกได้ว่าเปิดฉากอย่างเป็นทางการแล้วในปี 2019
ข้อถัดมาเกิด
ความไม่สงบในตะวันออกกลาง จากการเปิดฉากด้วยเหตุการณ์ที่มีคนร้ายยิงเรือ 2 ลำในช่องแคบฮอร์มุซ ในอ่าวโอมาน แล้วสหรัฐอเมริกาได้ออกมาแสดงท่าทีกล่าวหาว่าอิหร่านนั้นเป็นคนกระทำ ไม่นานนัก อิหร่านก็ตอบโต้ด้วยการยิงโดรนมูลค่า 5พันล้านบาทของสหรัฐอเมริกาด้วยขีปนาวุธพื้นดินสู่อากาศของอิหร่าน ทำให้สถานการณ์ทั้งสองประเทศเริ่มตึงเครียดอย่างรุนแรง ส่งผลให้ราคาน้ำมันก็ขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
และประเด็นสุดท้าย ทันทีที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ประกาศตัวว่า Facebook จะสร้างสกุล
เงินดิจิทัลของตัวเองชื่อว่า Libra แล้วมีองค์กรเอกชนรายใหญ่ระดับโลกตอบรับอย่างทันที 27 องกรค์ และสัญญาว่าจะร่วมมือและลงขันด้วยนั้น ความมั่นคงทางการเงินของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มสั่นคลอนทันที ร่วมถึงประเทศไทยเองก็ด้วยเพราะทางธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็มีแนวคิดเรื่องเงินดิจิทัลอยู่เหมือนกันนั้นคือ โครงการอินทนนท์ ครับ แล้วการที่มี Libra จะมากระทบราคาทองได้อย่างไร? มาร์ก ซักเคอร์เบร์ก ได้บอกไว้ข้อหนึ่งว่า Libra จะเป็นเงินสกุลดิจิทัลที่มีมูลค่าคงที่ (stabl coin) คือจะมีสินทรัพย์หนุนหลังในทุก ๆ เหรียญที่ผลิตออกใช้ และสินทรัพย์ที่หนุนหลัง Libra จะเป็นแบบตะกร้าเงินหลายสกุล เท่ากับว่าเงินจะเพิ่มในอีกโลกคือโลกไซเบอร์แต่โลกแห่งความจริง เงินจะหายไป ถ้าโลกแห่งความจริงจะผลิตเงินเพิ่ม ธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศก็จะต้องใช้ทองหนุนหลัง เท่ากับว่าทองคำจะกลายเป็นสิ่งของที่มีความต้องการซื้อเพิ่มสูงขึ้นนั้นเองครับ
ซึ่งแค่หนึ่งเดือนที่ผ่านมาราคาทองนั้นพุ่งขึ้นมาถึง 8% อาจจะเป็นการเก็งกำไรและการโยกย้ายเงินไปสู่สินทรัพย์ที่ปลอดภัยของกองทุนใหญ่ๆจากเหตุการณ์ที่ไม่ปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ในมุมมองของผม มองว่าราคาทองคำนั้นยังสามารถมีราคาขึ้งสูงต่อไปได้อีก และอาจจะมีการทำ NEW HIGH หรือ ALL TIME HIGH ในไม่ช้านี้ครับ
หมายเหตุ : บทความข้างต้นเขียนขึ้นด้วยข้อมูลที่รวบรวมมาหลายๆแห่งและใส่ความคิดของตัวผู้เขียนเอง ไม่ได้นำไปใช่ในด้านธุรกิจแต่อย่างใด ฉะนั้นผู้เขียนไม่ขอรับผิดชอบใดๆจากการเอาไปใช้ต่อนะครับ
สู่ยุคตื่นทอง 2019
จากช่วงเดือนมิถุนายน2562 ที่ผ่านมา ทองคำตลาดโลกปรับขึ้นมาประมาณ100 เหรียญสหรัฐ และราคาในบ้านเราขึ้นมาประมาณ1,000 บาท ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะไม่ปกติสักเท่าไรนัก แต่อะไรล่ะที่ได้ทำให้ราคาทองคำดูเหมือนจะพุ่งแรงไม่หยุด แล้วมันจะขึ้นต่อไหมและทองมันขึ้นไปถึงเท่าไร
คงไม่มีใครตอบได้จริงๆ หรอกครับแต่ผมจะมาเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาทองขึ้นแรงอย่างคร่าวๆให้ได้อ่านกันครับ
ในมุมมองผมมองว่าน่าจะเป็นอยู่ 3 ประเด็นใหญ่ๆ ที่ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกนั้นขึ้นมาแรงภายในเดือนเดียวที่ผ่านมา
ข้อแรกเลยคือ Trade War ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศเพิ่มอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศจีน เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการประกาศคำสั่งฉุกเฉิน ห้ามบริษัทสัญชาติอเมริกันใช้อุปกรณ์สื่อสารของต่างชาติที่ “อาจ” เป็นภัยความมั่นคง คำสั่งนั้นส่งผลให้อนาคตของ Huawei ดูเลวร้ายลงทันที เพราะหนึ่งในผลกระทบใหญ่คือระบบปฏิบัติการ Android บนมือถือที่จะได้รับผลกระทบในไม่ช้า และที่สำคัญการถูกแบนในครั้งนี้ยังส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ตั้งแต่ราคารับซื้อมือถือที่ลดลงอย่างมากในอังกฤษ หรืออย่างล่าสุดที่มีข่าวลือซึ่งระบุว่า Huawei มียอดขายตกลงมาก จนบริษัทรับจ้างผลิตมือถืออย่าง Foxconn ต้องหยุดไลน์ผลิตบางส่วนไปแล้ว สงครามครั้งนี้เป็นหนึ่งในภาพใหญ่ของ “สงครามการค้า” และ “สงครามเย็นไอที” ที่เรียกได้ว่าเปิดฉากอย่างเป็นทางการแล้วในปี 2019
ข้อถัดมาเกิดความไม่สงบในตะวันออกกลาง จากการเปิดฉากด้วยเหตุการณ์ที่มีคนร้ายยิงเรือ 2 ลำในช่องแคบฮอร์มุซ ในอ่าวโอมาน แล้วสหรัฐอเมริกาได้ออกมาแสดงท่าทีกล่าวหาว่าอิหร่านนั้นเป็นคนกระทำ ไม่นานนัก อิหร่านก็ตอบโต้ด้วยการยิงโดรนมูลค่า 5พันล้านบาทของสหรัฐอเมริกาด้วยขีปนาวุธพื้นดินสู่อากาศของอิหร่าน ทำให้สถานการณ์ทั้งสองประเทศเริ่มตึงเครียดอย่างรุนแรง ส่งผลให้ราคาน้ำมันก็ขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
และประเด็นสุดท้าย ทันทีที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ประกาศตัวว่า Facebook จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองชื่อว่า Libra แล้วมีองค์กรเอกชนรายใหญ่ระดับโลกตอบรับอย่างทันที 27 องกรค์ และสัญญาว่าจะร่วมมือและลงขันด้วยนั้น ความมั่นคงทางการเงินของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มสั่นคลอนทันที ร่วมถึงประเทศไทยเองก็ด้วยเพราะทางธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็มีแนวคิดเรื่องเงินดิจิทัลอยู่เหมือนกันนั้นคือ โครงการอินทนนท์ ครับ แล้วการที่มี Libra จะมากระทบราคาทองได้อย่างไร? มาร์ก ซักเคอร์เบร์ก ได้บอกไว้ข้อหนึ่งว่า Libra จะเป็นเงินสกุลดิจิทัลที่มีมูลค่าคงที่ (stabl coin) คือจะมีสินทรัพย์หนุนหลังในทุก ๆ เหรียญที่ผลิตออกใช้ และสินทรัพย์ที่หนุนหลัง Libra จะเป็นแบบตะกร้าเงินหลายสกุล เท่ากับว่าเงินจะเพิ่มในอีกโลกคือโลกไซเบอร์แต่โลกแห่งความจริง เงินจะหายไป ถ้าโลกแห่งความจริงจะผลิตเงินเพิ่ม ธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศก็จะต้องใช้ทองหนุนหลัง เท่ากับว่าทองคำจะกลายเป็นสิ่งของที่มีความต้องการซื้อเพิ่มสูงขึ้นนั้นเองครับ
ซึ่งแค่หนึ่งเดือนที่ผ่านมาราคาทองนั้นพุ่งขึ้นมาถึง 8% อาจจะเป็นการเก็งกำไรและการโยกย้ายเงินไปสู่สินทรัพย์ที่ปลอดภัยของกองทุนใหญ่ๆจากเหตุการณ์ที่ไม่ปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ในมุมมองของผม มองว่าราคาทองคำนั้นยังสามารถมีราคาขึ้งสูงต่อไปได้อีก และอาจจะมีการทำ NEW HIGH หรือ ALL TIME HIGH ในไม่ช้านี้ครับ
หมายเหตุ : บทความข้างต้นเขียนขึ้นด้วยข้อมูลที่รวบรวมมาหลายๆแห่งและใส่ความคิดของตัวผู้เขียนเอง ไม่ได้นำไปใช่ในด้านธุรกิจแต่อย่างใด ฉะนั้นผู้เขียนไม่ขอรับผิดชอบใดๆจากการเอาไปใช้ต่อนะครับ