สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกที่เราสร้างขึ้นหลังจากผ่าตัดทอทซิลออกเรียบร้อย หากเขียนอะไรผิดพลาดก็ขอ อภัย ล่วงหน้าค่ะ กระทู้นี้จะค่อนข้างยาวมาก555 ถ้าอยากแค่ดูวิธีดูแลตัวเองก็เลื่อนไปล่างสุดได้เลยค่ะ
**กระทู้นี้เราไม่มีความเจตนาที่จะทำให้คนที่จะผ่าเกิดความกลัวหรืออะไรนะคะ แต่อยากแค่แชร์เคสที่มันเกิดขึ้นน้อยกับตัวเราเท่านั้นค่ะ**
เนื่องจากเราพยายามหาข้อมูลในการผ่าตัดและการรักษาตัวเองหลังผ่าตัดทั้งไทยและอังกฤษ เรากลับพบว่าเมืองไทยแทบไม่ค่อยมีคนรีวิวการผ่าตัดและวิธีดูแลเท่าไหร่นัก เราเลยอยากสร้างกระทู้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นทั้งที่กำลังจะผ่า หรือ กำลังตัดสินใจที่จะผ่าค่ะ ในการรีวิวนี้เราคงไม่แชร์วิธีที่คนหมอผ่าแบบละเอียดมากนะคะ จะค่อนข้างไปทางการดูแลตัวเอง และความรู้สึกหลังผ่ามากกว่า- งั้นเรามาเริ่มกันเลยค่ะ
++พื้นฐาน++
ตั้งแต่เด็กเราเป็นคนที่ไม่สบายบ่อยมากกกกกกกกกก โดยเฉพาะทอมซิลอักเสบ คุณหมอแนะนำคุณพ่อคุณแม่เราให้เราผ่าตั้งแต่เด็กๆ เพราะเป็นแทบเดือนเว้นเดือน เข้าโรงพยาบาลกินยาแก้อักเสบบ่อยมากๆ แต่ด้วยความที่เรากลัวก็ยื้อมาเรื่อยๆ(ซึ่งน่าจะผ่าตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะจริงๆแล้วถ้าผ่าตั้งแต่เด็กจะหายง่ายกว่าตอนเป็นผู้ใหญ่เยอะค่ะ -*-) จนพอโตมาย้ายมาอเมริกา ไม่สบายบ่อยเหมือนเดิมทอมซิลก็ยังอักเสบเหมือนเดิม กินยาแก้อักเสบเหมือนขนม แถมหนักเข้าเริ่มโดนฉีดยาแทน เราเลยรู้สึกว่าเอ้ยย ไม่น่าจะโอแล้วนะ + หมอบอกว่าผ่าเถอะ โอ้ มาย ก้อด มันใหญ่มากอีนาย 5555 (ตอนเจอกันแล้วหมอเช็คทอมซิลหมอพูดแบบนั้นจริงๆค่ะ ว่า omg its huge!!) ก็เลยรวบรวมเงินและกำลังใจ ผ่าตัด เอาวะ ลองดู ด้วยความมีคนรอบข้างที่รู้จักผ่ามาก่อน เราได้ยินมาแต่คำว่ามันจะเจ็บนะ มันจะเจ็บมาก มันจะเจ็บมากๆๆ เพื่อนคนนึงเคยผ่าและต้องให้ยาแบบสวนก้นเอา นี่ก็เครียดดดด ไม่อยากทำๆ ขนาดหมอที่ผ่าตัดเรายังมาพูดกับเราตรงๆว่า มันจะเจ็บมากๆนะ ก็ใจแป้ว พอยิ่งใกล้ถึงวันผ่ายิ่งหลอน อยากเลื่อน เริ่มหาเหตุผลอยากเลื่อนๆๆไม่ทำแล้ว แต่หมอบอก ทำเถอะ เพราะของยูมันใหญ่มากแล้วทำให้เรากรนดังและนอนไม่สนิทและมีอาการเป็น sleep apnea เราเลยก็ได้ๆ ลองกัดฟันดู
++preop & operation day++
วันที่ต้องทำpreopก็ไม่มีอะไรมากค่ะ ที่อเมริกาหมอจะนัดมาก่อนประมาณอาทิตย์นึงเพื่อให้มาจ่ายเงิน+มาดูทอมซิลคุยกะหมอก่อนผ่า ก็ไม่มีอะไรมาก แค่หมอบอกว่ามันจะเจ็บ ..ค่ะ เจ็บก็เจ็บค่ะ ที่เหลือก็ทั่วไปห้ามกิน ibruphofen 1 อาทิตย์ ห้ามกินข้าว ห้ามกินน้ำก่อนผ่าหลังเที่ยงคืน ประมาณนี้ค่ะ
วันผ่าหมอนัดเจอตอน 9 เช้าค่ะไปถึง 8.30 พอดี ตื่นเต้นมาก พอไปถึงก็เช็คอิน สักพักพยาบาลเรียกเข้าห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่ที่คลุมผม เจาะน้ำเกลือ ซึ่งไม่รู้เพราะอะไรต้องฉีดยาชาก่อนค่ะซึ่งมันเจ็บมากก แล้วถึงแทงน้ำเกลือ ตอนนั้นก็เริ่มเบลอๆละ เพราะเป็นคนกลัวเข็ม และมีที่นวดขาสองข้าง เห็นบอกว่าไว้ circulate blood เราก็โอเคค่ะๆ สักพักก็เรียกแฟนเข้ามานั่งด้วย รอประมาณ15นาที หมอแต่ละคนเริ่มมาแนะนำตัวค่ะ เช่นจะมีพยาบาลเดินมาแนะนำว่าเขาจะมาดูแลระหว่างผ่าตัดนะ คนนี้เป็นคนวางยาสลบนะ พอแนะนำเสร็จถึงเวลาค่ะ เข็นเตียงเราเข้าห้องผ่าตัด แล้วย้ายเตียงค่ะ ขึ้นไปบนที่ผ่าจะเป็นเตียงแคบๆ แบบมากๆค่ะ แต่พอดีตัวเรา สักพักได้ยินพยาบาลบอกว่าฉีดยาสลบแล้วนะให้นับเลข เรานับ ได้ 1 2 ก็...หลับค่ะ ตัดภาพมาคือเราตื่นพยาบาลมาปลุกค่ะ มีท่อหายใจตรงจมูก เราก็งัวเงียๆ พยาบาลถามความเจ็บอยู่ระดับไหน ตอนนั้นมันอึนๆ แต่รู้แหละว่าอีกสักพักต้องเจ็บมากๆ เลยทอแหลไปว่า ระดับแปดค่ะ 555 พยาบาลก็ฉีดยาให้ผ่านสายน้ำเกลือค่ะ
แล้วก็มาถามเราเอาน้ำแข็งไหม มาเคี้ยวๆ เราก็บอกเอาๆ เพราะตอนนั้นคอแห้งค่ะ เจ็บคอประมาณนึงแต่ทนได้ สักพักพยาบาลก็ถามว่ากินยาแก้ปวดได้ไหม เราก็บอกได้ เขาก็เลยให้ยาเรามากิน อีกประมาณ10 นาที ก็เรียกแฟนเราเข้ามาค่ะ แล้วก็เริ่มดึงสายน้ำเกลือ พาไปนั่งรอตรงที่นั่ง ตอนนั้นประมาณบ่ายสอง บ่ายสามค่ะ แล้วเราก็นั่งแค่อีก15นาที แล้วก็กลับบ้านค่ะ.. ใช่ค่ะ กลับบ้าน 555 ที่อเมริกาไม่มีนอนต่อที่โรงพยาบาลค่ะ กลับมาพักผ่อนดูแลตัวเองที่บ้าน.
++วันแรกและวันที่สองหลังผ่าตัด++
หลังจากกลับมาถึงบ้านเราง่วงค่ะ บอกให้แฟนเตรียมน้ำเย็นไว้ข้างๆ แล้วให้เปิดเครื่องทำความชื้นไว้ ให้ตั้งนาฬิกาปลุก ทุกๆชั่วโมงเพื่อกินน้ำ และ ทุกๆ 4 ชม เพื่อกินยาแก้ปวด ทำแบบนี้ 24ชม ค่ะ เราไปอ่านจากหลายๆแห่ง กลับพบว่า มันจะยิ่งเจ็บมากๆๆถ้าเราปล่อยให้แผลมันแห้ง ซึ่งมันไม่ค่อยคุ้มกะการเจ็บที่เราอาจต้องเจอค่ะ ปกติมีแต่ผ่าตัดต้องพักผ่อนเยอะๆถึงหายไว อันนี้ไม่ใช่ค่ะ ตรงข้าม ต้องคอยตื่นมาจิบน้ำเพื่อให้แผล และ scab จะเป็นเยื่อสีขาวๆที่มาแทนตรงที่ทอมซิลหายไป ให้มันชุ่มชื้นไม่แห้งค่ะ ไม่งั้นอาจจะเลือดออก วันแรกและวันที่สองเราพยายามทานอาหารเด็กค่ะ เป็นพวกแอปเปิ้ลซอส น้ำแข็ง และน้ำเย็นค่ะ วันแรกและวันที่สองเจ็บไหม เจ็บค่ะ แต่ทนไหว ไม่มาก คิดว่าเพราะยาที่หมอฉีดมันยังอยู่ในเส้นเลือดค่ะ
++วันที่3 วันที่4-หลังผ่าตัด++
ความเจ็บเริ่มเพิ่ม โอโห้ ร้าวจากคอไปถึงหู ง่วง เพลีย จากการที่ต้องตื่นมาทานน้ำตลอด หลอนกับเสียงนาฬิกาปลุกมาก เราเริ่มทานข้าววันที่4ไม่ได้ค่ะ และน้ำตาเริ่มร่วงจากความเจ็บ เราเคยอ่านมาว่าการผ่าตัดทอมซิลความเจ็บจะแล้วแต่คน บางคนบางวันกินอะไรเย็นๆไม่ได้เลยจะเจ็บมาก ต้องกินน้ำอุณภูหมิธรรมดา หรืออุ่นๆ หรือบางวันจะเป็นอีกแบบ ซึ่งตลอดการรักษาของเราเรากินได้แต่อะไรที่เย็นจนถึงเย็นจัดค่ะ จะสบาย ส่วนความเจ็บจะขึ้นสุดลงสุด บางวันเหมือนจะหาย แต่ก็กลับมาเจ็บอีกรอบ แล้วเท่าที่ research มาคือ ก่อนที่จะหายเนี่ย ความเจ็บมันจะทวีคูณแบบเจ็บมากๆ แล้วก็ดีขึ้นไปเลย ซึ่งวันที่4เรานอยค่ะ เพราะสำหรับเราวันที่4มันเจ็บแล้วนะ มันเจ็บอีกหรอนี่คือกินข้าวไม่ได้แล้ว กินได้แต่น้ำ อารมณ์เหมือนมีแผลแล้วเอาเกลือโรยเวลากลืน โดยที่เราหารู้ไม่ว่าความซวยยิ่งกว่ากำลังมาเยือน
++วันที่5-6-7++
ความเจ็บสามวันนี้ สุดยอดมากกกกกกกกกกกกกกกกก โอโห้ เจ็บสำหรับเราในทีนี้คือร้องไห้ค่ะ ซึ่งปกติเราไม่ร้องไห้ง่าย ร้องเพราะมันทรมานมากๆ คอเหมือนมีไฟ มันร้อน มันแสบ เวลากลืนน้ำลายนี่ อือหื้อออ เหมือนมีแผลแล้วเอามีดแทงๆๆลงตรงนั้น ส่วนหูนั้นเหมือนมีคนเอาไขขวงมาแทง มันเต้นตุ้บๆๆ และปวดมากๆ ทำให้เราไม่สามารถกินน้ำได้บ่อยแบบที่เคยกินเพราะพอจะกลืนทีมันจะเจ็บ แล้ววันที่5กับวันที่6 เราดันเป็นไข้สูง พุ่งไปถึง40กว่า คือตื่นมาปากสั่น ฟันกระทบกึกๆๆๆๆ บอกแฟนหนาวๆๆๆๆ หนาวมากๆๆ เลยต้องกินยาแก้ไข้ ทรมานกว่าเดิมไปอีกกก พอวันที่7เราไข้ลด ไม่มีไข้ มีแต่ความเจ็บปวด คิดไปว่าเอ้อน่าจะดีขึ้นแล้วแหละ หารู้ไม่...
++วันที่8++
เราตื่นมาตอนหกโมงเช้าโดยอาการคันคอค่ะ เราเริ่มไอ ไอตั้งแต่ตอนหกโมง ทีนี้นอนไปด้วยไอไปหลับไป จนน่าจะประมาณ 9 โมงเช้ากว่าๆ เริ่มไอหนักขึ้น มีจังหวะนึงมันไอแรง สักพักเรารู้สึกเหมือนมีน้ำก้อกเปิดตรงคอเราอะค่ะ เป็นน้ำไหลลงคอไป ไหลโจ้กๆเลยค่ะ เราก็กลืนๆจนเรางงว่ามันคืออะไร รีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ จังหวะที่หน้าถึงอ่างล้างหน้าแล้วเราอ้าปากสิ่งที่ไหลออกมาคือ เลือดค่ะ .. ใช่ค่ะ เลือดสดๆๆ ไหลกระอักออกจากคอมาที่ปากเรา เยอะมาก ย้ำว่าเยอะมากกก ต้องนั้นอึ้งไป 5 วิ รีบร้องหาแฟน แล้วให้แฟนโทรที่โรงพยาบาลด่วนค่ะ ระหว่างนั้นคือเลือดไหลออกมาตลอด มีลื่มเลือดออกมาด้วยเราเป็นคนดึงออกมา จังหวะนั้นคืออ่างล้างหน้าเต็มไปด้วยเลือด ตอนนั้นคือเราจะร้องไห้ เอาจริงๆคือสติแตกไปแล้ว หมอก็เลยให้ไปหาหมอทันทีที่โรงพยาบาลค่ะ ก่อนเราออกจากบ้านเหมือนลื่มเลือดหรืออะไรเนี่ยมันไปอุดแผลทำให้เลือดหยุดลงแต่กลายเป็นว่าเราไม่กล้าอ้าปากไม่กล้าทำอะไร แล้วกลิ่นเลือดติดตรงจมูกเราแทบอ้วก รสชาติหรืออะไรอย่าให้พูด ไปถึงโรงพยาบาลหมอบอกต้องวางยาสลบอีกรอบ แล้วใช้ตัวเคมีอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ จี้ให้แผลปิด เราตกลงทันที พอเราเข้าไปที่โรงพยาบาล พยาบาลมาพูดว่าเราน่าสงสารๆ เราถึงมารู้จากปากหมอกับพยาบาลว่า เคสที่ผ่าทอมซิลแล้วมีเลือดทะลักหลังผ่าไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกันง่ายๆ คือหายาก หมอบอกเคสล่าสุดสำหรับหมอก็3ปีก่อนนู้นนนน ผ่านมาหลายร้อยคนอีนี่เป็นคนล่าสุด จ้ะ แล้วแต่จ้ะ อารมณ์นั้นคือสติแตกให้ลูกหายสักทีเถอะ ตอนนั้นมีแต่ความคิดไม่น่าผ่าเลยอะ 5555 รู้สึกคิดผิด พอหมอปิดแผล ทำความสะอาด ก็เหมือนเดิม พยาบาลปลุกแล้วเราก็กลับบ้าน
กลายเป็นว่า เหมือนมีความโชคดีในความโชคร้าย เพราะพอหมอทำความสะอาด ปิดแผล ความเจ็บเราลดลงไป 70% คือก่อนหน้าหมอวางยาสลบเราก็ถามแล้วแหละว่าถ้าเข้าอีกรอบนึง มันจะเหมือนรีเซ็ทการรักษาที่ผ่านมาอย่างยากลำบากไหม หมอบอกไม่ ก็คือเหมือนรักษา วันที่ 9 วันที่10 ปกติ เลยกลายเป็นว่าหลังเข้าโรงพยาบาลดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยาแก้ปวดก็ไม่ต้องกินแล้ว แถมยาแก้ปวดที่หมอให้มาเราไม่เคยชอบเลย เพราะมันแรงมากก แล้วต้องกินยาอีกตัวกันแก้อาเจียนด้วย รู้สึกมันเยอะเกินไป วันที่ 9 10 สำหรับเรา ชิวเลย กินน้ำได้ กินโจ้กเย็นๆได้ ไม่ค่อยเจ็บแล้ว วันที่ 11 หมอก็นัดดูแผลแล้วก็บอกดีแล้ว โอเคแล้ว เราเลยถามหมอว่ากินอาหารปกติได้เมื่อไหร่ หมอบอกไม่เจ็บเมื่อไหร่ก็กินได้เลย ทำให้เราอารมณ์ดีม้ากก เพราะเราน้ำหนักลดไป5-6โล ภายในอาทิตย์กว่าๆ
ก็นี้แหละค่ะ ประสบการณ์ของเรา เอาไว้เป็นตัวอย่าง ที่เราตั้งไม่ได้มีเจตนาให้คนทำกลัวขึ้นไปอีก เพราะอย่างที่บอกค่ะ บางคนเขาไม่เจ็บเลยด้วยซ้ำ และเคสเราเป็นเคสที่ดันมีเลือดออก แต่ถ้าถามว่าคุ้มไหม เราว่าคุ้มค่ะ เพราะจนถึงตอนนี้เรารู้สึกว่าเราหลับลึก หายใจง่ายกว่าเดิมมากๆๆ
++วิธีการดูแลรักษาตัวเอง++
1. ปกติเราจะได้ยินกันว่า ผ่าตัดทอมซิลจะได้กินไอติมใช่ไหมคะ จากประสบการณ์ของเราคือไม่ควรค่ะ!!! อะไรก็ตามที่เป็นไอติม มี นม โยเกิต มันระคายคอมากๆๆๆ และทำให้แผลเจ็บกว่าเดิม อันนี้แล้วแต่คนนะคะ แต่ของเราคือไม่รอด
2.หมอแนะนำว่าไม่ควรกินพวกน้ำส้ม น้ำมะนาว เพราะมันจะเป็นกรดทำให้ระคายแผลค่ะ
3.ช่วงแรกๆควรทานแต่ของเย็นๆค่ะ ไม่ว่าน้ำเย็น น้ำแข็ง น้ำแอปเปิ้ล ของร้อนไม่ควรทานช่วงแรกๆนะคะ
4.ช่วงแรกที่เราผ่าตัด เราพยายามปลุกตัวเองทุกๆ 1 ชม เพื่อมากินน้ำค่ะ อันนี้ไม่ต้องขนาดเราก็ได้ แต่ว่าสำหรับเรา เราว่ามันช่วยมากๆ
5.ช่วงแรกๆควรกินยาแก้ปวดตามโดสที่หมอสั่งค่ะ เราเคยอ่านว่าให้ดักความเจ็บไว้ก่อน ดีกว่ามานั่งไล่ตามความเจ็บ
6.ควรกินน้ำ กินน้ำ กินน้ำ กินน้ำ และกินน้ำให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ เรากินที4-5ลิตรต่อวัน เพราะไม่สามารถทานข้าวได้
7.ด้วยความที่กินยาแก้ปวดเยอะ คือทุกๆ4ชม อาทิตย์กว่า จะทำให้อุจจะระแข็ง และ อึไม่ออกค่ะ หมอก็แนะนำให้ทานยา stool softener ซึ่งสำหรับเราอันนี้ทรมานมากๆๆๆ
8.ควรพักค่ะ ไม่ควรออกนอกบ้าน เพราะจะติดเชื้อง่ายและหลังผ่าตัดตรงแผลจะค่อนข้างบอบบางมากๆ แถมต้องคอยตื่นมาทานน้ำอีก จะนอนทั้งวันค่ะ
9. อาหารที่ควรทานควรเป็นพวกเจลโล่ อาหารเด็กแช่เย็น หรืออะไรปั่นๆเลี่ยงพวกส้ม มะนาว สัปปะรด หรือเอาโจ้กแช่เย็นก็ได้ค่ะ
10.คอยมีเครื่องทำความชื้นไว้ใกล้ๆหัวเลยค่ะ เปิดตอนนอน จะช่วยให้มันมีความชุ่มชื้นที่แผลบ้าง ของเราเปิด24ชม
11.ควรมีถุงเย็นไว้ประคบที่คอค่ะ เวลาปวดๆจะช่วยได้มาก เราจะประคบบ่อยช่วงเเรกๆ
12.แนะนำนอนหมอสูงสองใบค่ะ เพราะจะทำให้หายใจสะดวกกว่า อันนี้ความเห็นส่วนตัว 555
13.พยายามพูดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะพูดได้ค่ะ เราพบว่าการที่เราไม่พูดมันสบายหูแฟน เอ๊ะไม่ใช่ 555 สบายคอเรามากกว่าตอนเราพูด
++แชร์ประสบการณ์ผ่าตัดทอมซิลที่อเมริกา+วิธีดูแลตัวเอง++
**กระทู้นี้เราไม่มีความเจตนาที่จะทำให้คนที่จะผ่าเกิดความกลัวหรืออะไรนะคะ แต่อยากแค่แชร์เคสที่มันเกิดขึ้นน้อยกับตัวเราเท่านั้นค่ะ**
เนื่องจากเราพยายามหาข้อมูลในการผ่าตัดและการรักษาตัวเองหลังผ่าตัดทั้งไทยและอังกฤษ เรากลับพบว่าเมืองไทยแทบไม่ค่อยมีคนรีวิวการผ่าตัดและวิธีดูแลเท่าไหร่นัก เราเลยอยากสร้างกระทู้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นทั้งที่กำลังจะผ่า หรือ กำลังตัดสินใจที่จะผ่าค่ะ ในการรีวิวนี้เราคงไม่แชร์วิธีที่คนหมอผ่าแบบละเอียดมากนะคะ จะค่อนข้างไปทางการดูแลตัวเอง และความรู้สึกหลังผ่ามากกว่า- งั้นเรามาเริ่มกันเลยค่ะ
++พื้นฐาน++
ตั้งแต่เด็กเราเป็นคนที่ไม่สบายบ่อยมากกกกกกกกกก โดยเฉพาะทอมซิลอักเสบ คุณหมอแนะนำคุณพ่อคุณแม่เราให้เราผ่าตั้งแต่เด็กๆ เพราะเป็นแทบเดือนเว้นเดือน เข้าโรงพยาบาลกินยาแก้อักเสบบ่อยมากๆ แต่ด้วยความที่เรากลัวก็ยื้อมาเรื่อยๆ(ซึ่งน่าจะผ่าตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะจริงๆแล้วถ้าผ่าตั้งแต่เด็กจะหายง่ายกว่าตอนเป็นผู้ใหญ่เยอะค่ะ -*-) จนพอโตมาย้ายมาอเมริกา ไม่สบายบ่อยเหมือนเดิมทอมซิลก็ยังอักเสบเหมือนเดิม กินยาแก้อักเสบเหมือนขนม แถมหนักเข้าเริ่มโดนฉีดยาแทน เราเลยรู้สึกว่าเอ้ยย ไม่น่าจะโอแล้วนะ + หมอบอกว่าผ่าเถอะ โอ้ มาย ก้อด มันใหญ่มากอีนาย 5555 (ตอนเจอกันแล้วหมอเช็คทอมซิลหมอพูดแบบนั้นจริงๆค่ะ ว่า omg its huge!!) ก็เลยรวบรวมเงินและกำลังใจ ผ่าตัด เอาวะ ลองดู ด้วยความมีคนรอบข้างที่รู้จักผ่ามาก่อน เราได้ยินมาแต่คำว่ามันจะเจ็บนะ มันจะเจ็บมาก มันจะเจ็บมากๆๆ เพื่อนคนนึงเคยผ่าและต้องให้ยาแบบสวนก้นเอา นี่ก็เครียดดดด ไม่อยากทำๆ ขนาดหมอที่ผ่าตัดเรายังมาพูดกับเราตรงๆว่า มันจะเจ็บมากๆนะ ก็ใจแป้ว พอยิ่งใกล้ถึงวันผ่ายิ่งหลอน อยากเลื่อน เริ่มหาเหตุผลอยากเลื่อนๆๆไม่ทำแล้ว แต่หมอบอก ทำเถอะ เพราะของยูมันใหญ่มากแล้วทำให้เรากรนดังและนอนไม่สนิทและมีอาการเป็น sleep apnea เราเลยก็ได้ๆ ลองกัดฟันดู
++preop & operation day++
วันที่ต้องทำpreopก็ไม่มีอะไรมากค่ะ ที่อเมริกาหมอจะนัดมาก่อนประมาณอาทิตย์นึงเพื่อให้มาจ่ายเงิน+มาดูทอมซิลคุยกะหมอก่อนผ่า ก็ไม่มีอะไรมาก แค่หมอบอกว่ามันจะเจ็บ ..ค่ะ เจ็บก็เจ็บค่ะ ที่เหลือก็ทั่วไปห้ามกิน ibruphofen 1 อาทิตย์ ห้ามกินข้าว ห้ามกินน้ำก่อนผ่าหลังเที่ยงคืน ประมาณนี้ค่ะ
วันผ่าหมอนัดเจอตอน 9 เช้าค่ะไปถึง 8.30 พอดี ตื่นเต้นมาก พอไปถึงก็เช็คอิน สักพักพยาบาลเรียกเข้าห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่ที่คลุมผม เจาะน้ำเกลือ ซึ่งไม่รู้เพราะอะไรต้องฉีดยาชาก่อนค่ะซึ่งมันเจ็บมากก แล้วถึงแทงน้ำเกลือ ตอนนั้นก็เริ่มเบลอๆละ เพราะเป็นคนกลัวเข็ม และมีที่นวดขาสองข้าง เห็นบอกว่าไว้ circulate blood เราก็โอเคค่ะๆ สักพักก็เรียกแฟนเข้ามานั่งด้วย รอประมาณ15นาที หมอแต่ละคนเริ่มมาแนะนำตัวค่ะ เช่นจะมีพยาบาลเดินมาแนะนำว่าเขาจะมาดูแลระหว่างผ่าตัดนะ คนนี้เป็นคนวางยาสลบนะ พอแนะนำเสร็จถึงเวลาค่ะ เข็นเตียงเราเข้าห้องผ่าตัด แล้วย้ายเตียงค่ะ ขึ้นไปบนที่ผ่าจะเป็นเตียงแคบๆ แบบมากๆค่ะ แต่พอดีตัวเรา สักพักได้ยินพยาบาลบอกว่าฉีดยาสลบแล้วนะให้นับเลข เรานับ ได้ 1 2 ก็...หลับค่ะ ตัดภาพมาคือเราตื่นพยาบาลมาปลุกค่ะ มีท่อหายใจตรงจมูก เราก็งัวเงียๆ พยาบาลถามความเจ็บอยู่ระดับไหน ตอนนั้นมันอึนๆ แต่รู้แหละว่าอีกสักพักต้องเจ็บมากๆ เลยทอแหลไปว่า ระดับแปดค่ะ 555 พยาบาลก็ฉีดยาให้ผ่านสายน้ำเกลือค่ะ
แล้วก็มาถามเราเอาน้ำแข็งไหม มาเคี้ยวๆ เราก็บอกเอาๆ เพราะตอนนั้นคอแห้งค่ะ เจ็บคอประมาณนึงแต่ทนได้ สักพักพยาบาลก็ถามว่ากินยาแก้ปวดได้ไหม เราก็บอกได้ เขาก็เลยให้ยาเรามากิน อีกประมาณ10 นาที ก็เรียกแฟนเราเข้ามาค่ะ แล้วก็เริ่มดึงสายน้ำเกลือ พาไปนั่งรอตรงที่นั่ง ตอนนั้นประมาณบ่ายสอง บ่ายสามค่ะ แล้วเราก็นั่งแค่อีก15นาที แล้วก็กลับบ้านค่ะ.. ใช่ค่ะ กลับบ้าน 555 ที่อเมริกาไม่มีนอนต่อที่โรงพยาบาลค่ะ กลับมาพักผ่อนดูแลตัวเองที่บ้าน.
++วันแรกและวันที่สองหลังผ่าตัด++
หลังจากกลับมาถึงบ้านเราง่วงค่ะ บอกให้แฟนเตรียมน้ำเย็นไว้ข้างๆ แล้วให้เปิดเครื่องทำความชื้นไว้ ให้ตั้งนาฬิกาปลุก ทุกๆชั่วโมงเพื่อกินน้ำ และ ทุกๆ 4 ชม เพื่อกินยาแก้ปวด ทำแบบนี้ 24ชม ค่ะ เราไปอ่านจากหลายๆแห่ง กลับพบว่า มันจะยิ่งเจ็บมากๆๆถ้าเราปล่อยให้แผลมันแห้ง ซึ่งมันไม่ค่อยคุ้มกะการเจ็บที่เราอาจต้องเจอค่ะ ปกติมีแต่ผ่าตัดต้องพักผ่อนเยอะๆถึงหายไว อันนี้ไม่ใช่ค่ะ ตรงข้าม ต้องคอยตื่นมาจิบน้ำเพื่อให้แผล และ scab จะเป็นเยื่อสีขาวๆที่มาแทนตรงที่ทอมซิลหายไป ให้มันชุ่มชื้นไม่แห้งค่ะ ไม่งั้นอาจจะเลือดออก วันแรกและวันที่สองเราพยายามทานอาหารเด็กค่ะ เป็นพวกแอปเปิ้ลซอส น้ำแข็ง และน้ำเย็นค่ะ วันแรกและวันที่สองเจ็บไหม เจ็บค่ะ แต่ทนไหว ไม่มาก คิดว่าเพราะยาที่หมอฉีดมันยังอยู่ในเส้นเลือดค่ะ
++วันที่3 วันที่4-หลังผ่าตัด++
ความเจ็บเริ่มเพิ่ม โอโห้ ร้าวจากคอไปถึงหู ง่วง เพลีย จากการที่ต้องตื่นมาทานน้ำตลอด หลอนกับเสียงนาฬิกาปลุกมาก เราเริ่มทานข้าววันที่4ไม่ได้ค่ะ และน้ำตาเริ่มร่วงจากความเจ็บ เราเคยอ่านมาว่าการผ่าตัดทอมซิลความเจ็บจะแล้วแต่คน บางคนบางวันกินอะไรเย็นๆไม่ได้เลยจะเจ็บมาก ต้องกินน้ำอุณภูหมิธรรมดา หรืออุ่นๆ หรือบางวันจะเป็นอีกแบบ ซึ่งตลอดการรักษาของเราเรากินได้แต่อะไรที่เย็นจนถึงเย็นจัดค่ะ จะสบาย ส่วนความเจ็บจะขึ้นสุดลงสุด บางวันเหมือนจะหาย แต่ก็กลับมาเจ็บอีกรอบ แล้วเท่าที่ research มาคือ ก่อนที่จะหายเนี่ย ความเจ็บมันจะทวีคูณแบบเจ็บมากๆ แล้วก็ดีขึ้นไปเลย ซึ่งวันที่4เรานอยค่ะ เพราะสำหรับเราวันที่4มันเจ็บแล้วนะ มันเจ็บอีกหรอนี่คือกินข้าวไม่ได้แล้ว กินได้แต่น้ำ อารมณ์เหมือนมีแผลแล้วเอาเกลือโรยเวลากลืน โดยที่เราหารู้ไม่ว่าความซวยยิ่งกว่ากำลังมาเยือน
++วันที่5-6-7++
ความเจ็บสามวันนี้ สุดยอดมากกกกกกกกกกกกกกกกก โอโห้ เจ็บสำหรับเราในทีนี้คือร้องไห้ค่ะ ซึ่งปกติเราไม่ร้องไห้ง่าย ร้องเพราะมันทรมานมากๆ คอเหมือนมีไฟ มันร้อน มันแสบ เวลากลืนน้ำลายนี่ อือหื้อออ เหมือนมีแผลแล้วเอามีดแทงๆๆลงตรงนั้น ส่วนหูนั้นเหมือนมีคนเอาไขขวงมาแทง มันเต้นตุ้บๆๆ และปวดมากๆ ทำให้เราไม่สามารถกินน้ำได้บ่อยแบบที่เคยกินเพราะพอจะกลืนทีมันจะเจ็บ แล้ววันที่5กับวันที่6 เราดันเป็นไข้สูง พุ่งไปถึง40กว่า คือตื่นมาปากสั่น ฟันกระทบกึกๆๆๆๆ บอกแฟนหนาวๆๆๆๆ หนาวมากๆๆ เลยต้องกินยาแก้ไข้ ทรมานกว่าเดิมไปอีกกก พอวันที่7เราไข้ลด ไม่มีไข้ มีแต่ความเจ็บปวด คิดไปว่าเอ้อน่าจะดีขึ้นแล้วแหละ หารู้ไม่...
++วันที่8++
เราตื่นมาตอนหกโมงเช้าโดยอาการคันคอค่ะ เราเริ่มไอ ไอตั้งแต่ตอนหกโมง ทีนี้นอนไปด้วยไอไปหลับไป จนน่าจะประมาณ 9 โมงเช้ากว่าๆ เริ่มไอหนักขึ้น มีจังหวะนึงมันไอแรง สักพักเรารู้สึกเหมือนมีน้ำก้อกเปิดตรงคอเราอะค่ะ เป็นน้ำไหลลงคอไป ไหลโจ้กๆเลยค่ะ เราก็กลืนๆจนเรางงว่ามันคืออะไร รีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ จังหวะที่หน้าถึงอ่างล้างหน้าแล้วเราอ้าปากสิ่งที่ไหลออกมาคือ เลือดค่ะ .. ใช่ค่ะ เลือดสดๆๆ ไหลกระอักออกจากคอมาที่ปากเรา เยอะมาก ย้ำว่าเยอะมากกก ต้องนั้นอึ้งไป 5 วิ รีบร้องหาแฟน แล้วให้แฟนโทรที่โรงพยาบาลด่วนค่ะ ระหว่างนั้นคือเลือดไหลออกมาตลอด มีลื่มเลือดออกมาด้วยเราเป็นคนดึงออกมา จังหวะนั้นคืออ่างล้างหน้าเต็มไปด้วยเลือด ตอนนั้นคือเราจะร้องไห้ เอาจริงๆคือสติแตกไปแล้ว หมอก็เลยให้ไปหาหมอทันทีที่โรงพยาบาลค่ะ ก่อนเราออกจากบ้านเหมือนลื่มเลือดหรืออะไรเนี่ยมันไปอุดแผลทำให้เลือดหยุดลงแต่กลายเป็นว่าเราไม่กล้าอ้าปากไม่กล้าทำอะไร แล้วกลิ่นเลือดติดตรงจมูกเราแทบอ้วก รสชาติหรืออะไรอย่าให้พูด ไปถึงโรงพยาบาลหมอบอกต้องวางยาสลบอีกรอบ แล้วใช้ตัวเคมีอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ จี้ให้แผลปิด เราตกลงทันที พอเราเข้าไปที่โรงพยาบาล พยาบาลมาพูดว่าเราน่าสงสารๆ เราถึงมารู้จากปากหมอกับพยาบาลว่า เคสที่ผ่าทอมซิลแล้วมีเลือดทะลักหลังผ่าไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกันง่ายๆ คือหายาก หมอบอกเคสล่าสุดสำหรับหมอก็3ปีก่อนนู้นนนน ผ่านมาหลายร้อยคนอีนี่เป็นคนล่าสุด จ้ะ แล้วแต่จ้ะ อารมณ์นั้นคือสติแตกให้ลูกหายสักทีเถอะ ตอนนั้นมีแต่ความคิดไม่น่าผ่าเลยอะ 5555 รู้สึกคิดผิด พอหมอปิดแผล ทำความสะอาด ก็เหมือนเดิม พยาบาลปลุกแล้วเราก็กลับบ้าน
กลายเป็นว่า เหมือนมีความโชคดีในความโชคร้าย เพราะพอหมอทำความสะอาด ปิดแผล ความเจ็บเราลดลงไป 70% คือก่อนหน้าหมอวางยาสลบเราก็ถามแล้วแหละว่าถ้าเข้าอีกรอบนึง มันจะเหมือนรีเซ็ทการรักษาที่ผ่านมาอย่างยากลำบากไหม หมอบอกไม่ ก็คือเหมือนรักษา วันที่ 9 วันที่10 ปกติ เลยกลายเป็นว่าหลังเข้าโรงพยาบาลดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยาแก้ปวดก็ไม่ต้องกินแล้ว แถมยาแก้ปวดที่หมอให้มาเราไม่เคยชอบเลย เพราะมันแรงมากก แล้วต้องกินยาอีกตัวกันแก้อาเจียนด้วย รู้สึกมันเยอะเกินไป วันที่ 9 10 สำหรับเรา ชิวเลย กินน้ำได้ กินโจ้กเย็นๆได้ ไม่ค่อยเจ็บแล้ว วันที่ 11 หมอก็นัดดูแผลแล้วก็บอกดีแล้ว โอเคแล้ว เราเลยถามหมอว่ากินอาหารปกติได้เมื่อไหร่ หมอบอกไม่เจ็บเมื่อไหร่ก็กินได้เลย ทำให้เราอารมณ์ดีม้ากก เพราะเราน้ำหนักลดไป5-6โล ภายในอาทิตย์กว่าๆ
ก็นี้แหละค่ะ ประสบการณ์ของเรา เอาไว้เป็นตัวอย่าง ที่เราตั้งไม่ได้มีเจตนาให้คนทำกลัวขึ้นไปอีก เพราะอย่างที่บอกค่ะ บางคนเขาไม่เจ็บเลยด้วยซ้ำ และเคสเราเป็นเคสที่ดันมีเลือดออก แต่ถ้าถามว่าคุ้มไหม เราว่าคุ้มค่ะ เพราะจนถึงตอนนี้เรารู้สึกว่าเราหลับลึก หายใจง่ายกว่าเดิมมากๆๆ
++วิธีการดูแลรักษาตัวเอง++
1. ปกติเราจะได้ยินกันว่า ผ่าตัดทอมซิลจะได้กินไอติมใช่ไหมคะ จากประสบการณ์ของเราคือไม่ควรค่ะ!!! อะไรก็ตามที่เป็นไอติม มี นม โยเกิต มันระคายคอมากๆๆๆ และทำให้แผลเจ็บกว่าเดิม อันนี้แล้วแต่คนนะคะ แต่ของเราคือไม่รอด
2.หมอแนะนำว่าไม่ควรกินพวกน้ำส้ม น้ำมะนาว เพราะมันจะเป็นกรดทำให้ระคายแผลค่ะ
3.ช่วงแรกๆควรทานแต่ของเย็นๆค่ะ ไม่ว่าน้ำเย็น น้ำแข็ง น้ำแอปเปิ้ล ของร้อนไม่ควรทานช่วงแรกๆนะคะ
4.ช่วงแรกที่เราผ่าตัด เราพยายามปลุกตัวเองทุกๆ 1 ชม เพื่อมากินน้ำค่ะ อันนี้ไม่ต้องขนาดเราก็ได้ แต่ว่าสำหรับเรา เราว่ามันช่วยมากๆ
5.ช่วงแรกๆควรกินยาแก้ปวดตามโดสที่หมอสั่งค่ะ เราเคยอ่านว่าให้ดักความเจ็บไว้ก่อน ดีกว่ามานั่งไล่ตามความเจ็บ
6.ควรกินน้ำ กินน้ำ กินน้ำ กินน้ำ และกินน้ำให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ เรากินที4-5ลิตรต่อวัน เพราะไม่สามารถทานข้าวได้
7.ด้วยความที่กินยาแก้ปวดเยอะ คือทุกๆ4ชม อาทิตย์กว่า จะทำให้อุจจะระแข็ง และ อึไม่ออกค่ะ หมอก็แนะนำให้ทานยา stool softener ซึ่งสำหรับเราอันนี้ทรมานมากๆๆๆ
8.ควรพักค่ะ ไม่ควรออกนอกบ้าน เพราะจะติดเชื้อง่ายและหลังผ่าตัดตรงแผลจะค่อนข้างบอบบางมากๆ แถมต้องคอยตื่นมาทานน้ำอีก จะนอนทั้งวันค่ะ
9. อาหารที่ควรทานควรเป็นพวกเจลโล่ อาหารเด็กแช่เย็น หรืออะไรปั่นๆเลี่ยงพวกส้ม มะนาว สัปปะรด หรือเอาโจ้กแช่เย็นก็ได้ค่ะ
10.คอยมีเครื่องทำความชื้นไว้ใกล้ๆหัวเลยค่ะ เปิดตอนนอน จะช่วยให้มันมีความชุ่มชื้นที่แผลบ้าง ของเราเปิด24ชม
11.ควรมีถุงเย็นไว้ประคบที่คอค่ะ เวลาปวดๆจะช่วยได้มาก เราจะประคบบ่อยช่วงเเรกๆ
12.แนะนำนอนหมอสูงสองใบค่ะ เพราะจะทำให้หายใจสะดวกกว่า อันนี้ความเห็นส่วนตัว 555
13.พยายามพูดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะพูดได้ค่ะ เราพบว่าการที่เราไม่พูดมันสบายหูแฟน เอ๊ะไม่ใช่ 555 สบายคอเรามากกว่าตอนเราพูด