ทำสัญญายอมรับสภาพหนี้ไปแล้ว แต่อยากยื่นต่อรอง เจรจาใหม่ (ลาออกจากราชการ)

สวัสดีครับ ขอทราบความเห็น หรือคำแนะนำตามสถานการณ์ต่อไปนี้ครับ

ผมเคยทำงานรับราชการกับหน่วยงานหนึ่ง และได้ทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายประมาณ ๓ ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่ากลับมาต้องทำงานใช้ทุน ๑๐ ปี ซึ่งผมลาออกก่อนที่จะใช้ทุนครบ (ทำงานไป ๓ ปี) ทำให้ต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวน ๓ เท่าของทุน หรือเกือบๆ ๙ ล้านบาท และเนื่องด้วยเงื่อนไขที่ว่า ถ้าจะลาออกต้องทำหนังสือสัญญายอมรับสภาพหนี้ก่อน บวกกับเวลาที่บีบให้ต้องรีบเข้าไปทำงานที่ใหม่ ผมจึงต้องยอมรับสภาพหนี้ไปก่อน ไม่เช่นนั้นจะลาออกไม่ได้ โดยได้ยอมรับหนี้เกือบ ๙ ล้านบาท และสัญญาว่าจะผ่อนให้หมดในระยะเวลา ๑๐ ปี ดอกเบี้ย ๗.๕ ต่อปี ขณะนี้ผ่อนไปแล้วเกือบ ๑ ปี 

อยากทราบว่า ผมอยากทำการต่อรองโดยจะขอชดใช้หนี้แค่จำนวน ๓ ล้าน (ตามค่าใช้จ่ายจริง) บวกกับดอกเบี้ย ๗.๕ ต่อปี จะมีวิธีการไหนบ้างไหมครับ ? เท่าที่ทราบ น่าจะต้องเขียนหนังสือไปที่กระทรวงการคลัง แต่รายละเอียดยังไม่แน่ใจ ใครมีความคิดเห็นเช่นไร ขอคำแนะนำด้วยครับ

*ผมไม่ได้มีเจตนาจะเบี้ยว หรือไม่จ่ายหนี้แต่อย่างใด เพียงแค่รู้สึกว่า การต้องชดใช้หนี้เกือบ ๙ ล้านบาท ดอก ๗.๕ โดยที่จริงๆ ผมใช้เงินในการไปเรียนแค่ ๓ ล้าน มันออกจะมากเกินไป และหนักพอสมควร แค่ดอกอย่างเดียวก็ตกเดือนละกว่าครึ่งแสนแล้วครับ T^T
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
ขอบคุณทุกท่านมากครับ ที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นกัน ขอให้ผมพูดอะไรบ้างแล้วกัน ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ลองอ่านดูนะครับ
- ใช่ครับ ผมเห็นแก่ตัวที่สุดท้ายเลือกงานใหม่ที่เงินมากกว่าที่เก่ากว่าสิบเท่าตัว แต่ทำไปด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
- ผมโดนระบบราชการทำร้ายมามากพอแล้วทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุนที่ตอนแรกระบุให้ไปเรียนสาขานึง แต่พอไปจริงๆ กลับโดนเปลี่ยนเป็นอีกสาขาโดยผมไม่มีทางเลือก(ไม่ตรงตามสัญญา) อีกทั้งวุฒิปริญญาตรีก็ไม่ได้ ทั้งๆที่ไปเรียนเกือบ ๖ ปี ต้องแบกเอาหน่วยกิตกว่าสองร้อยไปเทียบวุฒิเอาที่ สกอ. ได้มาเป็น ป.ตรี แบบไม่มีสาขา เพราะสิ่งที่ผมเรียนมันเฉพาะทางและไม่เหมือนกับสาขาอะไรเลย ผมเองก็พึ่งทราบว่ามันมีแบบนี้ด้วย ไหนจะกลับมา ก็มีปัญหาเรื่องเงินเดือน ผมทำงานฟรีแบบไม่มีเงินเดือนอยู่เกือบสองปี เพราะมีปัญหาเรื่องการทำเรื่องบรรจุ อยู่ด้วยเงินเก็บตนเองล้วนๆ โดยไม่ว่าจะไปตามเรื่องเท่าไร ก็ได้รับแต่เพียงคำตอบว่า เดี๋ยวทำให้ เดี๋ยวจัดการให้ จนในที่สุดผมต้องลางานไปนั่งเฝ้า จนท.ที่ทำเรื่องที่โต๊ะเค้าเอง โดยบอกว่า ถ้าทำไม่เสร็จ ผมจะมานั่งเฝ้าทุกวัน จนในที่สุดก็สำเร็จในอาทิตย์เดียว พอได้บรรจุ ได้เงินตกเบิกก็เสียภาษไปอีกหลายหมื่นทั้งๆที่ผมเป็นผู้เสียประโยชน์ ไม่ควรจะเสีย พอทำไปเรื่องขอคืนภาษี ก็มีแต่ปัญหา บอกเป็นเคสแปลก ไม่เคยเห็น ทำเอกสารวุ่นวายมากมายจนตอนนี้ผ่านมา ๒ ปี ยังได้รับแต่เพียงคำตอบที่ว่ากำลังพิจารณาอยู่, พี่ดูให้แล้วเรียบร้อยไม่มีปัญหา, เดี๋ยวก็ได้, ระบบล่มไว้มาใหม่ (คำพูดทั้งหมด จากการไปตามที่สรรพากรในแต่ละครั้ง) โดยในความเห็นผม ทุกปัญหาเกิดจากการทำงานอันไร้ประสิทธิภาพของตัวบุคคลในเรื่องการติดต่อประสานงานที่แย่ ความเอื่อยเฉื่อยของตัวระบบ ฯลฯ (ผมพึ่งมาทราบภายหลังว่า จนท.บางนายได้รับโทษ จากกรณีการทำเรื่องบรรจุให้ผมช้า เพราะทำเอกสารผิด แล้วไหนจะแก้แล้วก็ยังผิดอยู่มากกว่า ๕ รอบ ทำให้กินเวลากว่าเกือบ ๒ ปี) สุดท้ายตอนลาออก ก็โดนกลั่นแกล้งให้ชำระค่าเสียหายมากกว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากจริงๆแล้ว ผมต้องทำงานชดใช้ทุน ๑๐ ปี แต่ทำไป ๓ ปี หนี้ควรลดไป ๓๐ เปอร์เซน แต่ก็โดนการบิดเบือนการตีความสัญญาของผู้ใหญ่บางคน ทำให้หนี้ผมลดไปแค่ ๑๐ เปอร์เซน ทั้งๆที่ผมก็ไปคุยกับเค้ามาแล้ว เค้าก็รับปากว่าเป็นไปตามนั้น ลด ๓๐ เปอร์ แต่ลับหลังเค้าก็ทำอย่างเดิม จะด้วยเหตุผลอะไร ผมไม่ทราบ อาจจะเพราะตัวผมที่ค่อนข้าง Aggressive ในการเจรจา ต่อลอง ทำให้เค้าหมั่นไส้เอาแค่นั้น
- ตอนที่กลับมาไทยใหม่ๆ ผมอุดมการณ์แรงกล้ามาก อยากทำโน่นนี่นั่น เปลี่ยนแปลง พัฒนาหลายอย่าง แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย นอกจากงานที่ผมทำจะไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถอะไรเลย ตัวหน่วยงานก็มีแต่เรื่องสีเทาในแทบจะทุกอย่าง ทุกโครงการ จนผมแทบจะได้ข้อสรุปไปว่าหน่วยงานพวกนี้ แทบไม่ได้มีหน้าที่อะไรกับประเทศชาติเลย นอกเสียจากเป็นที่ให้คนบางกลุ่มหาผลประโยชน์จากงบประมาณของชาติเท่านั้น ซึ่งถึงจุดนึงก็มีแต่ต้องเลือกว่าจะไปเข้ากับพวกเค้า หรือเงียบๆไป ต่อต้านไม่มีทางอยู่ได้ เพราะมัน Corrupted ไปทั้งระบบ
- ยิ่งพอผมได้ไปเห็นที่มาของทุนการศึกษาของผมเองแล้ว ยิ่งทำให้อะไรๆชัดเจนขึ้นไปอีก ว่าจริงๆแล้วเค้าไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรชัดเจนเลย ในการส่งผมไปเรียน ตปท. เพราะผมดันมีโอกาสได้ไปอยู่ในจุดที่ต้องทำเรื่องส่งคนไปใหม่ ทำให้ได้เห็นว่า เค้าแค่ต้องการส่งไปตามวงรอบ เพราะงบมันเป็นแบบนั้น ถ้าไม่ส่งงบก็จะหายไป ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย กลับมาจะลงตรงไหน ทำงานตรงไหนก็เลือกเอา มันเรื่อยเปื่อยไร้หลักการณ์กันถึงเพียงนี้
- ผมอาจจะไม่ใช่คนเก่งมากขนาดนั้น แต่ก็เชื่อว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถในระดับหนึ่ง และอยากทำตัวเองให้มีประโยชน์มากกว่านี้ สุดท้ายจึงเลือกที่จะลาออกและเปลี่ยนงาน ตอนนั้นก็ได้ปรึกษากับผู้ใหญ่หลายๆท่าน มีแค่คนที่เห็นด้วย กับคนที่เสียดาย แต่ไม่มีใครคัดค้าน เพราะทุกคนเข้าใจ สุดท้ายที่ทำงานใหม่ ผมรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีค่ามากขึ้น ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่ อีกทั้งผมเชื่อว่ายังไงงานที่ผมทำตอนนี้ก็มีประโยชน์กับส่วนรวมมากกว่าที่เก่ามากอย่างเทียบกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นภาษีที่ผมจ่าย หรือเนื้องานที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

* ว่ากันตามตรงตอนแรกที่มาอ่านกระทู้ ค่อนข้างโมโห ว่าทำไมไม่มีใครเข้าใจ แต่พออารมณ์เย็นลง แล้วมาคิดใหม่ ผมกลับดีใจขึ้นมา และมองว่าจริงๆ มันควรจะเป็นแบบนี้แหละ มันแสดงให้เห็นถึงความเชื่อใจ และศรัทธาในระบบราชการของผู้คนที่ยังคงมีอยู่ และเชื่อมั่นแบบนั้น ซึ่งถ้ามันไม่ใช่แบบนั้น คงถึงวันที่ประเทศเราใกล้จะพังพินาศเป็นแน่ ผมอาจจะเป็นเด็กน้อย อายุเลขสามต้นๆ คนนึง ที่เข้าใจผิดไปทั้งชีวิต ยังไม่เข้าใจตัวระบบ หรืออรรคติมากเกินไป แล้วจริงๆ เรื่องทั้งหมดที่พิมพ์ไป ก็อาจเป็นแค่ข้ออ้างลำเอียง เติมไข่ใส่สี เพื่ออ้างความชอบธรรมให้การตัดสินใจของตนเอง สุดท้ายแล้วผมมันก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนนึงก็แค่นั้น ถึงแม้ว่าการมาด่าการกระทำของผมจะไม่มีประโยชน์อะไรกับผมเลยก็ตาม เพราะได้ลาออกมาแล้ว แต่ก็หวังว่าจะช่วยเตือนสติคนที่กำลังมีความคิดจะลาออก ที่เค้าได้มาอ่าน ให้เค้าเห็นว่า ผู้คนคาดหวัง และศรัทธากับเค้า กับตัวระบบขนาดไหน ให้เค้ามีกำลังใจสู้ต่อ เพื่อช่วยทำให้อะไรๆมันดีขึ้นมา ไม่ยอมแพ้ แล้วเลือกทางที่เห็นแก่ตัวแบบผม ส่วนใครที่ยังอยากช่วยแนะนำ หรือเป็นกำลังใจ รบกวนหลังไมค์มาดีกว่าครับ เพราะการมาเม้นเชียร์ตรงนี้ ก็เหมือนเป็นการสนับสนุนการกระทำผิดอย่างหนึ่ง คงไม่มีใครเห็นด้วยเป็นแน่

**ทุกอย่างที่ผมกล่าวไป ล้วนแล้วแต่เป็นเพียวความคิดเห็นของผมเองเท่านั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่