บันทึกความทรงจำ ๐๐๐ วันบอกลา ๐๐๐

กระทู้คำถาม
เนื่องในวันครบรอบวันเกิดสามีผู้ล่วงลับจึงเขียนบันทึกความทรงจำสั้นๆเก็บไว้ค่ะ

๐๐๐ วันบอกลา ๐๐๐

เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้นในเช้าวันหนึ่งของต้นเดือนเมษายน 2554 เวลานั้นฉันกำลังอยู่ในตลาดเพื่อซื้อหาอาหารเช้า

ฉันมองดูเบอร์ที่โทรเข้ามาแล้วจึงกดรับ
"ฮัลโล จ้ะ" คำนี้เป็นคำที่ฉันใช้รับสายเฉพาะคนใกล้ชิดเท่านั้น
เสียงนุ่มๆ คุ้นหู ต้นสายพูดกลับมาว่า
"รัก เมื่อคืนพี่ฝันว่าแม่มาหาพี่ ช่วยใส่บาตรให้แม่แทนพี่ที"

รักคือคำเรียกที่สามีเรียกชื่อฉันมาตลอดตั้งแต่ใช้ชีวิตร่วมกันมา ซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชื่อเล่นหรือชื่อจริงของฉันเลย เขาบอกเหตุที่เรียกแบบนั้นว่า เหมือนการได้บอกรักทุกครั้งที่เรียก

"พี่น่าจะใส่เองนะ ตรงนั้นมีพระเดินไหม ใส่แทนก็จะไม่เหมือนพี่ใส่เองหรอก" ฉันตอบกลับตามความคิด
เวลานั้นเขาไปทำงานอยู่กับญาติที่ศรีราชา ส่วนฉันอยู่กับลูกที่ กทม
เขาตอบกลับมาว่า เขาติดงานและยังไม่สะดวกที่จะไปวัด
วันนั้น ฉันได้ใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้แม่สามีตามที่เขาขอมา

ก่อนจบบทสนทนา ฉันยังเตือนเขาอีกครั้งว่า"แม่คงเป็นห่วงพี่ ว่างแล้วอย่าลืมไปใส่บาตรให้แม่ด้วย"
ฉันสะกิดใจกับเรื่องนี้ แม่เขาตายไป 20 กว่าปี ไม่เคยที่เขาจะบอกว่าแม่มาหาเลย

รุ่งเช้าของอีกวัน ฉันตื่นขึ้นมาทบทวนความฝันจากคืนที่ผ่านมาซึ่งภาพนั้นยังติดตาอยู่
ภาพจากความฝัน ฉันและลูกชายคนเล็กเดินเข้าไปในบริเวณวัดซึ่งกำลังจัดพิธีรดน้ำศพของใครคนหนึ่ง ฉันยืนมองพร้อมกับลูกชายแต่ไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร

ฉันไม่ได้สนใจมากนักคิดว่าก็แค่ฝันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ได้แก้ฝันกับใคร เพราะถ้าเล่าก็น่าจะมีแต่การตีเป็นเลขหวย ซึ่งไม่ได้อยู่ในความสนใจของฉันเลย และฉันก็ลืมเรื่องนี้ไป

สงกรานต์ใกล้เข้ามา ตาล ลูกสาวคนโตมาปรึกษาฉันว่า
" แม่ ปีนี้สงกรานต์เราไปสวดมนต์กันดีไหม แล้ววันที่ 14 เราไปหาพ่อที่ศรีราชากันนะ" ฉันเห็นดีด้วยจึงตกลงกันไว้ตามนั้น

ดังนั้น คืนวันที่ 12 เมย. สามีโทรมาหาฉันเวลาประมาณ สี่ทุ่มครึ่ง
ฉันกดรับ พร้อมทักทายไปว่า "พี่เป็นอย่างไรบ้าง ยังไม่นอนอีกเหรอ?"
เขาตอบมาว่า "คืนนี้มีงานเลิก หกทุ่ม เหนื่อยๆเพลียๆเหมือนกัน"
"พี่เหนื่อย เสร็จงานแล้วรีบนอนพักผ่อน นอนยาวๆไปเลย พรุ่งนี้งานหยุดแล้ว"
"พรุ่งนี้ พี่กลับบ้านดีไหม" เขาถามกลับเชิงปรึกษา
ฉันตอบกลับไปว่า " พี่เหนื่อยก็นอนพักเถอะ ไม่ต้องเดินทาง รถเยอะ คนเยอะ เดี๋ยวรักกับลูกจะไปหาพี่เอง"

บทสนทนาระหว่างเราจบลงด้วยการบอกถึงความห่วงใยที่มีให้กันในยามที่อยู่ไกล ฉันไม่คิดว่า นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พูดคุยกันยามมีชีวิตอยู่

คืนนั้นเป็นคืนที่ฉันฝันร้าย น่ากลัวและเสมือนจริงมาก ฉันตื่นขึ้นมารู้สึกใจคอไม่ดี
ในฝัน ฉันกับสามีเดินออกจากบ้านไปด้วยกันอยู่ๆตามทางก็มืดมิดลง เราพลัดหลงกัน ฉันวิ่งวนเวียนตามหาเขาและหาทางกลับบ้าน ไปพบผู้คนฉันขอร้องให้เขาบอกทางออก หรือไปส่งฉันที ช่วยตามหาสามีฉันด้วย แต่ถูกปฏิเสธ บางคนอยากช่วยก็เกิดอุปสรรคไปเสียทุกอย่าง ฉันวิ่งต่อไป จนพบบ้านหลังหนึ่งมีคนแก่ผู้หญิงอยู่บนบ้าน ยายตกลงว่าจะพาฉันไป ขณะที่เดินลงบันไดบ้าน กลับมีแอ่งน้ำใหญ่ตรงหน้าบันได และมีปลาตัวใหญ่ ปากกว้าง ฟันแหลม ท่าทางดุร้ายกระโดดเข้ามาทำท่าจะกัด ขัดขวางไม่ให้ฉันไปต่อได้ จนทำให้ยายคนนั้นหายไป

ฉันตื่นเมื่อใกล้สว่าง ความท้อแท้ สิ้นหวัง จากในฝันตามฉันมาแม้ฉันจะตื่นขึ้นแล้วก็ตาม

ฉันบอกกับตัวเองว่า รู้สึกใจคอไม่ดีลุกขึ้นไปใส่บาตรดีกว่า
ขณะที่ฉันเตรียมตัวเพื่อไปใส่บาตร เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเบอร์ของสามี แว๊บแรกของความคิดคือแอบบ่นเขาในใจด้วยความเป็นห่วง "โทรมาแต่เช้า เหนื่อยแล้วทำไมไม่พักผ่อน"

เมื่อฉันกดรับ เสียงตามสายที่พูดมาไม่ใช่สามีของฉัน แต่เป็นญาติสนิทที่เขาอยู่ด้วยกัน
คำแรกที่พี่วีพูดมาคือ
" ลูกๆอยู่ด้วยกันหมดไหม"
ฉันตอบไปโดยอัตโนมัติว่า "จ้ะ มีอะไรหรือเปล่าพี่ พี่เวศล่ะ"
ฉันเริ่มผิดสังเกตกับคำถาม คิดว่า สามีป่วยหรืออย่างไร
"ทำใจดีๆนะ เวศมันเสียแล้วเมื่อคืนนี้" คือคำพูดของพี่วีต่อจากสิ่งที่ฉันถามไป
ฉันรู้สึกว่าสมองมึน ชา ไปหมด คิดแต่ว่า เมื่อคืนสี่ทุ่มกว่ายังคุยกันอยู่ เสียงฉันที่พูดออกไปทั้งสั่น ทั้งตกใจในสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินอย่างปัจจุบันทันด่วน

ฉันพูดย้ำแต่คำว่า "เมื่อคืนหนูยังคุยกับพี่เค้าอยู่เลย ทำไมเป็นแบบนี้ได้"

ถึงที่สุด ฉันก็ต้องยอมรับความจริง ว่าสามีของฉันได้จากไปด้วยอาการหัวใจล้มเหลวในเวลาประมาณเกือบตีสี่ของวันที่ 13 เมษายน

เขาเคยพูดกับฉันบ่อยๆว่า "ถ้าพี่ไม่ได้อยู่กับรัก พี่คงตายเร็ว "
ฉันก็ได้แต่ปลอบใจเขาว่า "มันเป็นความจำเป็น อดทนหน่อยนะพี่ อะไรๆดีขึ้นเราก็จะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน พี่ก็ดูแลตัวเองดีๆ กินข้าว กินยาให้ตรงเวลา อย่าหักโหมงานนัก"
สิ่งที่เขาคิดมันกลายเป็นความจริงฉันไม่เคยคิดว่ามันจะรวดเร็วแบบนี้

พิธีศพจัดขึ้นที่วัดบ้านเกิดของเขาที่ศรีราชา ฉันกับลูกๆเดินทางไปถึงวัดประมาณเกือบ 11 โมง
ญาติๆได้นำศพของเขามาตั้งไว้ที่วัดแล้ว
ฉันและลูกจุดธูปเคารพศพ มองดูหน้าสามีที่นอนหลับตาอยู่เบื้องหน้า น้ำตาไหลริน แต่ไม่ฟูมฟาย อธิษฐานในใจ บอกเขาว่า

"พี่พักผ่อนนะ หลับให้สบาย จากนี้พี่ไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว ไม่ต้องห่วงรักกับลูก เราอยู่กันได้จ้ะ พี่" ในลำคอฉันตื้อตันไปหมด ไม่อาจจะออกเสียงใดๆ ไม่มีเสียงสะอื้น มีแต่น้ำตาที่ไหลลงมา

ลูกสาวคนโต ร้องไห้หนักมากจะเข้าไปกอดศพพ่อ ญาติๆห้ามไว้ บอกว่า อย่าให้น้ำตาถูกพ่อ พ่อจะมีห่วง โบราณเขาถือ

ช่วงบ่ายแก่ พิธีรดน้ำศพจัดเตรียมขึ้น ลูกคนโตและคนที่สองไปกับญาติเพื่อจัดหาดอกไม้ประดับงานศพ และเตรียมอาหารเลี้ยงแขกมาฟังสวด
ฉันกับลูกชายคนเล็กอยู่รอรับญาติมิตรที่จะเข้ามารดน้ำศพ

ฉันหวนคิดภาพความฝันในคืนก่อนนั้น ภาพที่ตื่นมายังติดตาไม่ลืม และมันก็เกิดขึ้นจริงในวันนี้ บัดนี้ฉันได้รู้แล้วว่า ศพที่ฉันฝันเห็นเป็นใคร

ทุกคืนที่สวดศพฉันกับลูกๆจะนอนที่ศาลาเป็นเพื่อนศพสามี เป็นการได้อยู่ใกล้กันเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ได้กลับ กทม เลยจนเผาและเก็บกระดูกเสร็จ

ในแต่ละคืน ฉันสัมผัสถึงไอเย็นที่อยู่รอบตัว ฉันคิดว่าพี่เขาคงมานอนอยู่ใกล้ๆ ลูก เมียเหมือนยามมีชีวิต ฉันไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย

ตาล ลูกสาวคนโต รัองไห้คิดถึงพ่อ สองวันเต็ม บางครั้งฉันแอบเห็นลูกเอาเสื้อพ่อมากอดแล้วร้องไห้ ฉันสงสารลูก ปลอบลูกให้ลูกเข้มแข็งแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก

เช้าของวันที่สาม ตาลเข้ามาบอกว่าฉันว่า
"แม่ ตาลจะไม่ร้องไห้แล้ว เมื่อคืนพ่อมาเตะเท้าตาล ตาลเห็นเป็นเท้าพ่อ ตาลจำนิ้วก้อยเท้าพ่อได้ เหมือนพ่อมาเตือนให้ตาลเข้มแข็ง ตาลต้องดูแลแม่ ดูแลน้อง"
ฉันดีใจที่ลูกทำใจได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

ฉันเสียใจ แต่ฉันก็ต้องคิดถึงวันข้างหน้า คิดถึงทุกคนในครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ จะจัดการกันอย่างไรเมื่อไม่มีหัวหน้าครอบครัวแล้ว ต้องเตรียมตัวเตรียมใจในสิ่งจะต้องเจอต่อไป และต้องอยู่ให้ได้

วันเผาศพ ลูกชายคนเล็กได้บวชเณรให้พ่อ
ก่อนเผามีการอ่านคำไว้อาลัย ฉันเขียนคำไว้อาลัยแทนลูกๆ ฉันเขียนกลอนสั้นๆ

กลอนบทนั้นเมื่อมาย้อนอ่าน ช่างไม่ไพเราะเอาเสียเลย ฉันทลักษณ์ไม่ถูกต้อง คำขาดๆเกินๆ เพราะฉันไม่เคยเขียนกลอนเลยตั้งแต่เรียนจบมา แต่ฉันเขียนจากใจ จากความรู้สึก และอยากทำในสิ่งที่ฉันชอบเพื่อเขาเป็นครั้งสุดท้าย

คำไว้อาลัยจากลูก เมีย ตาลเป็นคนอ่าน หลายคนกังวลว่าตาลจะอ่านไม่ได้ แต่ตาลยืนยัน ตาลอยากให้พ่อเห็นว่าเข้มแข็งแล้ว พ่อจะได้ไม่ห่วง
บทกลอนคำอาลัย "รักของพ่อ"

หาคำใดมาบรรยายได้ครบถ้วน
หาคำใดบอกจำนวนค่าความหมาย
หรือเทียบเคียงรักของพ่อกับสิ่งใด
รักที่พ่อมีให้ ยิ่งใหญ่เหลือเกิน

"สุดชีวิต สุดจิตใจ" ใช่คำนั้น
พ่อของฉันมีหัวใจน่าสรรเสริญ
ถึงลำบากหนักหนากล้าเผชิญ
แม้ทางเดินมีขวากหนามยังย่ำไป

ตั้งความหวังสร้างฝันอันสูงส่ง
พ่อมุ่งตรงพาครอบครัวสู่จุดหมาย
พ่อล้มแล้วพ่อลุกต่อไม่ท้อใจ
พ่อเหน็ดเหนื่อยเพียงใดไม่ถอยเลย

ถึงวันนี้พ่อได้หลับสบายแล้ว
ขอวิญญาณพ่อแก้วของลูกเอ๋ย
สู่สัมปรายภพสงบสุขด้วยเถิดเอย
รักของพ่อจะมิเคย ลบจากใจ

ด้วยรักและอาลัย

ตาล อ่านกลอนบทนี้จบลงด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานมั่นใจ ไม่สั่นเครือ

ถึงเวลาเผา ก่อนเข้าเตาเผาตามธรรมเนียมปฏิบัติมีการเปิดโลงให้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย เขาเหมือนนอนหลับหน้าซีดลงเล็กน้อย
ฉันบอกเขาว่าไม่ต้องห่วง ฉันและลูกๆจะอดทนเข้มแข็งให้ได้อย่างเขา นั่นคือภาพสุดท้ายที่ฉันได้เห็นคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันจนตายจาก

ถึงวันที่ทำบุญครบการตายร้อยวัน ฉัน ลูกๆ และญาติสนิท ไปทำบุญอย่างเรียบง่าย ณ วัดที่เก็บกระดูกเขา
เสร็จการทำบุญอุทิศส่วนกุศล เราตกลงจะไปพักผ่อนที่ชายทะเลสัตหีบ 1 คืนโดยจองบ้านพักหลังใหญ่หลังหนึ่ง

ครอบครัวฉันนอนด้วยกันแม่-ลูก คืนนั้น ฉันนอนตื่นเป็นระยะ ดูนาฬิกา ตีสี่กว่าแล้ว ฉันไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนอีก

เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้น ฉันกดรับทันที ฉันได้ยินเสียงนุ่มนวล คุ้นหู ถามมาว่า
"ลูกๆสบายดีไหม" เวลานั้น ฉันรู้แต่ว่าตื่นเต้น ดีใจสุดๆ
สิ่งที่ฉันตอบไปไม่ใช่คำตอบที่เขาถาม ฉันได้แต่พูดว่า " พี่ พี่ พี่จริงๆด้วย" เสียงที่เปล่งออกไปแสดงความดีใจจนบรรยายไม่ถูก
เขาพูดอีกหนึ่งประโยค "จะถึงคิวของพี่ พี่ต้องไปแล้ว"
ฉันได้ยินว่า เขาต้องไป รีบถามกลับว่า "ลูกๆสบายดี แล้วพี่ต้องไปไหน "

ไม่มีเสียงตอบมาตามสาย ทุกอย่างเงียบ ฉันได้แต่เรียก พี่ พี่
จนสะดุ้งตื่น ฉันผุดลุกขึ้น มองไปรอบๆ โทรศัพท์ยังเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จแบต

เสียงของสามียังก้องในหู ชัดเจน ฉันน้ำตาไหล
"พี่เวศมาบอกลา"
วันที่เขาเสียชีวิตไม่มีแม้คำสั่งเสียล่ำลา ไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจเลย

เช้าวันนั้น ฉันออกมานั่งชิงช้าของรีสอร์ทคนเดียวเงียบๆ
คิดถึงวันที่เราร่วมชีวิตครอบครัวกันมานับสิบๆปี ได้ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ชีวิตมีล้ม มีลุก สำเร็จ ล้มเหลว
เราอยู่กันด้วยความรัก ความเข้าใจ ผิดพลาดก็ให้อภัยกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

บางเวลาเราเจอปัญหามากมายทับถม เราไม่ต้องพูดสื่อสาร เพียงแค่จับมือกันไว้ เป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า สู้นะ สู้ไปด้วยกัน

ฉันรู้ว่า เขาทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว สำเร็จบ้าง ผิดพลาดบ้าง ฉันมองเขาที่เจตนา ทำความเข้าใจในความเป็นตัวตนของเขา

สิ่งที่เขียนวันนี้ เพื่อบันทึกไว้ด้วยไม่รู้ว่า วันใดวันหนึ่งฉันอาจสมองเลอะเลือนจนจำรายละเอียดเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ทั้งหมด และหากสักวันได้กลับมาย้อนอ่านรื้อฟื้นความทรงจำยามฉันแก่เฒ่า จะได้ไม่ลืมกัน

บันทึกนี้ไม่ใช่เรื่องสั้น หากคือบันทึกจากความทรงจำที่ผ่านมา 8 ปีเต็ม เขียนเนื่องในโอกาสวันเกิดของเขาที่มาถึงในวันที่ 20 มิย
ฉันเขียนบันทึกนี้จากโทรศัพท์ เป็นเวลาหลายชั่วโมงอาจบกพร่องพิมพ์ผิดไปบ้างต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ




แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่