วันนี้ผมเพิ่งได้ดู Dark Phoenix ครับ หลังจากที่ย้อนดูใหม่ทั้งหมดทุกภาค
ตามลำดับ timeline ตั้งแต่ First Class, X-men origins : Wolverine,
X-men, X-2, X-men : the last stand, The Wolverine, X-Men: Days of Future Past,
X-men: Apocalypse,
แล้วก็มาดู Dark Phoenix วันนี้
แล้วต่อจากนี้ก็จะดู Dead pool, Dead pool 2, Logan เป็นอันจบพิธี
ผมมีพูดถึง X-men ทุกภาคโดยรวมก่อนหน้าในกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/38966352
ก็พูดหลายอย่างไปเยอะแล้ว เลยอาจจะมีอะไรฟังเหมือนพูดซ้ำบ้างอะไรบ้างต้องขออภัยด้วย
จากกระแสในเน็ตทั้ง pantip, facebook, รีวิวต่างประเทศ คะแนนรีวิว รายได้ boxoffice ต่าง
ประหนึ่งร่วมกันถีบหนังภาคนี้ให้ล่มจมลงไปกับดิน แม้แต่ producer บางคนก็เกลียดภาคนี้ จนมี
ทวีตออกมา ซึ่งเรื่องแบบนี้เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ กับ HELL BOY ภาครีบูต จนผมตัดสินใจไม่ไปดู
เพราะเมื่ออ่านที่ทุกคนเขียน มันทำให้เห็นภาพหนังที่ล้มเหลวกับการเล่าเรื่องอย่างชัดเจน แต่กับ
Dark Phoenix กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ผมยังมีข้อข้องใจอยู่ แม้ว่าจะเห็นคำวิจารณ์ว่า หนังไม่ลึก ไม่สมเหตุผล ไม่น่าจดจำ มั่วเละเทะ
ดูเหมือนยำๆ เนื้อเรื่องแย่ อะไรก็แล้วแต่ ทำไมผมไม่รู้สึกเหมือนตอนที่อ่านบทวิจารณ์ HELL BOY
มันเป็นเพราะ..
เมื่อผมย้อนกลับไปดูตั้งแต่ต้น ทำให้เห็นหนังทั้งหมดตลอด 19 ปีที่ผ่านมา ทั้งแบบภาพรวมและ
แบบแยกเป็นส่วนๆ ผมพบกับเหตุผลว่าทำไมภาคที่คนเกลียดมากๆ ที่ผมก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกันตอนที่ดูในโรง
ถึงถูกสร้างมาแบบนั้น และเมื่อเข้าใจแล้ว ก็พบว่าหนังเหล่านั้นมันสนุกมาก!
ผมพบว่าหนัง X-men ทั้งหมด มันเป็นหนังที่มีปัญหา และเป็นหนังที่ทางสตูดิโอพยายามแก้ไข
หาทางออกอยู่ตลอดเวลา จนผ่านมา 19 ปี มีจำนวนหนังทั้งหมด 12 ตอน รายได้เฉลี่ยแต่ละตอนอยู่ที่
200 ล้านเหรียญ และมีรายได้เปิดตัวในสุดสัปดาห์แรกอยู่ที่ 80 ล้านเหรียญ ฟังเหมือนดูเยอะ แต่จริงๆ
แล้วเป็นรายได้ระดับกลางๆ สำหรับหนังจากการ์ตูน superhero ที่ดังมากๆ ระดับ X-men
และสาเหตุที่ความนิยมของแต่ละภาคดร้อปลงทุกๆ ครั้ง ผมพบว่ามาจากความพยายามของสตูดิโอในการ
เปลี่ยนแปลงแนวของหนัง การที่ทางสตูดิโอพยายามเปลี่ยนแปลงในครั้งแรกนั้น ซึ่งเกิดขึ้นกับภาค
X-men : The Last Stand ก็น่าจะเนื่องจากว่า X-men และ X-2 ยังทำรายได้ไม่งามจนน่าพอใจ
หนัง X-men ที่ถูกคุมบังเหียนโดย Bryan Singer นั้นมีความเป็นสีม่วงมากเกินไป ซึ่งนั่นทำให้หนัง
ไม่ค่อยมีความดึงดูดต่อแฟนคอมมิคกลุ่มใหญ่ ในขณะที่หนังได้สร้างฐานแฟนเบสอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่อาจจะ
บอกว่ารักหนังเรื่องนี้มากอย่างเหนียวแน่น และเมื่อใดก็ตามที่สตูดิโอตั้งใจจะปรับเปลี่ยนโทนหนังให้ไป
เป็นหนัง superhero แมนๆ ก็จะดูแบนหรือถูกสกัดจากกลุ่มแฟนเบสเดิมๆ ทุกครั้ง
จุดนี้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ผมไม่อาจให้น้ำหนักกับคำวิจารณ์ในแง่ลบที่มีต่อ Dark Phoenix ได้
มากเท่าใดนัก เพราะมันมีความเป็น bias ซ่อนอยู่ในหนังชุด X-men นี้เสมอ ยิ่งย้อนดูทุกภาคก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน
ซึ่งกลุ่มแฟนเบสของ X-men นั้น ไม่จำเป็นจะเป็นสีม่วง แต่พวกเขาเป็นคนที่ติดหรือชินอยู่กับโทนของหนังที่
Singer ตีความออกมาตั้งแต่ต้น
การตีความของ Singer ที่มีต่อ X-men ก็คือ พวกมนุษย์กลายพันธุ์เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่สังคมกลัวและรังเกียจ
ซึ่งนี่เป็นหัวใจที่มาจากคอมมิค แต่ Singer นั้น ตีความเพิ่มเติมต่อไปว่า พวกเขาเหล่านั้นเปรียบเสมือนกลุ่มของ
พวกชาวสีม่วงในโลกของความเป็นจริง ซึ่งถ้าเอาคาแรกเตอร์ทั้งหมดใน X-men ในปี 2000 มาแปลงกลับให้
ทั้งหมดเป็นชาวสีม่วงในหนัง ก็จะพบว่า Singer แทบจะถอดลักษณะท่าทาง อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดใส่ไปให้
กับตัวละครมิวแทนต์ทุกตัว จนทำให้ปัจจุบัน ก็มีบทความหลายๆ ชิ้นของฝรั่งที่เขียนวิจารณ์ว่า X-men คือหนัง hero
ฉบับเกย์
ผมก็เพิ่งจะมารู้แบบนั้นตอนหลัง แต่สิ่งที่ผมรู้สึกตั้งแต่ 19 ปีที่แล้ว นั่นก็คือ X-men ค่อนข้างจะมีบทที่ดูนุ่มนิ่ม
ตัวละครไม่ค่อยมีความห้าวหาญ ขาดความกล้าบ้าบิ่น ไม่มีสเน่ห์ดึงดูดแบบการ์ตูนผู้ชายเท่าไหร่ รวมไปถึง ดูขาด
อารมณ์ความถึงใจ ความหนักแน่น และอะไรต่างๆ ก็ดูคาดเดาง่ายดายไปเสียหมด ทุกๆ อย่างถูกเทมาที่ Wolverine
ให้เป็นผู้ดำเนินเรื่องทั้งหมด ท่าทางตัวละครดูแอบๆ เก็บๆ จึงเป็นหนัง Hero ที่ดูมีโทนที่แปลกมากในสมัยนั้น
ทั้งๆ ที่หน้าหนังน่าจะมีความสนุกสุดๆ แต่เมื่อดูจบ มันจะรู้สึกไม่สุด ผมค่อนข้างคาดหวังในหลายๆ คาแรกเตอร์ว่าจะมี
สีสันที่โดดเด่นโลดแล่น และมีมิติที่ชัดเจน แต่ก็ไม่มีอะไรเลย มีเพียงแต่การตอกย้ำเรื่องที่ว่าพวกมิวแทนต์คือพวกตัว
ประหลาดที่สังคมรังเกียจ ซึ่งก็เท่ากับ "กลุ่มเพศที่สามที่สังคมยังไม่ยอมรับ" ซึ่งเป็นไอเดียที่ Singer ต้องการบอก
ออกมาผ่านตัวหนัง ซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นเอง
ผมจึงต้องลองเสี่ยงดูว่าตัวหนัง Dark Phoenix มันจะแย่จริงอย่างที่ว่าไว้ หรือจริงๆ แล้วมันก็มีดีในตัวของมันเอง
ปรากฎว่าก็เป็นไปตามคาด และดียิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก นี่เป็น X-men ฉบับแบบที่ผมรอคอยที่จะดูมายาวนานกว่า 19 ปี
นี่เป็นหนัง super hero แมนๆ แบบที่มันควรจะเป็นสักที และนี่เป็นภาคที่ตัวละครดูมีความเป็นคนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ไม่ใช่เป็นเหมือนตุ๊กตาที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก มีรัก โลภ โกรธ หลง และมีอารมณ์ "คลั่ง" และอารมณ์ "ไร้เหตุผล" อยู่ในนั้น
และฉากแอคชั่นที่ได้ใช้งานพลังมิวแทนต์ได้เต็มที่เป็นครั้งแรก ซึ่งที่ผ่านมา 11 ภาค เหมือนให้คนที่ไม่เคยอ่านการ์ตูน
มาทำยังไงยังงั้น ทุกๆ วินาทีคือความมัน ความลุ้นระทึก ความน่าตื่นเต้น ซึ่งขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับหนัง superhero ดังๆ
ทั้งหมดได้สักที และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมดูหนังไปด้วย แล้วรู้สึกดีใจไปด้วย ตื่นตาไปด้วยอยู่ตลอดเวลา และทุกฉาก
มีเหตุผล มีจังหวะจะโคนที่ลงตัวไปหมด โดยสรุปแล้วเรื่องนี้จึงไม่ต่างจากหนังที่ผมชอบเรื่องอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จทั้ง
ด้านคำวิจารณ์และรายได้เลย
จะมีเพียงเรื่องเดียวที่ผมไม่ชอบเท่านั้น ก็คือดนตรีประกอบของ Hans Zimmer ที่ดูย้ำหรือย่ำอยู่กับที่มากเกินไป
ผมว่าน่าจะมีคนอื่นที่ทำได้ดีกว่านั้น นี่คือจุดบอดเดียวจริงๆ ของหนังสำหรับผม
หนังจบได้อย่างสมบูรณ์แบบ และดีที่สุดแบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน มันลงตัวมากจนผมคิดว่า ควรที่จะเอา Logan
ซึ่งจะเป็นภาคสุดท้ายตาม timeline ออกจากเนื้อเรื่องจักรวาลหลัก เพราะ Logan ก็เอาเนื้อเรื่องมาจาก Old man Logan
ซึ่งเป็นเพียงภาค spin-off หรือ alternate world ของ X-men เท่านั้น ที่ว่าถึง Xavier ที่เป็นโรคทางสมองแล้วเผลอ
ฆ่า X-men หมดทั้งโรงเรียน จนเหลือแค่ Wolverine ซึ่งเท่ากับว่าเป็นบทสรุปที่ไม่ยุติธรรมกับจักรวาลหลัก แต่เหมาะ
ที่จะเป็นหนังแปลกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับธีม "ถ้าเกิดแบบนี้...แล้วจะเกิดอะไรขึ้น" ซึ่งตัวหนังก็ไม่กล้าบอกตรงๆ ด้วยซ้ำว่า
Xavier เป็นคนฆ่า จนพาลทำให้คนที่ดูผ่านเร็วๆ คิดว่า X-men ตายเพราะ corn syrup
Dark Phoenix ควรเป็นภาคจบปิดเรื่องจริงๆ ที่ทำได้สวยงามและประทับใจ ซึ่งทำได้ดีไม่น้อยกว่าฉากจบของ
Days of future past ที่น่าประทับใจเลย จากนั้นก็ต่อด้วย Dead pool 1, 2 ซึ่งก็จะทำให้จักรวาลของ X-men ดู
Bright ขึ้น ไม่ติดอยู่กับเรื่อง "กลุ่มเพศที่สามที่สังคมยังไม่ยอมรับ" ที่ฝังมาโดย Singer ตั้งแต่แรกอีกต่อไป
ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นผลเสียเมื่อ Xavier พยายามทำตามความฝันจนสำเร็จ แต่ต้องยอมสูญเสียความเป็นตัวตนไป
เราจะได้เห็นความน่าประทับใจของ Raven ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราจะรู้สึกว่าตัวละครนี้ยิ่งใหญ่จริงๆ
เราจะได้เห็น Magneto, Beast ที่บ้าคลั่งจากความสูญเสีย Nightclawler ที่บ้าคลั่งเมื่อตำรวจธรรมดาคนนึงที่พูดแค่
ว่า ลูกชายเป็นแฟนของเขา ต้องเสียชีวิต ซึ่งนี่เป็นอารมณ์ในแบบการ์ตูนผู้ชายเต็มๆ
Cyclop ดูเป็น Cyclop ได้จริงๆ สักที ผ่านมา 11 ภาค เพิ่งจะภาคที่ 12 นี้ที่เรารู้สึกว่า Cyclop นั้นใช้งานได้ และ
สามารถที่จะเป็นผู้นำได้ แม้ว่าจะยังไม่มีบทที่ลงล็อคแบบนั้น แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นตัวละครสำคัญที่
เราพึ่งพาได้สักที
การอัดพลังสายฟ้าของ Storm นั้น "มันต้องหยั่งงี้!!!" นี่เป็นคำที่อยากจะตะโกนออกมาในระหว่างที่ดูหนัง
น้ำหนักของ script ใน X-men ยังน้อยๆ กับน้ำหนักที่กระจัดกระจายให้กับหลายตัวละครเหมือนเดิม แต่ด้วย
อารมณ์ที่ดูแจ่มชัดขึ้น ตัวละครทุกตัวดูไม่เล่นแบบแข็งๆ อีกต่อไป เหมือนเคยอยู่ในพะวังตอนที่ถูกกำกับโดย Singer
Beast โชว์ลีลาและการแสดงได้ดีที่สุดในภาคนี้ของทั้งแฟรนไชส์ Magneto ยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ
หนังไม่มีจังหวะไหน หรือจุดใดๆ ให้เรารู้สึกสะดุด หรือรู้สึกเร็วไป ช้าไป มันเป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมมากๆ
ฉากไคลแมกซ์นั้น ก็ทำได้ดีและทำให้รู้สึกสะใจ บวกกับสมใจ ฉากจบก็ยิ่ง surprise ไปอีก ฉากจบของตัวละคร
หลัก Xavier กับ Magneto และบทสรุปของโรงเรียนเป็นอะไรที่น่าประทับใจอย่างมาก จนอยากให้จบแบบนี้
ไปเลย แล้วมี Dead pool 1, 2 แค่นั้น และรู้สึกเกลียดและไม่อยากให้มี Logan ที่เป็นบทสรุปที่ดูไม่รับผิดชอบเท่าไหร่
แต่ถ้าเข้าใจไม่ผิด post credit ของภาค Apocalypse นั้นโยงไปที่ X-23 ใน Logan
-------------------------พักเขียนชั่วครู่ แล้วไปหาดูว่า Logan จริงๆ คือตอนจบใช่ไหม? --------------------------
อัพเดทล่าสุด พอไปดู Logan จริงๆ ปรากฎว่าอาจจะเป็น Alternate universe เช่นกัน
ไม่ได้ต่อกับหนัง X-men เรื่องใดๆ เหตุผล คือ 1) เนื้อเรื่องตามหลัง Days of future past เพียง 6 ปี
2) Xavier ในหนังพูดถึงเหตุการณ์ที่เทพีเสรีภาพ ซึ่งจริงๆ ต้องถูกลบออกไปหลัง Days of future past
ลบห้วงเวลานั้นออกไปแล้ว
สาเหตุที่ทำให้ Dark Phoenix เจ๊งไม่เป็นท่า นั่นก็อาจจะเป็นเพราะ ตัวแฟรนไชส์เองที่เหนื่อยล้า
และมีการเลื่อนการฉายหลายครั้ง และ X-men ก็ถูกดึงกลับสู่ Marvel ไปแล้ว บรรยากาศของ
Avengers Endgame ก็ยังคงมีอยู่ ดูเหมือนแฟนๆ X-men ก็จะมองไปที่ภาคข้างหน้าที่จะรวมเข้ากับ
MCU และแน่นอน ที่แฟนเบสของ X-men เดิมจะรุมกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์กับการตำหนิต่อว่าด่าทอ
แนวของหนังที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่พวกเขาไม่คุ้นเคย
แต่นี่คือแนวของ X-men ที่ผมรอคอยจริงๆ มานาน บทพูดที่ไม่น่าเบื่อ ตัวละครที่ดูมีชีวิตจิตใจ
มีอารมณ์ความรู้สึก การแสดงที่มีพลัง ความตื่นเต้นเร้าใจในฉากการต่อสู้ ตัวละครที่ดูมีสีสันมากขึ้น
ฉากจบที่ดีสมบูรณ์แบบ ผมจึงยกให้เป็นหนัง super hero ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในดวงใจไปเลย จากเดิม
ที่เฉยๆ กับ X-men แต่ละภาค ก็ทำให้ชอบทุกๆ ภาคมากขึ้น อยากดูซ้ำอีก การไม่มี Wolverine ทำให้
Cyclop ดูมีตัวตนขึ้นมาสักที จริงๆ แล้ว มันควรจะเป็นคู่ Magneto-Xavier กับคู่ Cyclop-Wolverine
ที่โดดเด่นพอกันทั้งคู่ มันจะมันกว่าที่เป็นอยู่มากๆ ผมเชื่อว่า ฝั่งผู้สร้าง Marvel จะไม่ลืมตรงจุดนี้
และทำ X-men ออกมาได้ซื่อตรงต่อคอมมิคมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องของชาวสีม่วงในโลกแฟนตาซีของ
Bryan Singer อีกต่อไป ซึ่ง Fox ตัด Singer ยังไงก็ตัดไม่ขาด จึงต้องให้แกกลับมาทำต่ออีก 2 ภาค
เพื่อรักษาแฟนเบสเดิมเอาไว้
สุดท้ายยินดีจริงๆ ที่จบแบบนี้ แล้วมันต่อได้ดีมากกับ Dead pool ซึ่งเป็นโลกของมิวแทนต์ที่ดูจะ Happy Ending ได้เสียที!
[CR] X-MEN DARK PHOENIX ดูจริงหนังดีกว่าที่อ่านรีวิวมากกกกก
ตามลำดับ timeline ตั้งแต่ First Class, X-men origins : Wolverine,
X-men, X-2, X-men : the last stand, The Wolverine, X-Men: Days of Future Past,
X-men: Apocalypse,
แล้วก็มาดู Dark Phoenix วันนี้
แล้วต่อจากนี้ก็จะดู Dead pool, Dead pool 2, Logan เป็นอันจบพิธี
ผมมีพูดถึง X-men ทุกภาคโดยรวมก่อนหน้าในกระทู้นี้ https://pantip.com/topic/38966352
ก็พูดหลายอย่างไปเยอะแล้ว เลยอาจจะมีอะไรฟังเหมือนพูดซ้ำบ้างอะไรบ้างต้องขออภัยด้วย
จากกระแสในเน็ตทั้ง pantip, facebook, รีวิวต่างประเทศ คะแนนรีวิว รายได้ boxoffice ต่าง
ประหนึ่งร่วมกันถีบหนังภาคนี้ให้ล่มจมลงไปกับดิน แม้แต่ producer บางคนก็เกลียดภาคนี้ จนมี
ทวีตออกมา ซึ่งเรื่องแบบนี้เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ กับ HELL BOY ภาครีบูต จนผมตัดสินใจไม่ไปดู
เพราะเมื่ออ่านที่ทุกคนเขียน มันทำให้เห็นภาพหนังที่ล้มเหลวกับการเล่าเรื่องอย่างชัดเจน แต่กับ
Dark Phoenix กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ผมยังมีข้อข้องใจอยู่ แม้ว่าจะเห็นคำวิจารณ์ว่า หนังไม่ลึก ไม่สมเหตุผล ไม่น่าจดจำ มั่วเละเทะ
ดูเหมือนยำๆ เนื้อเรื่องแย่ อะไรก็แล้วแต่ ทำไมผมไม่รู้สึกเหมือนตอนที่อ่านบทวิจารณ์ HELL BOY
มันเป็นเพราะ..
เมื่อผมย้อนกลับไปดูตั้งแต่ต้น ทำให้เห็นหนังทั้งหมดตลอด 19 ปีที่ผ่านมา ทั้งแบบภาพรวมและ
แบบแยกเป็นส่วนๆ ผมพบกับเหตุผลว่าทำไมภาคที่คนเกลียดมากๆ ที่ผมก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกันตอนที่ดูในโรง
ถึงถูกสร้างมาแบบนั้น และเมื่อเข้าใจแล้ว ก็พบว่าหนังเหล่านั้นมันสนุกมาก!
ผมพบว่าหนัง X-men ทั้งหมด มันเป็นหนังที่มีปัญหา และเป็นหนังที่ทางสตูดิโอพยายามแก้ไข
หาทางออกอยู่ตลอดเวลา จนผ่านมา 19 ปี มีจำนวนหนังทั้งหมด 12 ตอน รายได้เฉลี่ยแต่ละตอนอยู่ที่
200 ล้านเหรียญ และมีรายได้เปิดตัวในสุดสัปดาห์แรกอยู่ที่ 80 ล้านเหรียญ ฟังเหมือนดูเยอะ แต่จริงๆ
แล้วเป็นรายได้ระดับกลางๆ สำหรับหนังจากการ์ตูน superhero ที่ดังมากๆ ระดับ X-men
และสาเหตุที่ความนิยมของแต่ละภาคดร้อปลงทุกๆ ครั้ง ผมพบว่ามาจากความพยายามของสตูดิโอในการ
เปลี่ยนแปลงแนวของหนัง การที่ทางสตูดิโอพยายามเปลี่ยนแปลงในครั้งแรกนั้น ซึ่งเกิดขึ้นกับภาค
X-men : The Last Stand ก็น่าจะเนื่องจากว่า X-men และ X-2 ยังทำรายได้ไม่งามจนน่าพอใจ
หนัง X-men ที่ถูกคุมบังเหียนโดย Bryan Singer นั้นมีความเป็นสีม่วงมากเกินไป ซึ่งนั่นทำให้หนัง
ไม่ค่อยมีความดึงดูดต่อแฟนคอมมิคกลุ่มใหญ่ ในขณะที่หนังได้สร้างฐานแฟนเบสอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่อาจจะ
บอกว่ารักหนังเรื่องนี้มากอย่างเหนียวแน่น และเมื่อใดก็ตามที่สตูดิโอตั้งใจจะปรับเปลี่ยนโทนหนังให้ไป
เป็นหนัง superhero แมนๆ ก็จะดูแบนหรือถูกสกัดจากกลุ่มแฟนเบสเดิมๆ ทุกครั้ง
จุดนี้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ผมไม่อาจให้น้ำหนักกับคำวิจารณ์ในแง่ลบที่มีต่อ Dark Phoenix ได้
มากเท่าใดนัก เพราะมันมีความเป็น bias ซ่อนอยู่ในหนังชุด X-men นี้เสมอ ยิ่งย้อนดูทุกภาคก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน
ซึ่งกลุ่มแฟนเบสของ X-men นั้น ไม่จำเป็นจะเป็นสีม่วง แต่พวกเขาเป็นคนที่ติดหรือชินอยู่กับโทนของหนังที่
Singer ตีความออกมาตั้งแต่ต้น
การตีความของ Singer ที่มีต่อ X-men ก็คือ พวกมนุษย์กลายพันธุ์เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่สังคมกลัวและรังเกียจ
ซึ่งนี่เป็นหัวใจที่มาจากคอมมิค แต่ Singer นั้น ตีความเพิ่มเติมต่อไปว่า พวกเขาเหล่านั้นเปรียบเสมือนกลุ่มของ
พวกชาวสีม่วงในโลกของความเป็นจริง ซึ่งถ้าเอาคาแรกเตอร์ทั้งหมดใน X-men ในปี 2000 มาแปลงกลับให้
ทั้งหมดเป็นชาวสีม่วงในหนัง ก็จะพบว่า Singer แทบจะถอดลักษณะท่าทาง อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดใส่ไปให้
กับตัวละครมิวแทนต์ทุกตัว จนทำให้ปัจจุบัน ก็มีบทความหลายๆ ชิ้นของฝรั่งที่เขียนวิจารณ์ว่า X-men คือหนัง hero
ฉบับเกย์
ผมก็เพิ่งจะมารู้แบบนั้นตอนหลัง แต่สิ่งที่ผมรู้สึกตั้งแต่ 19 ปีที่แล้ว นั่นก็คือ X-men ค่อนข้างจะมีบทที่ดูนุ่มนิ่ม
ตัวละครไม่ค่อยมีความห้าวหาญ ขาดความกล้าบ้าบิ่น ไม่มีสเน่ห์ดึงดูดแบบการ์ตูนผู้ชายเท่าไหร่ รวมไปถึง ดูขาด
อารมณ์ความถึงใจ ความหนักแน่น และอะไรต่างๆ ก็ดูคาดเดาง่ายดายไปเสียหมด ทุกๆ อย่างถูกเทมาที่ Wolverine
ให้เป็นผู้ดำเนินเรื่องทั้งหมด ท่าทางตัวละครดูแอบๆ เก็บๆ จึงเป็นหนัง Hero ที่ดูมีโทนที่แปลกมากในสมัยนั้น
ทั้งๆ ที่หน้าหนังน่าจะมีความสนุกสุดๆ แต่เมื่อดูจบ มันจะรู้สึกไม่สุด ผมค่อนข้างคาดหวังในหลายๆ คาแรกเตอร์ว่าจะมี
สีสันที่โดดเด่นโลดแล่น และมีมิติที่ชัดเจน แต่ก็ไม่มีอะไรเลย มีเพียงแต่การตอกย้ำเรื่องที่ว่าพวกมิวแทนต์คือพวกตัว
ประหลาดที่สังคมรังเกียจ ซึ่งก็เท่ากับ "กลุ่มเพศที่สามที่สังคมยังไม่ยอมรับ" ซึ่งเป็นไอเดียที่ Singer ต้องการบอก
ออกมาผ่านตัวหนัง ซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นเอง
ผมจึงต้องลองเสี่ยงดูว่าตัวหนัง Dark Phoenix มันจะแย่จริงอย่างที่ว่าไว้ หรือจริงๆ แล้วมันก็มีดีในตัวของมันเอง
ปรากฎว่าก็เป็นไปตามคาด และดียิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก นี่เป็น X-men ฉบับแบบที่ผมรอคอยที่จะดูมายาวนานกว่า 19 ปี
นี่เป็นหนัง super hero แมนๆ แบบที่มันควรจะเป็นสักที และนี่เป็นภาคที่ตัวละครดูมีความเป็นคนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ไม่ใช่เป็นเหมือนตุ๊กตาที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก มีรัก โลภ โกรธ หลง และมีอารมณ์ "คลั่ง" และอารมณ์ "ไร้เหตุผล" อยู่ในนั้น
และฉากแอคชั่นที่ได้ใช้งานพลังมิวแทนต์ได้เต็มที่เป็นครั้งแรก ซึ่งที่ผ่านมา 11 ภาค เหมือนให้คนที่ไม่เคยอ่านการ์ตูน
มาทำยังไงยังงั้น ทุกๆ วินาทีคือความมัน ความลุ้นระทึก ความน่าตื่นเต้น ซึ่งขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับหนัง superhero ดังๆ
ทั้งหมดได้สักที และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมดูหนังไปด้วย แล้วรู้สึกดีใจไปด้วย ตื่นตาไปด้วยอยู่ตลอดเวลา และทุกฉาก
มีเหตุผล มีจังหวะจะโคนที่ลงตัวไปหมด โดยสรุปแล้วเรื่องนี้จึงไม่ต่างจากหนังที่ผมชอบเรื่องอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จทั้ง
ด้านคำวิจารณ์และรายได้เลย
จะมีเพียงเรื่องเดียวที่ผมไม่ชอบเท่านั้น ก็คือดนตรีประกอบของ Hans Zimmer ที่ดูย้ำหรือย่ำอยู่กับที่มากเกินไป
ผมว่าน่าจะมีคนอื่นที่ทำได้ดีกว่านั้น นี่คือจุดบอดเดียวจริงๆ ของหนังสำหรับผม
หนังจบได้อย่างสมบูรณ์แบบ และดีที่สุดแบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน มันลงตัวมากจนผมคิดว่า ควรที่จะเอา Logan
ซึ่งจะเป็นภาคสุดท้ายตาม timeline ออกจากเนื้อเรื่องจักรวาลหลัก เพราะ Logan ก็เอาเนื้อเรื่องมาจาก Old man Logan
ซึ่งเป็นเพียงภาค spin-off หรือ alternate world ของ X-men เท่านั้น ที่ว่าถึง Xavier ที่เป็นโรคทางสมองแล้วเผลอ
ฆ่า X-men หมดทั้งโรงเรียน จนเหลือแค่ Wolverine ซึ่งเท่ากับว่าเป็นบทสรุปที่ไม่ยุติธรรมกับจักรวาลหลัก แต่เหมาะ
ที่จะเป็นหนังแปลกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับธีม "ถ้าเกิดแบบนี้...แล้วจะเกิดอะไรขึ้น" ซึ่งตัวหนังก็ไม่กล้าบอกตรงๆ ด้วยซ้ำว่า
Xavier เป็นคนฆ่า จนพาลทำให้คนที่ดูผ่านเร็วๆ คิดว่า X-men ตายเพราะ corn syrup
Dark Phoenix ควรเป็นภาคจบปิดเรื่องจริงๆ ที่ทำได้สวยงามและประทับใจ ซึ่งทำได้ดีไม่น้อยกว่าฉากจบของ
Days of future past ที่น่าประทับใจเลย จากนั้นก็ต่อด้วย Dead pool 1, 2 ซึ่งก็จะทำให้จักรวาลของ X-men ดู
Bright ขึ้น ไม่ติดอยู่กับเรื่อง "กลุ่มเพศที่สามที่สังคมยังไม่ยอมรับ" ที่ฝังมาโดย Singer ตั้งแต่แรกอีกต่อไป
ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นผลเสียเมื่อ Xavier พยายามทำตามความฝันจนสำเร็จ แต่ต้องยอมสูญเสียความเป็นตัวตนไป
เราจะได้เห็นความน่าประทับใจของ Raven ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราจะรู้สึกว่าตัวละครนี้ยิ่งใหญ่จริงๆ
เราจะได้เห็น Magneto, Beast ที่บ้าคลั่งจากความสูญเสีย Nightclawler ที่บ้าคลั่งเมื่อตำรวจธรรมดาคนนึงที่พูดแค่
ว่า ลูกชายเป็นแฟนของเขา ต้องเสียชีวิต ซึ่งนี่เป็นอารมณ์ในแบบการ์ตูนผู้ชายเต็มๆ
Cyclop ดูเป็น Cyclop ได้จริงๆ สักที ผ่านมา 11 ภาค เพิ่งจะภาคที่ 12 นี้ที่เรารู้สึกว่า Cyclop นั้นใช้งานได้ และ
สามารถที่จะเป็นผู้นำได้ แม้ว่าจะยังไม่มีบทที่ลงล็อคแบบนั้น แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นตัวละครสำคัญที่
เราพึ่งพาได้สักที
การอัดพลังสายฟ้าของ Storm นั้น "มันต้องหยั่งงี้!!!" นี่เป็นคำที่อยากจะตะโกนออกมาในระหว่างที่ดูหนัง
น้ำหนักของ script ใน X-men ยังน้อยๆ กับน้ำหนักที่กระจัดกระจายให้กับหลายตัวละครเหมือนเดิม แต่ด้วย
อารมณ์ที่ดูแจ่มชัดขึ้น ตัวละครทุกตัวดูไม่เล่นแบบแข็งๆ อีกต่อไป เหมือนเคยอยู่ในพะวังตอนที่ถูกกำกับโดย Singer
Beast โชว์ลีลาและการแสดงได้ดีที่สุดในภาคนี้ของทั้งแฟรนไชส์ Magneto ยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ
หนังไม่มีจังหวะไหน หรือจุดใดๆ ให้เรารู้สึกสะดุด หรือรู้สึกเร็วไป ช้าไป มันเป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมมากๆ
ฉากไคลแมกซ์นั้น ก็ทำได้ดีและทำให้รู้สึกสะใจ บวกกับสมใจ ฉากจบก็ยิ่ง surprise ไปอีก ฉากจบของตัวละคร
หลัก Xavier กับ Magneto และบทสรุปของโรงเรียนเป็นอะไรที่น่าประทับใจอย่างมาก จนอยากให้จบแบบนี้
ไปเลย แล้วมี Dead pool 1, 2 แค่นั้น และรู้สึกเกลียดและไม่อยากให้มี Logan ที่เป็นบทสรุปที่ดูไม่รับผิดชอบเท่าไหร่
แต่ถ้าเข้าใจไม่ผิด post credit ของภาค Apocalypse นั้นโยงไปที่ X-23 ใน Logan
-------------------------พักเขียนชั่วครู่ แล้วไปหาดูว่า Logan จริงๆ คือตอนจบใช่ไหม? --------------------------
อัพเดทล่าสุด พอไปดู Logan จริงๆ ปรากฎว่าอาจจะเป็น Alternate universe เช่นกัน
ไม่ได้ต่อกับหนัง X-men เรื่องใดๆ เหตุผล คือ 1) เนื้อเรื่องตามหลัง Days of future past เพียง 6 ปี
2) Xavier ในหนังพูดถึงเหตุการณ์ที่เทพีเสรีภาพ ซึ่งจริงๆ ต้องถูกลบออกไปหลัง Days of future past
ลบห้วงเวลานั้นออกไปแล้ว
สาเหตุที่ทำให้ Dark Phoenix เจ๊งไม่เป็นท่า นั่นก็อาจจะเป็นเพราะ ตัวแฟรนไชส์เองที่เหนื่อยล้า
และมีการเลื่อนการฉายหลายครั้ง และ X-men ก็ถูกดึงกลับสู่ Marvel ไปแล้ว บรรยากาศของ
Avengers Endgame ก็ยังคงมีอยู่ ดูเหมือนแฟนๆ X-men ก็จะมองไปที่ภาคข้างหน้าที่จะรวมเข้ากับ
MCU และแน่นอน ที่แฟนเบสของ X-men เดิมจะรุมกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์กับการตำหนิต่อว่าด่าทอ
แนวของหนังที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่พวกเขาไม่คุ้นเคย
แต่นี่คือแนวของ X-men ที่ผมรอคอยจริงๆ มานาน บทพูดที่ไม่น่าเบื่อ ตัวละครที่ดูมีชีวิตจิตใจ
มีอารมณ์ความรู้สึก การแสดงที่มีพลัง ความตื่นเต้นเร้าใจในฉากการต่อสู้ ตัวละครที่ดูมีสีสันมากขึ้น
ฉากจบที่ดีสมบูรณ์แบบ ผมจึงยกให้เป็นหนัง super hero ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในดวงใจไปเลย จากเดิม
ที่เฉยๆ กับ X-men แต่ละภาค ก็ทำให้ชอบทุกๆ ภาคมากขึ้น อยากดูซ้ำอีก การไม่มี Wolverine ทำให้
Cyclop ดูมีตัวตนขึ้นมาสักที จริงๆ แล้ว มันควรจะเป็นคู่ Magneto-Xavier กับคู่ Cyclop-Wolverine
ที่โดดเด่นพอกันทั้งคู่ มันจะมันกว่าที่เป็นอยู่มากๆ ผมเชื่อว่า ฝั่งผู้สร้าง Marvel จะไม่ลืมตรงจุดนี้
และทำ X-men ออกมาได้ซื่อตรงต่อคอมมิคมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องของชาวสีม่วงในโลกแฟนตาซีของ
Bryan Singer อีกต่อไป ซึ่ง Fox ตัด Singer ยังไงก็ตัดไม่ขาด จึงต้องให้แกกลับมาทำต่ออีก 2 ภาค
เพื่อรักษาแฟนเบสเดิมเอาไว้
สุดท้ายยินดีจริงๆ ที่จบแบบนี้ แล้วมันต่อได้ดีมากกับ Dead pool ซึ่งเป็นโลกของมิวแทนต์ที่ดูจะ Happy Ending ได้เสียที!
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้