แชร์ประสบการณ์รักษาหลุมสิว แต้มกรด, ndYag, กรอผิว, Dermaroller, Subcision, eMatrix, Dermabrasion

สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอออกตัวว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงประสบการณ์ และความเห็นจากตัวเราคนเดียวนะคะ ควรหาข้อมูลเพิ่มเติมและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วยค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้จริงจังครั้งแรกของเรา ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ก่อนนะค้า ผิดเตือนได้ แต่อย่าแรงนะคะ ตะเตือนไต เพี้ยนเขิน

++ วันนี้มาตามหัวข้อเลยค่ะ เกริ่นก่อนว่า หน้าเราเป็นหลุมหนักมาก เนื่องจากวัยรุ่นเคยรักษาสิวที่คลินิกหมอแห่งหนึ่งและแพ้ยาค่ะ จนหน้าเห่อและเป็นสิวหนักมากกก จนเปลี่ยนคลินิก (มารู้ทีหลังว่าหมอไม่ได้จบสกินค่ะ แต่มาทำมาหากินด้านสกินซะงั้น) ส่งผลให้หน้าเราสิวเห่อ ปะทุหนัก เกิดเป็นหลุมเยอะ ทั้งแบบ Rolling และ Icepick (หลุมจิก) ใครสงสัยลองเสิชดูน้าว่าเป็นยังไง (ขอไม่ตอบเรื่องคลินิกหมอน้า ไม่อยากรื้อฟื้นค่ะ คลินิกไม่ได้อยู่ที่ กทม ค่ะ)

จากนั้นพอโตขึ้นหน่อย หาเงินได้เอง เราเลยหาทุกวิถีทางที่จะรักษาหลุมสิวค่ะ  เริ่มต้นตั้งแต่

1. แต้มกรดรักษาหลุมสิว (หลักร้อย)
วิธีนี้เป็นวิธีแรกที่เราทำค่ะ ตอนเรียนอยู่ ทำโดยหมอที่รักษาสิวให้เรานี่แหละ การทำหมอจะใช้ไม้จิ้มฟันแตะที่กรด แล้วเอามาจุดๆที่หน้าเราบริเวณหลุมสิว เราจะรู้สึกยิบๆที่หน้าค่ะ คันๆไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ จากนั้นจะเกิดเป็นสะเก็ดแผลสีน้ำตาลที่หน้าเป็นจุดๆ ตามจุดที่หมอจิ้มเลย พอสะเก็ดลอกออกจะไม่มีแผลเป็นค่ะ แต่ผิวบริเวณนั้นจะเปลี่ยนสีเป็นสีที่อ่อนกว่าสีผิวจริง กลายเป็นขาวๆด่างๆ แต่มองไม่ค่อยเห็นนะคะ ต้องจองสังเกตจริงๆถึงจะมองออก ส่วนเปอร์เซนต์หลุมที่ดีขึ้น 0 เปอร์เซนต์
(( โดยรวม -10 เปอร์เซนต์ )) -- ติดลบเพราะทำให้ผิวด่างค่ะ ด่างมาจนถึงก่อนจะทำ dermabrasion

2. เลเซอร์ ndYag (หลักพันต้นๆ)
ต่อเนื่องจากการใช้กรดแต้มซักพัก หมอแนะนำให้ทำเลเซอร์ ndYag ต่อเลยค่ะ หมอจะยิงเลเซอร์ซึ่งเป็นลำแสงร้อนๆมาที่หน้าเรา และประคบเย็นไปด้วยเพื่อลดความร้อนจากเลเซอร์ต่อผิวหนัง หมอบอกว่าถ้าทนได้มากก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราก็กัดฟันทนสิคะ เพราะอยากสวย อิอิ ปรากฏใจเราทนได้ ผิวทนไม่ได้ พอกลับมาพองเป็นถุงน้ำเลยจ้า อารมณ์เหมือนโดนท่อไอเสียนาบแล้วผิวเป็นถุงน้ำ พอแตกก็เป็นสะเก็ด แต่ไม่ได้มีแผลเป็นใดๆค่ะ (ปล. คนอื่นทำอาจจะไม่ได้เป็นเหมือนเรานะคะ เพราะผิวหนังเราทนได้ไม่เหมือนกัน และเราอาจจะทนเกินลิมิตผิวหนังตัวเองไปหน่อย แหะๆ)
(( -10 เปอร์เซนต์)) ไม่ได้ดีขึ้น ไม่ได้แย่ลง แต่เจ็บตัวและเสียเงิน ค่ะ

3. กรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (หลักหมื่นต้นๆ)
พอโตมาหาเงินได้เอง เราเริ่มสเต็ปไปวิธีที่ advance มากขึ้นค่ะ ด้วยความคิดที่ว่า แพงขึ้นมันต้องดีขึ้นตามราคาสิน่า.. โซนมโน โดยที่มาคือเห็นโปสเตอร์แปะหน้าคลินิก เลยไปปรึกษาคุณหมอแล้วลองทำเลย  ปรากฏคนที่ทำไม่ใช่หมอค่ะ แต่เป็นพนักงานที่ผ่านการเทรนมา  โดยเค้าจะใช้เครื่องมือคล้ายดินสอใหญ่ๆ (ขออภัย เรียกไม่ถูกค่ะ) พ่นเกล็ดอัญมณีที่มีขนาดเล็กมากมาที่หน้าเรา ตอนที่ทำไม่ได้รู้สึกเจ็บไรค่ะ ขัดเสร็จเค้าก็จะมาส์กหน้าให้เป็นอันจบพิธี หน้าไม่เป็นอะไรเลย ไม่ต้องพักหน้าใดๆ หลังทำได้ช่วงนึง เพื่อนทักค่า ทักว่าไปทำไรมาหน้าสากจัง เหมือนหลุมใหญ่ขึ้น  กรี้ดดด เสียเงินแล้วยังหน้าแย่ลงอีก กระซิกๆ เลยหยุดไปตั้งแต่ครั้งที่ 3 ค่ะ จากคอร์สทั้งหมด 5 ครั้ง
(( -20 เปอร์เซนต์)) เสียเงิน หน้าแย่ลง หลุมไม่ได้ดีขึ้น หน้าสากอีก เห้อออ

4. Subcision/ Ematrix (เฉียดแสน ทำ 5 ครั้ง)
ขอเล่าประสบการณ์รวมกันในข้อเดียวเลยนะคะเพราะทำร่วมกันค่ะ เริ่มมาจากโปรโมชั่นของคลินิกหนึ่งที่ลดราคาลงถูกมาก จนยั่วใจ อยากลอง ตอนแรกเราตั้งใจจะทำแต่ Ematrix แต่ด้วยพนักงานแนะนำคู่ subsicion เนื่องด้วยหน้าเราเป็นหลุมแบบ rolling คือมี พังผืดยืดที่ใต้หลุม หากทำการตัดพังผืดออก จะทำให้การยิงเลเซอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากรูปเคสเก่าๆที่พนักงานเอามาให้ดู ผลลัพธ์ดีขึ้นกว่า 70 เปอร์เซนต์ และด้วยราคาที่เพิ่มขึ้นไม่มาก เราจึงตกลงทำ
เริ่มด้วยหมอจะทำความสะอาดหน้า แปะยาชา รอไปครึ่งชั่วโมง จากนั้นใช้เข็ม(หัวเข็มฉีดยา มารู้ทีหลังว่ามันควรจะเป็นเข็มอีกแบบที่ให้ทำ subsicion โดยเฉพาะ) กรีดเข้าไปในผิวเราแล้วใช้เข็มตัดๆพังผืดด้านล่าง เราจะได้ยินเสียง ปีดๆๆ ซึ่งถามว่าเจ็บมั้ย เจ็บค่ะ แต่อยู่ในระดับที่ทนได้ จากนั้นเมื่อหมอสาแก่ใจในการตัดพังผืด จึงเริ่มทำ ematrix ตอนยิงเราว่าเจ็บกว่า subsicion อีกนะ แต่อาจจะแล้วแต่พลังงานที่หมอเลือกเพื่อให้เหมาะสมกับหลุมนั้นๆ พลังงานสูงมาก ก็ร้อนมาก เจ็บมากค่ะ
ความพี้คกว่าตอนทำ คือตอนพักฟื้นค่ะ ตอนทำเสร็จแรกๆหน้าจะแดงมากกก แดงจนคนมอง เราก็เดินขึ้น bts ไปแบบ(แกล้ง)มั่นๆค่ะ ผ่านไปซัก 2 วันหน้าเราจะเริ่มตกสะเก็ด โดยวิธีนี้หน้าเราจะเกิดเป็นสะเก็ดแบบตารางๆตามลักษณะของหัวที่ใช้ยิงเลเซอร์ค่ะ, ผ่านไป 3 วัน สะเก็ดจะเริ่มลอก และจะลอกออกไปหมดภายใน 7 วันค่ะ ผลที่ได้หลังจาก 7 วัน คือ หน้าดีมาก ขาวขึ้น เนียนขึ้น และเหมือนหลุมจะดีขึ้นค่ะ แต่พอผ่านไป 1 เดือน หน้าก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม Facepalmผลลัพธ์โดยรวมหลังทำจบคอร์ส -------> เหมือนก่อนทำเลยจ้าาา (( -30 เปอร์เซนต์)) พักฟื้นนาน ชีวิตลำบาก หลุมไม่ได้ดีขึ้น เจ็บ และที่สำคัญ แพงง

5. Dermaroller (ครึ่งหมื่น ทำ 5 ครั้ง)
เมื่อวิธีก่อนหน้าไม่ได้ผล มูฟต่อค่า จะรออะไร เราเริ่มเสิชหาวิธีต่างๆที่จะทำให้หลุมสิวดีขึ้น แล้วเราก็เจอ Dermaroller เมื่อหาต่อก็เจอหมอที่ว่าดังมาก และเคส dermaroller เยอะมากในไทย เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ปรึกษาเสร็จ ซื้อคอร์ส ทำเลยจ้า เริ่มด้วยแปะยาชา นอนรอตามสเต็ป  จากนั้นหมอก็จะใช้เครื่องมือ ที่มีหนาม กลิ้งลงบนหน้าเรา (เพื่อนๆคนไหนนึกภาพไม่ออก ลองเสิชดูเลยจ้า) ระหว่างกลิ้งหมอก็จะใช้วิตามินที่หมอบอกว่าผสมเป็นสูตรพิเศษของหมอ หยดลงบนผิวเราขณะกลิ้งด้วย เราคิดว่านี่อาจจะเป็นเทคนิกเพิ่มมูลค่าส่วนตัวของแต่ละคลินิก พอกลิ้งเสร็จหมอชมว่า ทำไมทนเจ็บเก่งจัง คนไข้ปกติหมอกลิ้ง 5 รอบก็ไม่ไหวแล้ว แต่เราทนได้ถึง 10 ครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่มากที่สุดที่หมอจะทำ เราคิดในใจแหงล่ะสิ หน้าทนทานขนาดนี้ ผ่านมาหลายสนามแว้วว อิอิอิ
เล่าถึงการพักฟื้น ต้องพักหน้า 1 วัน คือ ไม่แต่งหน้า ไม่ให้โดนน้ำ โดนแดด วันถัดไปก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติค่ะ แต่หน้าจะเป็นสะเก็ดเล็กๆๆ ลูบดูแล้ว สากๆ  มองด้วยตาไม่เห็น แล้วจะค่อยๆลอกออก กลับมาเป็นเนื้อผิวเหมือนเดิม และไม่มีผลใดๆ ต่อการใช้ชีวิตค่ะ

 ((10 เปอร์เซนต์))  หลุมตื้นขึ้น แต่ไม่เยอะนะคะ แค่ 5-10 เปอเซนต์เท่านั้น แต่ส่วนตัวเราว่า ผิวเนียนขึ้น อาจจะเป็นเพราะวิตามินที่หมอใส่ระหว่างทำ แต่พอไม่ได้ทำต่อเนื่อง ผิวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมค่ะ ผลที่ได้รวมๆเทียบกับราคายังคิดว่าแรงอยู่นะ

ไปต่อค่ะ สถานีถัดไปปปป

6. Dermabrasion (เฉียดแสน 1 ครั้ง)
เดินทางมาถึงวิธีในลิสต์ของเราสุดท้ายที่อยากทำ ลังเล เพราะถ้าวิธีอื่นได้ผลก็คงไม่ทำ เพราะไปเสิชดูแล้ว แอบสยองนิดๆค่ะ วิธีนี้หลักการง่ายๆคือการไถเอาผิวหนังด้านบนของเราออกไป พอผิวใหม่ขึ้น หลุมก็จะตื้นขึ้น โดยหมอจะใช้เครื่องมือฝนผิวด้านบนของเราออกไป วิธีนี้เจ็บมาก ต้องฉีดยาชาค่ะ โดยหมอจะใช้เข็มจิ้มๆไปบนหน้าของเราหลายๆจุดเพื่อฉีดยาชา ซักพักยาออกฤทธิ์จึงเริ่มทำค่ะ จะบอกว่าไม่รู้อะไรเลย คงเพราะยาชา เจ็บสุดคือขั้นตอนการฉีดยาชาค่ะ แต่ไม่มากอยู่ในระดับที่ทนได้ ระหว่างทำคือตื่นเต้นมากกก ใช้เวลาทำประมาณ 40 นาที คิดว่าคงพี้คสุด แต่ความพี้คจริงๆอยู่ที่การพักฟื้นค่ะ เพราะต้องใช้เวลาพักฟื้น คือไม่ออกไปไหนเลยถึง 2 อาทิตย์! จะมีครบ 1 อาทิตย์แรก มาแกะผ้าปิดแผลและให้หมอดูแผล ล้างแผลเท่านั้น แล้วกลับไปปิดผ้าเหมือนเดิมอีก 1 อาทิตย์ คือ พันหน้าคล้ายมัมมี่เลยค่าา พอหลังจากครบ 2 อาทิตย์ ผิวเราจะชมพูๆ เพราะเป็นผิวขึ้นใหม่ ตรงนี้ต้องรอให้สีผิวสม่ำเสมอกับผิวเดิมอีกประมาณ 3 เดือน เบ็ดเสร็จผ่านไป 6 เดือน เราไม่มีปัญหาเรื่องสีผิวไม่สม่ำเสมอ แต่รู้สึกรูขุมขนกว้างขึ้นค่ะ แต่หลุมตื้นขึ้นนิดหน่อย ประมาณ 5 เปอเซนต์ ส่วนมากที่หายไปคือหลุมจิก ไม่ใช่หลุม rolling เพื่อนๆที่มีหลุม rolling เยอะอาจจะต้องพิจารณาดีๆก่อนทำค่ะ 
(( 0 เปอร์เซนต์)) หลุมดีขึ้นนิดเดียว พักฟื้นเยอะ รุขุมขนกว้างขึ้น พักฟิ้นนาน และแพงง

ใครที่อ่านทุกบรรทัดมาถึงตอนนี้ คือเก่งมากก ค่ะ เราพิมพ์ไปยังเมื่อยมือ รวมถึงความพยายามในการรักษาหลุมของเรา ณ ตอนนี้ด้วย ฮ่าา งงว่า เออเมื่อก่อนพยายามเนอะ หลักๆคือรู้สึกสิ้นเปลือง ทุกข์กาย ทุกข์กระเป๋าเงิน ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับหน้าตัวเองแล้วด้วยค่ะ ไม่เหมือนสมัยก่อน นิดหน่อยก็เสียความมั่นใจ ตอนนี้โอเค แฮปปี้กับหน้าตัวเองแล้ว ดีพอเมื่อพอดีเนอะ

ใครมีคำถาม ถามเพิ่มเติมได้นะคะ แต่อาจจะตอบช้าหน่อยน้า เพี้ยนแข็งแรง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่