แชร์ประสบการณ์......ให้........ระบบประชาธิปไตย.....ทำงานของมันเอง

ผมทำงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง  ในหน่วยงานก็จะมี สหกรณ์ออมทรัพย์ ขอเรียกย่อๆ ว่า สอ. 

ช่วงต้นปี ก็จะมีหารเลือกกรรมการ เพื่อไปบริหาร สอ. ซึ่งคนที่เป็นกรรมการล้วนแต่ได้ค่าเบี้ยประชุม เงินโบนัส ประมาณว่ารวมๆ ก็ 1-2 แสนบาท 

คนที่ไปเลือกตั้งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สนใจจะเข้าฟังอะไรในที่ประชุมใหญ่หรอกครับ ไปเซ็นชื่อ เข้าคูหากาบัตรเลือกตั้ง  รับเงินค่าเดินทาง 2000 บาท แล้วก็กลับ

มันก็เป็นมาแบบนี้เรื่อยๆ ครับสมัยผมทำงานใหม่ๆ ได้แค่ 500 บาท จนทำงานซักปีที่ 5 เริ่มขึ้นมาเป็น 1000 1500 2000 บาท ตามลำดับ เหมือนนโยบายประชานิยมมากแต่ทุกที่มาเลือกตั้งได้ไง จึงมีคนมากันแน่นมากๆ 

ในปี 2556 จากนโยบายประชานิยม ทำให้ กรรมการที่เกษียนอายุ ได้เข้ามาเป็นกรรมการ 12 คน จากทั้งหมด 15 คน เท่ากับว่ามีคนที่เป็นตัวแทนพนักงานที่สถานะทำงานอยู่แค่ 3 คน 

ในต้นปี 2557 ทาง สอ.ได้สรุปรายได้ประจำปี ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นค่าใช้จ่าย และกำไร ก็ต้องเอามาแบ่งให้กับสมาชิกโดยการ เฉลี่ยคืน และปันผลตามหุ้นที่ส่ง
เฉลี่ยคืน ควาหมาย คนกู้ ที่เสียดอกเบี้ย ได้เงินเฉลี่ยคืน
ปันผล  ความหมาย คนที่ฝากเงินโดยการซื้อหุ้นในราคาที่เท่ากันทุกเดือนแบบถอนไม่ได้ ใครมีหุ้นเยอะก็ได้เงินปันผลเยอะ

แต่ปัญหามันอยู่ที่ คนที่เป็นพนักงานส่วนใหญ่ 30,000 กว่าคน อยู่ในกลุ่มเฉลี่ยคืน และ คนเกษียนส่วนใหญ่ น่าจะหลักพัน อยู่ในกลุ่มปันผลเป็นส่วนใหญ่

ทำให้กรรมการ ซึ่งเป็นกลุ่มคนเกษียน หาผลประโยชน์ให้กลุ่มตัวเองโดยการ นำเงินปันผล 7 % เงินเฉลี่ยคืน 3% ซึ่ง....ตามหลักของสหกรณ์โดยทั่วๆ ไป ปันผลกับเฉลี่ยคืนจะพอๆ กัน เช่น 6.1 % กับ 6.3 % หรือ เฉลี่ยนคืน มากกว่าปันผล  

ซึ่งก็เป็นประเด็นทำให้สมาชิกสหกรณ์ไม่พอใจเป็นจำนวนมาก ในปี 2557 คนทำงานส่วนใหญ๋ที่กู้เงิน จึงต้องรับเงินเฉลี่ยคืนน้อยกว่าทุกปี และคนเกษียนก็ได้เงินปันผลมากกว่าทุกปีเช่นกัน ทำในการเลือกตั้งในปี 2557 สมาชิกส่วนใหญ่ ไม่มีใครเลือกกลุ่มคนเกษียน เข้าไปเป็นกรรมการ โดยเลือกคนทำงานด้วยกันแทน และก็เป็นประวัติการ ว่ามีสมาชิกเข้าห้องประชุมใหญ่จนล้นห้องประชุม และได้ตัดงบประมาณ ได้โหวตตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกเป็นจำนวนมาก ทำให้การดำเนินงานของสหกรณ์ในปีนั้น เป็นไปตามที่สมาชิกต้องการ

พอสิ้นปี 2557 และต้นปี 2558 กรรมการที่เป็นตัวแทนคนทำงาน ก็ทำปันผล กับเฉลี่ยคืน ให้โดยเป็นธรรม ทำให้ได้รับเลือกเป็นกรรมการอีกสมัย 
แต่กรรมการในกลุ่ม ก็ยังไม่พอใจ ไปลงสมัครสหภาพ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็มีคนเลือกเข้าไปนะ....ส่วนคนเกษียนก็ไม่ได้รับเลือกเพราะคนจำได้

แต่พอ2559-2561 ทำงานก็ไม่มีผลงาน ในปี 2562 เหล่าสมาชิกก็จึงไม่เลือกพวกเค้าอีก กลับไปเลือก กรรมการหญิง ที่เพิ่งเข้ามาสมัครเป็นปีแรก และอยู่หน่วยงานเล็กๆ ที่มีคนน้อยกว่าหน่วยงานหลัก .....ส่วนคนเกษียนก็ไม่ได้รับเลือกอีกเหมือนเดิม

จึงสรุปได้ว่า ถ้าเราให้ประชาธิปไตยทำงานไปตามระบบของมัน  เราเป็นผู้มีสิทธิมีเสีย เรารู้เราเห็น ว่าใครดี ใครไม่ดี เค้าไม่ดีเราก็ไม่เลือกอีก ก็แค่นั้น 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่