จะมีเด็กเพิ่งหัดดูบอลมานับแค่เปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีกหรือนับแค่จำความได้ ไหมเนี่ย ขนาดบอ.บู่ สาวกมานอูยังรู้เลยว่าแชมป์ลีกใครได้กี่ถ้วย
เกมชิงบัลลังก์
คำเตือน: ยาวมากๆ นะครับ กรุณาอ่านให้ละเอียด และอ่านให้จบก่อนแสดงความเห็น
ย้อนกลับไปในปี 1990 ที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษอย่างยิ่งใหญ่เป็นสมัยที่ 18
ณ ขณะโน้น แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่งเคยสัมผัสเกียรติยศสูงสุดของเมืองหลวงแห่งลูกหนังแค่ 7 ครั้งเท่านั้นเอง แถมยังห่างเหินจากความสำเร็จระดับนี้มานานถึง 23 ปี เข้าให้แล้ว!
นับตั้งแต่หมดยุคของ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ความตกต่ำก็บุกมาเคาะประตูทางเข้าสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อย่างปัจจุบันทันด่วนถึงขนาดกระเด็นตกชั้นเลยทีเดียว และในระหว่างที่ "ปีศาจแดง" กำลังค้นหาทางกลับออกมาจากนรกพลางเฝ้ารอให้ใครบางคนมาทำการกอบกู้ - คู่แค้นตลอดชาติของพวกเขาก็ควบตะบึงด้วยความเร็วแรงกะซวกแชมป์ลีกสูงสุดอย่างสนุกสนานอีกถึง 11 สมัยด้วยกัน
ในยุค 70's และ 80's ลิเวอร์พูล สถาปนาตัวเองเป็นมหาอำนาจลูกหนังอังกฤษแบบเต็มตัว โดยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดถึง 11 สมัยในปี 1973, 1976, 1977, 1979, 1980, 1982, 1983, 1984, 1986, 1988 และ 1990
มิหนำในระหว่างนั้นยังคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ได้อีกถึง 4 สมัยในปี
1977, 1978, 1981 และ1984 และหากไม่เกิดโศกนาฏกรรมที่ เฮย์เซล สเตเดี้ยม ในปี 1985 ขึ้นเสียก่อนจนสโมสรหงส์แดงผู้อหังการโดนแบนห้ามเข้าแข่งฟุตบอลสโมสรยุโรป ผู้ที่หมกมุ่นกับฟุตบอลอังกฤษอย่างผมมั่นใจว่า ลิเวอร์พูล จะคว้าแชมป์รายการนี้เพิ่มขึ้นได้อีกอย่างแน่นอน
อันดับหนึ่งของแผ่นดินอังกฤษในนาทีนั้นคือ ลิเวอร์พูล แบบไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
จวบจนฤดูกาล 1992-93 อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในวันที่ยังไม่มีบรรดาศักดิ์ระดับพระยาหมื่นสามารถเสกให้ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมายึดแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จเป็นการสิ้นสุดการรอคอย
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของยุคมหาอำนาจใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด
บรรดาผู้มีจิตศรัทธาในปีศาจแดงจึงออกอาการเริงร่าน้ำตาเล็ดแบบสุดขีดคลั่งเหมือนไม่เคยได้แชมป์มาก่อน
อืมมมมมม......มันก็จริงนั่นแหละ เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด ห่างเหินความสำเร็จระดับนี้มานานแสนนานถึง 26 ปีเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม
แมนฯ ยูไนเต็ด ยังเป็นแชมป์ลีกสูงสุดตามหลังเจ้าพ่อลูกหนังอังกฤษในยุคนั้นอยู่ถึง 10 สมัย
ทันใดแฟนหงส์บนอัฒจันทร์ที่ แอนฟิลด์ ก็ขึ้นป้ายข้อความประมาณว่า...พวกได้แชมป์สมัยที่ 18 เมื่อไหร่แล้วค่อยมาโม้ดีกว่าว่ะ
นั่นจึงนำมาซึ่งวลีที่ว่า
“My greatest challenge was knocking Liverpool right off their f**king perch" ซึ่งถูกบ้วนออกจากปากของกุนซือชาวสก๊อตต์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด
"ความท้าทายอันใหญ่ยิ่งของผมคือการเขี่ยพวก ลิเวอร์พูล

หล่นจากบัลลังก์ให้ได้"
ถ้าแปลงโวหารเป็นไทยให้ได้อารมณ์และความรู้สึกก็น่าจะประมาณ
"ถีบหงส์ให้หล่นจากคอน" นั่นแหละ
ป๋าทำตามสัญญาที่ให้ไว้ โดยทำสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 18 สมัย เทียบเท่าที่ ลิเวอร์พูล ในปี 2009 หรือ 16 ปีจากที่ให้คำมั่นเอาไว้ ก่อนจะบรรจงถีบหงส์กระเด็นตกจากคอน เมื่อคว้าแชมป์สมัยที่ 19 ในปี 2011 และตามมาด้วยแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 ในปี 2013 ก่อนย่างสามขุมลงจากบัลลังก์อย่างสง่างาม
ในยุค 90's และ 2000's แมนฯ ยูไนเต็ด สถาปนาตัวเองมหาอำนาจลูกหนังอังกฤษทีมใหม่ แม้แต่แชมป์ยุโรป 5 สมัยของ ลิเวอร์พูล พวกเขาก็พยายามจะโค่นมันลงให้ได้ด้วย เมื่อทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศอีก 2 ครั้งในปี 2009 และ 2011 เพียงแต่ยังไม่ได้รับอนุญาตจาก บาร์เซโลน่า ให้เทียบเท่าคู่แค้นแสนรักของตัวเอง
แต่การลาออกจากตำแหน่งพ่อใหญ่แห่ง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กลับกลายเป็นการหวนคืนมาอีกครั้งของวงจรอุบาทว์เหมือนที่ครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นกับพวกเขามาแล้วตอน เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ลงจากบัลลังก์นั่นแหละ
สมมุติว่าถ้าย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ เพื่อแก้ไขความผิดพลาด บางทีท่านเจ้าคุณเฟอร์กี้อาจจำเป็นต้องวางตูดบนเก้าอี้กุนซือปีศาจแดงไปก่อน เพื่อหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่มากกว่านี้
ตอนแรกป๋าแกก็ไม่ได้คิดว่าจะวางมือหรอกครับ โครงการอำลาตำแหน่งผู้จัดการทีมปีศาจแดงเกิดขึ้นเมื่อพี่สาวของศรีภรรยาแห่งป๋าเสียชีวิต แกจึงตัดสินใจอย่างกระทันหัน ประกอบกับการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ต่างจากการทิ้งท้ายที่สง่างามและเหมาะสมที่สุดแล้ว
เวลาในการเตรียมการจึงค่อนข้างกระชั้นชิดเกินไปหน่อย จังหวะก็ไม่ดี สถานการณ์ก็ไม่เป็นใจ เพราะตอนนั้นไม่มียอดกุนซือคนใดที่กำลังว่างหรือใจถึงพอที่จะแบกรับความกดดันขนาดมหึมานี้ แถมยังพลาดที่ไม่เตรียมการให้รัดกุมมากพอจนต้องไปเอา เดวิด มอยส์ เข้ามารับภาระที่ใหญ่หลวงเกินบารมีของตนจะทัดทานทน
พูดง่ายๆ ว่าเลือกคนผิดนั่นแหละ
เมื่อบรมกุนซือระดับป๋าล้างมือในอ่างทองคำ - เบื้องบนของ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมั่นใจในทีมชุดแชมป์ของตัวเองแบบเต็มประดาเกินไปแทนที่จะเอาความมั่งคั่งของตัวเองมาอุดช่องว่างนั้นไปก่อน ฤดูกาล 2003-04 พวกเขากลับซื้อผู้เล่นใหม่ได้แค่ มารูยาน เฟลไลนี่ เพียงคนเดียว ก่อนตามมาด้วย ฆวน มาต้า ในช่วงตลาดหน้าหนาว ซึ่งมันไม่พอสำหรับผู้จัดการทีมที่คุณภาพบัดซบอย่าง เดวิด มอยส์
นับตั้งแต่ปี 2013 กระทั่งบัดเดี๋ยวนี้ อย่าว่าแต่กลับมาเป็นแชมป์เลยครับคุณ เอาแค่ได้ลุ้นก็ยังไม่เคยเลยดีกว่า ซึ่งเรื่องนี้ก็มีคนเคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้แล้วว่ามันอาจเหมือนวัฐจักรที่วนกลับมา เพราะหากคุณศึกษาประวัติศาสตร์ลูกหนังอังกฤษ คุณก็จะพบว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนมหากุนซือคนเก่าอำลาตำแหน่ง
ในเมื่อมี "ตัวอย่าง" ในเมื่อมี "บทเรียน" หรือเรียกอีกอย่างว่า "กรณีศึกษา"
ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านประธานสโมสรและฝูงผู้บริหารของปีศาจแดงได้ศึกษาถึงเรื่องนี้แล้วหาวิธีป้องกันบ้างหรือเปล่า?
บางทีพวกเขาอาจจะทำแล้วก็ได้ เพียงแต่มันช่วยอะไรไม่ได้
แต่หากดูจากการสนับสนุน เดวิด มอยส์ ด้วยผู้เล่นใหม่เพียงแค่ 2 คน หลังคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหนสุดท้าย
เข้าใจว่าพวกพี่ๆ เขาคงไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์สโมสรซะมากกว่าถึงได้ปล่อยให้ความตกต่ำกลับมาเยือนตัวเองอีกครั้งแบบไม่สะทกสะท้าน
โชเซ่ มูรินโญ่ เปิดตัวฤดูกาลแรกในการคุมทีมปีศาจแดงด้วยแชมป์ ลีก คัพ กับ ยูโรปา ลีก ก่อนเข็นทีมเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลต่อมา
ล่วงเข้าฤดูกาลที่ 3 ของการทำงาน คุณพี่เขาขอเบิกเงินเบื้องบนไปซื้อกองหลังมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งทั้งในเกมรับและเกมรุกที่มีจุดอ่อน
สิ่งที่ได้รับประทานจากเบื้องบนคือฟูลแบ็คประเภท "ใครวะ" อย่าง ดิโอโก้ ดาโล่ต์, นายประตูมือสามอย่าง ลี แกรนท์ และนักเตะสายพันธุ์แซมบ้าที่ผลิตใน เซิ่น เจิ้น อย่าง เฟร็ด มาร่วมทีม
ไม่น่าแปลกใจทำไม แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงตกอยู่ในสภาพนี้ ก่อนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ จะโดนไล่ออก เพื่อบูชายันต์ผลงานอันย่ำแย่
ผิดกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากเบื้องบนจนค่อยๆ สร้างทีมใหม่ในสไตล์ตัวเองพลางยกมาตรฐานของ ลิเวอร์พูล ให้สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่ากลัว
เพียงแต่โชคอาจยังไม่เข้าข้างพวกเขาสักเท่าไหร่
กุนซือชาวเยอรมันพาลูกทีมเข้าชิงชนะเลิศ ลีก คัพ, ยูโรปา ลีก และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ชะรอยว่าความพ่ายแพ้ของ ลิเวอร์พูล นี่แหละทำให้พวกผู้บริหารของ แมนฯ ยูไนเต็ด หลงระเริงคิดว่าคู่ขับเคี่ยวของตัวเองยังไม่มีปัญญาประสบความสำเร็จในรูปแบบถ้วยรางวัล
นอกจากนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังโชคดีที่ในระหว่างความตกต่ำของตัวเอง ลิเวอร์พูล ไม่สามารถตีตื้นขึ้นมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จเลยสักครั้ง
กระทั่ง ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่
นี่คือหลักฐานยืนยันการกลับชาติมาเกิดใหม่ของหงส์แดงอย่างหนักแน่นดีนักแล แม้จะยังไม่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกก็ตาม แต่แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2019 บ่งชัดว่านี่คือ ลิเวอร์พูล ที่น่าสยดสยองที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ แถมทีมชุดนี้คงจะเล่นด้วยกันไปอีกนาน และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
หมายความว่าพวกเขาพร้อมทวงความเป็นมหาอำนาจลูกหนังของตัวเองกลับมาอีกครั้ง
ความโชคดีของ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อตัวเองตกต่ำแล้วยังไม่ถูกคู่แค้นอย่าง ลิเวอร์พูล แซงไปไกลมาก ก็เพราะยังมี แมนฯ ซิตี้ นี่แหละที่ช่วยมาคานอำนาจ
คือถ้า ลิเวอร์พูล เป็น "เพื่อไทย" แมนฯ ซิตี้ ก็คงเป็น "พลังประชารัฐ" ล่ะครับ
ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนนี้สภาพไม่ต่างจาก "ประชาธิปัตย์" 5555
หลังจากคว้าแชมป์ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่ ตอนนี้ ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์รวมกัน โดยไม่นับรายการพิเศษอย่าง คอมมิวนิตี้ ชิลด์, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และสโมสรโลก (ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ) เท่ากันที่ 42 ครั้งพอดี
แชมป์ลีกสูงสุด: แมนฯ ยูไนเต็ด 20 ลิเวอร์พูล 18
แชมป์ เอฟเอ คัพ: แมนฯ ยูไนเต็ด 12 ลิเวอร์พูล 7
แชมป์ ลีก คัพ: แมนฯ ยูไนเต็ด 5 ลิเวอร์พูล 8
แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก: แมนฯ ยูไนเต็ด 3 ลิเวอร์พูล 6
แชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ: แมนฯ ยูไนเต็ด 1 ลิเวอร์พูล 0
แชมป์ ยูโรปา ลีก: แมนฯ ยูไนเต็ด 1 ลิเวอร์พูล 3
นี่คือ 2 ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเพียบด้วยประวัติศาสตร์มากที่สุดในเกาะมหาสมบัติ แม้นทั้งคู่จะแทบไม่ค่อยบดขยี้แย่งแชมป์ลีกสูงสุดกันโดยตรงสักเท่าไหร่ก็ตาม
แมนฯ ยูไนเต็ด อาจโชคดีที่ได้เพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญของตัวเองมาช่วยถ่วงดุลย์อำนาจเอาไว้ก่อน เพียงแต่ในขณะเดียวกันอดีตลูกไล่ร่วมเมืองของพวกเขาก็กลายเป็นเบอร์หนึ่งของเมืองหลวงแห่งลูกหนังเช่นกัน
กว่าที่ แมนฯ ซิตี้ จะเทียบเท่าหรือแซงหน้าทีมสีแดงแห่งแมนเชสเตอร์คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ตอนนี้จึงอนุญาตให้สบายใจได้ก่อน แต่ต้องไม่ลืมว่าในความโชคดีที่ยังไม่ตามตูดคู่แค้นตลอดชาติจึงมีความน่าสะพรึงแฝงอยู่ด้วยเหมือนกัน
ในขณะที่ทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์มาช่วยประวิงเวลาไม่ให้ ลิเวอร์พูล ยิ่งใหญ่เกินหน้าเกินตา - แมนฯ ยูไนเต็ด ควรอาศัยจังหวะนี้สร้างทีมขึ้นมาใหม่ด้วยวิธีใหม่ๆ ในเมื่อวิธีเก่ามันใช้ไม่ได้ผล
ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ศึกษานะครับ ถ้าคุณรู้เรื่องฟุตบอลแบบรู้จริง ไม่ใช่รู้แบบงูๆ ปลาๆ มันก็ถึงเวลาที่ต้องปฏิวัติตัวเองขนานใหญ่อีกครั้ง เพราะถ้าคุณเอาคนโง่ๆ มาทำงาน เอาคนโง่ๆ มาเป็นที่ปรึกษา หรือเอาคนโง่ๆ มาไว้ข้างกายเหมือนบางองค์กรในวันที่โลกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วกว่าเดิม ความตกต่ำมันก็จะโผล่มาแสยะยิ้มให้คุณอย่างเย้ยหยัน
หากกลับตัวกลับใจทันก็ยังพอมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งครับว่าการกลับชาติมาเกิดใหม่ของ ลิเวอร์พูล และนาทีนี้จะช่วยให้ดวงตาของปีศาจแดงเห็นธรรมมากขึ้น...บ้างนะ
บอ.บู๋
https://www.siamsport.co.th/column/detail/71750
..........แชมป์ลีกสูงสุด: แมนฯ ยูไนเต็ด 20 ลิเวอร์พูล 18 เกมชิงบัลลังก์.....บาทความโดย บอ.บู๋ เพื่อนมานอู......
เกมชิงบัลลังก์
คำเตือน: ยาวมากๆ นะครับ กรุณาอ่านให้ละเอียด และอ่านให้จบก่อนแสดงความเห็น
ย้อนกลับไปในปี 1990 ที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษอย่างยิ่งใหญ่เป็นสมัยที่ 18
ณ ขณะโน้น แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่งเคยสัมผัสเกียรติยศสูงสุดของเมืองหลวงแห่งลูกหนังแค่ 7 ครั้งเท่านั้นเอง แถมยังห่างเหินจากความสำเร็จระดับนี้มานานถึง 23 ปี เข้าให้แล้ว!
นับตั้งแต่หมดยุคของ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ความตกต่ำก็บุกมาเคาะประตูทางเข้าสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อย่างปัจจุบันทันด่วนถึงขนาดกระเด็นตกชั้นเลยทีเดียว และในระหว่างที่ "ปีศาจแดง" กำลังค้นหาทางกลับออกมาจากนรกพลางเฝ้ารอให้ใครบางคนมาทำการกอบกู้ - คู่แค้นตลอดชาติของพวกเขาก็ควบตะบึงด้วยความเร็วแรงกะซวกแชมป์ลีกสูงสุดอย่างสนุกสนานอีกถึง 11 สมัยด้วยกัน
ในยุค 70's และ 80's ลิเวอร์พูล สถาปนาตัวเองเป็นมหาอำนาจลูกหนังอังกฤษแบบเต็มตัว โดยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดถึง 11 สมัยในปี 1973, 1976, 1977, 1979, 1980, 1982, 1983, 1984, 1986, 1988 และ 1990
มิหนำในระหว่างนั้นยังคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ได้อีกถึง 4 สมัยในปี 1977, 1978, 1981 และ1984 และหากไม่เกิดโศกนาฏกรรมที่ เฮย์เซล สเตเดี้ยม ในปี 1985 ขึ้นเสียก่อนจนสโมสรหงส์แดงผู้อหังการโดนแบนห้ามเข้าแข่งฟุตบอลสโมสรยุโรป ผู้ที่หมกมุ่นกับฟุตบอลอังกฤษอย่างผมมั่นใจว่า ลิเวอร์พูล จะคว้าแชมป์รายการนี้เพิ่มขึ้นได้อีกอย่างแน่นอน
อันดับหนึ่งของแผ่นดินอังกฤษในนาทีนั้นคือ ลิเวอร์พูล แบบไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
จวบจนฤดูกาล 1992-93 อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในวันที่ยังไม่มีบรรดาศักดิ์ระดับพระยาหมื่นสามารถเสกให้ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมายึดแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จเป็นการสิ้นสุดการรอคอย
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของยุคมหาอำนาจใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด
บรรดาผู้มีจิตศรัทธาในปีศาจแดงจึงออกอาการเริงร่าน้ำตาเล็ดแบบสุดขีดคลั่งเหมือนไม่เคยได้แชมป์มาก่อน
อืมมมมมม......มันก็จริงนั่นแหละ เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด ห่างเหินความสำเร็จระดับนี้มานานแสนนานถึง 26 ปีเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม
แมนฯ ยูไนเต็ด ยังเป็นแชมป์ลีกสูงสุดตามหลังเจ้าพ่อลูกหนังอังกฤษในยุคนั้นอยู่ถึง 10 สมัย
ทันใดแฟนหงส์บนอัฒจันทร์ที่ แอนฟิลด์ ก็ขึ้นป้ายข้อความประมาณว่า...พวกได้แชมป์สมัยที่ 18 เมื่อไหร่แล้วค่อยมาโม้ดีกว่าว่ะ
นั่นจึงนำมาซึ่งวลีที่ว่า “My greatest challenge was knocking Liverpool right off their f**king perch" ซึ่งถูกบ้วนออกจากปากของกุนซือชาวสก๊อตต์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด
"ความท้าทายอันใหญ่ยิ่งของผมคือการเขี่ยพวก ลิเวอร์พูล
ถ้าแปลงโวหารเป็นไทยให้ได้อารมณ์และความรู้สึกก็น่าจะประมาณ "ถีบหงส์ให้หล่นจากคอน" นั่นแหละ
ป๋าทำตามสัญญาที่ให้ไว้ โดยทำสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 18 สมัย เทียบเท่าที่ ลิเวอร์พูล ในปี 2009 หรือ 16 ปีจากที่ให้คำมั่นเอาไว้ ก่อนจะบรรจงถีบหงส์กระเด็นตกจากคอน เมื่อคว้าแชมป์สมัยที่ 19 ในปี 2011 และตามมาด้วยแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 ในปี 2013 ก่อนย่างสามขุมลงจากบัลลังก์อย่างสง่างาม
ในยุค 90's และ 2000's แมนฯ ยูไนเต็ด สถาปนาตัวเองมหาอำนาจลูกหนังอังกฤษทีมใหม่ แม้แต่แชมป์ยุโรป 5 สมัยของ ลิเวอร์พูล พวกเขาก็พยายามจะโค่นมันลงให้ได้ด้วย เมื่อทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศอีก 2 ครั้งในปี 2009 และ 2011 เพียงแต่ยังไม่ได้รับอนุญาตจาก บาร์เซโลน่า ให้เทียบเท่าคู่แค้นแสนรักของตัวเอง
แต่การลาออกจากตำแหน่งพ่อใหญ่แห่ง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กลับกลายเป็นการหวนคืนมาอีกครั้งของวงจรอุบาทว์เหมือนที่ครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นกับพวกเขามาแล้วตอน เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ลงจากบัลลังก์นั่นแหละ
สมมุติว่าถ้าย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ เพื่อแก้ไขความผิดพลาด บางทีท่านเจ้าคุณเฟอร์กี้อาจจำเป็นต้องวางตูดบนเก้าอี้กุนซือปีศาจแดงไปก่อน เพื่อหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่มากกว่านี้
ตอนแรกป๋าแกก็ไม่ได้คิดว่าจะวางมือหรอกครับ โครงการอำลาตำแหน่งผู้จัดการทีมปีศาจแดงเกิดขึ้นเมื่อพี่สาวของศรีภรรยาแห่งป๋าเสียชีวิต แกจึงตัดสินใจอย่างกระทันหัน ประกอบกับการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ต่างจากการทิ้งท้ายที่สง่างามและเหมาะสมที่สุดแล้ว
เวลาในการเตรียมการจึงค่อนข้างกระชั้นชิดเกินไปหน่อย จังหวะก็ไม่ดี สถานการณ์ก็ไม่เป็นใจ เพราะตอนนั้นไม่มียอดกุนซือคนใดที่กำลังว่างหรือใจถึงพอที่จะแบกรับความกดดันขนาดมหึมานี้ แถมยังพลาดที่ไม่เตรียมการให้รัดกุมมากพอจนต้องไปเอา เดวิด มอยส์ เข้ามารับภาระที่ใหญ่หลวงเกินบารมีของตนจะทัดทานทน
พูดง่ายๆ ว่าเลือกคนผิดนั่นแหละ
เมื่อบรมกุนซือระดับป๋าล้างมือในอ่างทองคำ - เบื้องบนของ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมั่นใจในทีมชุดแชมป์ของตัวเองแบบเต็มประดาเกินไปแทนที่จะเอาความมั่งคั่งของตัวเองมาอุดช่องว่างนั้นไปก่อน ฤดูกาล 2003-04 พวกเขากลับซื้อผู้เล่นใหม่ได้แค่ มารูยาน เฟลไลนี่ เพียงคนเดียว ก่อนตามมาด้วย ฆวน มาต้า ในช่วงตลาดหน้าหนาว ซึ่งมันไม่พอสำหรับผู้จัดการทีมที่คุณภาพบัดซบอย่าง เดวิด มอยส์
นับตั้งแต่ปี 2013 กระทั่งบัดเดี๋ยวนี้ อย่าว่าแต่กลับมาเป็นแชมป์เลยครับคุณ เอาแค่ได้ลุ้นก็ยังไม่เคยเลยดีกว่า ซึ่งเรื่องนี้ก็มีคนเคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้แล้วว่ามันอาจเหมือนวัฐจักรที่วนกลับมา เพราะหากคุณศึกษาประวัติศาสตร์ลูกหนังอังกฤษ คุณก็จะพบว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนมหากุนซือคนเก่าอำลาตำแหน่ง
ในเมื่อมี "ตัวอย่าง" ในเมื่อมี "บทเรียน" หรือเรียกอีกอย่างว่า "กรณีศึกษา"
ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านประธานสโมสรและฝูงผู้บริหารของปีศาจแดงได้ศึกษาถึงเรื่องนี้แล้วหาวิธีป้องกันบ้างหรือเปล่า?
บางทีพวกเขาอาจจะทำแล้วก็ได้ เพียงแต่มันช่วยอะไรไม่ได้
แต่หากดูจากการสนับสนุน เดวิด มอยส์ ด้วยผู้เล่นใหม่เพียงแค่ 2 คน หลังคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหนสุดท้าย
เข้าใจว่าพวกพี่ๆ เขาคงไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์สโมสรซะมากกว่าถึงได้ปล่อยให้ความตกต่ำกลับมาเยือนตัวเองอีกครั้งแบบไม่สะทกสะท้าน
โชเซ่ มูรินโญ่ เปิดตัวฤดูกาลแรกในการคุมทีมปีศาจแดงด้วยแชมป์ ลีก คัพ กับ ยูโรปา ลีก ก่อนเข็นทีมเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลต่อมา
ล่วงเข้าฤดูกาลที่ 3 ของการทำงาน คุณพี่เขาขอเบิกเงินเบื้องบนไปซื้อกองหลังมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งทั้งในเกมรับและเกมรุกที่มีจุดอ่อน
สิ่งที่ได้รับประทานจากเบื้องบนคือฟูลแบ็คประเภท "ใครวะ" อย่าง ดิโอโก้ ดาโล่ต์, นายประตูมือสามอย่าง ลี แกรนท์ และนักเตะสายพันธุ์แซมบ้าที่ผลิตใน เซิ่น เจิ้น อย่าง เฟร็ด มาร่วมทีม
ไม่น่าแปลกใจทำไม แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงตกอยู่ในสภาพนี้ ก่อนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ จะโดนไล่ออก เพื่อบูชายันต์ผลงานอันย่ำแย่
ผิดกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากเบื้องบนจนค่อยๆ สร้างทีมใหม่ในสไตล์ตัวเองพลางยกมาตรฐานของ ลิเวอร์พูล ให้สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่ากลัว
เพียงแต่โชคอาจยังไม่เข้าข้างพวกเขาสักเท่าไหร่
กุนซือชาวเยอรมันพาลูกทีมเข้าชิงชนะเลิศ ลีก คัพ, ยูโรปา ลีก และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ชะรอยว่าความพ่ายแพ้ของ ลิเวอร์พูล นี่แหละทำให้พวกผู้บริหารของ แมนฯ ยูไนเต็ด หลงระเริงคิดว่าคู่ขับเคี่ยวของตัวเองยังไม่มีปัญญาประสบความสำเร็จในรูปแบบถ้วยรางวัล
นอกจากนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังโชคดีที่ในระหว่างความตกต่ำของตัวเอง ลิเวอร์พูล ไม่สามารถตีตื้นขึ้นมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จเลยสักครั้ง
กระทั่ง ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่
นี่คือหลักฐานยืนยันการกลับชาติมาเกิดใหม่ของหงส์แดงอย่างหนักแน่นดีนักแล แม้จะยังไม่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกก็ตาม แต่แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2019 บ่งชัดว่านี่คือ ลิเวอร์พูล ที่น่าสยดสยองที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ แถมทีมชุดนี้คงจะเล่นด้วยกันไปอีกนาน และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
หมายความว่าพวกเขาพร้อมทวงความเป็นมหาอำนาจลูกหนังของตัวเองกลับมาอีกครั้ง
ความโชคดีของ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อตัวเองตกต่ำแล้วยังไม่ถูกคู่แค้นอย่าง ลิเวอร์พูล แซงไปไกลมาก ก็เพราะยังมี แมนฯ ซิตี้ นี่แหละที่ช่วยมาคานอำนาจ
คือถ้า ลิเวอร์พูล เป็น "เพื่อไทย" แมนฯ ซิตี้ ก็คงเป็น "พลังประชารัฐ" ล่ะครับ
ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนนี้สภาพไม่ต่างจาก "ประชาธิปัตย์" 5555
หลังจากคว้าแชมป์ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่ ตอนนี้ ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์รวมกัน โดยไม่นับรายการพิเศษอย่าง คอมมิวนิตี้ ชิลด์, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และสโมสรโลก (ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ) เท่ากันที่ 42 ครั้งพอดี
แชมป์ลีกสูงสุด: แมนฯ ยูไนเต็ด 20 ลิเวอร์พูล 18
แชมป์ เอฟเอ คัพ: แมนฯ ยูไนเต็ด 12 ลิเวอร์พูล 7
แชมป์ ลีก คัพ: แมนฯ ยูไนเต็ด 5 ลิเวอร์พูล 8
แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก: แมนฯ ยูไนเต็ด 3 ลิเวอร์พูล 6
แชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ: แมนฯ ยูไนเต็ด 1 ลิเวอร์พูล 0
แชมป์ ยูโรปา ลีก: แมนฯ ยูไนเต็ด 1 ลิเวอร์พูล 3
นี่คือ 2 ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเพียบด้วยประวัติศาสตร์มากที่สุดในเกาะมหาสมบัติ แม้นทั้งคู่จะแทบไม่ค่อยบดขยี้แย่งแชมป์ลีกสูงสุดกันโดยตรงสักเท่าไหร่ก็ตาม
แมนฯ ยูไนเต็ด อาจโชคดีที่ได้เพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญของตัวเองมาช่วยถ่วงดุลย์อำนาจเอาไว้ก่อน เพียงแต่ในขณะเดียวกันอดีตลูกไล่ร่วมเมืองของพวกเขาก็กลายเป็นเบอร์หนึ่งของเมืองหลวงแห่งลูกหนังเช่นกัน
กว่าที่ แมนฯ ซิตี้ จะเทียบเท่าหรือแซงหน้าทีมสีแดงแห่งแมนเชสเตอร์คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ตอนนี้จึงอนุญาตให้สบายใจได้ก่อน แต่ต้องไม่ลืมว่าในความโชคดีที่ยังไม่ตามตูดคู่แค้นตลอดชาติจึงมีความน่าสะพรึงแฝงอยู่ด้วยเหมือนกัน
ในขณะที่ทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์มาช่วยประวิงเวลาไม่ให้ ลิเวอร์พูล ยิ่งใหญ่เกินหน้าเกินตา - แมนฯ ยูไนเต็ด ควรอาศัยจังหวะนี้สร้างทีมขึ้นมาใหม่ด้วยวิธีใหม่ๆ ในเมื่อวิธีเก่ามันใช้ไม่ได้ผล
ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ศึกษานะครับ ถ้าคุณรู้เรื่องฟุตบอลแบบรู้จริง ไม่ใช่รู้แบบงูๆ ปลาๆ มันก็ถึงเวลาที่ต้องปฏิวัติตัวเองขนานใหญ่อีกครั้ง เพราะถ้าคุณเอาคนโง่ๆ มาทำงาน เอาคนโง่ๆ มาเป็นที่ปรึกษา หรือเอาคนโง่ๆ มาไว้ข้างกายเหมือนบางองค์กรในวันที่โลกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วกว่าเดิม ความตกต่ำมันก็จะโผล่มาแสยะยิ้มให้คุณอย่างเย้ยหยัน
หากกลับตัวกลับใจทันก็ยังพอมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งครับว่าการกลับชาติมาเกิดใหม่ของ ลิเวอร์พูล และนาทีนี้จะช่วยให้ดวงตาของปีศาจแดงเห็นธรรมมากขึ้น...บ้างนะ
บอ.บู๋
https://www.siamsport.co.th/column/detail/71750