พบปมญี่ปุ่นคลั่งไล่แทงเด็กนักเรียน!!! ต้องการฆ่าตัวตายให้โลกตะลึง!!!
5/6/2019

เมื่อ 4 มิ.ย. เอ็นเอชเค รายงานเจาะลึกรายละเอียดคดีสะเทือนขวัญญี่ปุ่นที่มือมีดวัย 51 ปีไล่แทงฝูงชน ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน บริเวณป้ายรถเมล์ หน้าโรงเรียนมัธยม เมืองคาวาซากิ คร่าชีวิตเหยื่อ 2 ราย เป็นเด็กนักเรียนหญิงอายุ 12 ปี และข้าราชการหนุ่มอีกราย ก่อนคนร้ายแทงตัวตาย ว่าสื่อมวลชนญี่ปุ่นพากันสรุปว่าผู้ก่อเหตุเข้าข่าย “ฮิคิโกะโมริ” หรือ การถอนตัวจากสังคม
จากการสอบประวัติ ริวอิจิ อิวาซากิ มือมีด วัย 51 ปี ผู้ก่อเหตุวันที่ 28 พ.ค. มีลักษณะฮิคิโกะโมริ จากการว่างงานมาหลายปี และปลีกตัวจากสังคม เหมือนผู้ที่เป็น ฮิคิโกะโมริ ที่ไม่ชอบไปไหน ไม่ทำอะไรเลย ไม่พบใคร แยกตัวเองออกจากสังคมโดยเก็บตัวอยู่ในบ้านเป็นเดือนๆ หรือหลายปี
แต่เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ว่าอิวาซากิไม่น่าเป็นโรคฮิคิโกะโมริ เพราะยังดูแลตัวเอง ทำอาหารและซักผ้าเอง
แหล่งข่าวจากฝ่ายสอบสวนเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดหลายจุดและพบว่าชายคล้ายนายอิวาซากิไปปรากฏตัวที่สถานีรถไฟและสถานที่ใกล้กับที่เกิดเหตุ 4 วันก่อนลงมือ ซึ่งตำรวจสันนิษฐานว่าเขาอาจมาดูลาดเลาเอาไว้ก่อน ส่วนมีดยาว 30 ซ.ม. เล่มที่ใช้ก่อเหตุ นายอิวาซากิซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อเดือน ก.พ. และยังพบมีดอีกหลายเล่มในเป้สะพายหลัง
ด้าน ศาสตราจารย์ ทากายูกิ ฮาราดะ แห่งมหาวิทยาลัยซึกุบะ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเกี่ยวกับอาชญากรรม กล่าวว่า การซื้อมีดเก็บไว้และการวางแผนแสดงถึงความตั้งใจที่จะฆ่าคนอื่นหรืออาจเป็นการตั้งใจฆ่าตัวตายก็ได้
แต่เมื่อพิจารณาจากเจตนาแล้วเห็นว่าเป็นการจงใจขยายความการฆ่าตัวตาย โดยต้องการให้คนทั้งโลกสนใจตัวเอง
อิวาซากิอาศัยอยู่กับลุงและป้าอายุประมาณ 80 ปี ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 4 ก.ม. ทั้งคู่เคยปรึกษาภาวะทางจิตของหลานกับเจ้าหน้าที่สำนักงานสวัสดิการสังคมเมื่อปี 2560 เพราะเป็นคนเก็บตัวและสื่อสารกันไม่ราบรื่น อีกทั้ง เป็นห่วงอนาคตหลานเพราะนับวันลุงกับป้าก็ชราภาพมากขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่จึงแนะนำให้เขียนจดหมายคุยกัน ลุงกับป้าจึงทิ้งจดหมายไว้หน้าห้องหลาน
โมริโตะ อิชิซากิ บรรณาธิการบริหารนิตยสาร “ฮิคิโพส” ซึ่งเขียนบทความประสบการณ์ผู้ที่เป็นโรคฮิคิโกะโมริ บอกว่าเขาเองก็เคยเก็บตัว และเห็นว่าแม้คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าคนเป็นฮิคิกะโมริเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงจากเหตุการณ์แทงหมู่ แต่ต้องแยกแยะระหว่างคนเป็นโรคฮิคิโกะโมริกับผู้ก่อเหตุ พร้อมกับเตือนว่าการรังเกียจเดียดฉันท์ หรือเลือกปฏิบัติกับคนที่เป็นโรคนี้ ยิ่งทำให้พวกเขาเหล่านี้รู้สึกเลวร้ายยิ่งขึ้น
ผลการสำรวจของคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นพบเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนประมาณ 613,000 คนที่อยู่ในช่วงอายุ 40-64 ปีเป็นโรคฮิคิโฮโมริซึ่งเป็นการสำรวจกับกลุ่มอายุนี้เป็นครั้งแรกและยังพบด้วยว่ากลุ่มอายุดังกล่าวมีจำนวนมากกวากลุ่มอายุ 15-39 ซึ่งเป็นฐานกลุ่มเดิม
อิชิซากิบอกว่าคนหนุ่มสาวมีความกังวลเรื่องความสัมพันธ์และเพื่อน ขณะที่กลุ่มวัยกลางคนและกลุ่มผู้สูงอายุต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดภายใต้แรงกดดันหลายๆ เรื่อง จึงพอจะนึกภาพออกว่าอิวาซากิมีอายุประมาณ 50 ปีหรือแก่กว่านั้น อาจรู้สึกไร้อนาคตเพราะตกงานมานานและอาจคิดฆ่าตัวตาย มากกว่าคิดแยกตัวออกจากสังคมไปตลอดชีวิต
สิ่งสำคัญ คือ ต้องพัฒนาความสัมพันธ์กับคนที่แยกตัวจากสังคมรอบข้างและไม่ตราหน้าพวกเขาว่าเป็น “ฮิคิโกะโมริ” เพราะยิ่งตอกย้ำให้คนกลุ่มนี้เจ็บลึก แต่ควรสร้างบรรยายกาศให้ดีขึ้นทีละนิด เริ่มด้วยการสื่อสารและพยายามสร้างความสัมพันธ์ให้เขาไว้ใจได้เพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอยในเมืองคาวาซากิ
https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_2583880
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/38911148
มือมีด ไล่แทงเด็กนักเรียน!!! ตาย 3 ศพ!!! เจ็บ 16 ราย!!! ในญี่ปุ่น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/38931468
Hikikomori คนเหงากลายเป็นฆาตกร!!! คนสูญหายกว่าล้านคนที่รอเวลา เอาคืน สังคม!!! ในญี่ปุ่น
เหตุสะเทือนขวัญที่ชายคนหนึ่งใช้มีดไล่แทงผู้คนกลางเมืองคาวาซากิในญี่ปุ่น จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ สะท้อนปัญหาของกลุ่มคนที่ปลีกตัวจากสังคม หรือ ฮิคิโคโมริ ที่ไม่เพียงทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียทรัพยากรมนุษย์กว่าล้านคน แต่กลุ่มคนเหงาเหล่านี้ยังอาจกลายเป็นฆาตกรที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์
ฮิคิโคโมริ ตามนิยามของกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นระบุว่า เป็นบุคคลที่ปฏิเสธที่จะออกจากบ้าน และปลีกตัวจากสังคมเป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือน คนเหล่านี้ไม่ไปโรงเรียน ไม่ทำงาน ไม่ติดต่อกับผู้ใดนอกจากคนในครอบครัว เก็บตัวอยู่ในห้อง บางคนอาจอาการหนักถึงขนาดปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่ดูแลสุขอนามัยตัวเอง มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาคนในครอบครัวเท่านั้น
ฮิคิโคโมริไม่ใช่แค่อาการเหงา แต่คนเหล่านี้มีแนวโน้มจะเป็นโรคซึมเศร้าจนฆ่าตัวตาย หรืออาจแปรเปลี่ยนเป็นการฆ่าคนอื่นเหมือนเช่นที่เกิดขึ้น
นักจิตวิทยาระบุว่า ฮิคิโคโมริอาจเกิดจากความผิดหวังจากเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น ล้มเหลวในการสอบ หรือการทำงาน ผนวกกับแรงกดดันจากสังคมและคนรอบข้าง ทำให้เกิดความเครียดสะสม จนเกิดเป็นความเบื่อหน่ายที่จะต้องพบปะผู้คนและรับแรงกดดัน หรืออาจเกิดกับคนที่แตกต่างหรือโดดเด่นกว่าคนอื่น จนทำให้รู้สึกถูกล้อเลียนหรือกลั่นแกล้ง จนสูญเสียความมั่นใจและรู้สึกแย่ จึงเลือกที่จะแยกตัวออกจากสังคมเพื่อหลีกหนี
คนที่สูญหายกว่าล้านคน รอเวลา “เอาคืน” สังคม
ฮิคิโคโมริที่เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะตัว แต่คือ “ระเบิดเวลา” เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม การไม่มีสังคมยิ่งทำให้คนเหล่านี้เก็บกดจนอาจแปรเปลี่ยนเป็นการใช้ความรุนแรง เพื่อ “ล้างแค้น” สังคม หรือระบายความทุกข์ทนของตนเอง
บรรดาฮิคิโคโมริไม่เพียงเป็นภาระของครอบครัว แต่กำลังจะกลายเป็นภาระของสังคม เพราะคนเหล่านี้มักจะเป็นผู้ที่ปลีกตัวจากสังคมหลังฟองสบู่เศรษฐกิจแตก และทุกวันนี้พ่อแม่ของพวกเขาเริ่มชรา จนไม่สามารถดูแลลูกหลานที่เกาะพ่อแม่กินแบบนี้ได้อีกต่อไป
ฮิคิโคโมริรายหนึ่งปลีกตัวจากสังคมตั้งแต่อายุ 20 ปี จนทุกวันนี้อายุ 53 ปี และแม่ของเขาอายุ 90 ปี ยอมรับว่า ถ้าแม่ตายไป เขาอาจจะตายตามแม่ไป เพราะแม่เป็นคนทำอาหาร ซักเสื้อผ้า และดูแลเขาทุกอย่าง จนเขาไม่รู้ว่าถ้าไม่มีแม่ จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
สภาพเช่นนี้ในญี่ปุ่นเรียกว่า “ปัญหา80-50” ซึ่งหมายถึงพ่อแม่ในวัย 80 ปี ต้องดูแลลูกที่เป็นฮิคิโคโมริในวัย50 ปี พ่อแม่สูงวัยที่มีรายได้เพียงแค่เงินบำนาญก็อยู่ยากแล้ว พละกำลังก็ถดถอย ลำพังตัวเองก็ลำบากแล้ว ยังจะดูแลลูกที่เป็นฮิคิโคโมริได้อีกหรือ?
ยิ่งกว่านั้นฮิคิโคโมริในวัย 50 ปีจะกลับคืนสู่สังคมก็ยากอย่างยิ่ง คนเหล่านี้จึงอาจเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง และบางครั้งก็เอาชีวิตคนอื่นไปด้วย เช่น นายริวอิจิ อิวาซากิ มือมีดที่ก่อเหตุที่เมืองคาวาซากิก็มีอายุ 51 ปี
การสำรวจของรัฐบาลญี่ปุ่นพบว่า มีกลุ่มคนที่เข้าข่ายฮิคิโคโมริในวัย 15-39 ปีราว 541,000คน และฮิคิโคโมริในวัย 40 -64 ปีมี 613,000 คน แต่ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าตัวเลขฮิคิโคโมริที่แท้จริงอาจมากถึง 2 ล้านคน เนื่องจากพ่อแม่จำนวนมากไม่กล้าเปิดเผยว่าลูกของตนเป็น "คนล้มเหลว"
ผลสำรวจยังพบว่า ฮิคิโคโมริจำนวนมากปลีกตัวจากสังคมมา 5 ปีหรือมากกว่า บางคนโดดเดี่ยวตัวเองมานานถึง 30 ปี คนเหล่านี้ไม่ออกไปทำงาน ไม่มีรายได้ ไม่จ่ายภาษี ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ญี่ปุ่นไม่เพียงสูญรายได้มหาศาล แต่ยังสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ ที่เป็นแรงงานสร้างชาติด้วย
สังคมญี่ปุ่นลดค่าปัจเจก ความต่างคือผิดแปลก
ในญี่ปุ่นมีคำพูดว่า “หากมีตะปูตัวหนึ่งที่โผล่ขึ้นมา จงตอกมันลงไป” สะท้อนถึงสังคมญี่ปุ่นที่ให้ค่ากับการทำตามพฤติกรรมกลุ่มมากกว่าอัตลักษณ์เฉพาะตน คนที่แปลกแยกจากจากคนส่วนใหญ่ ไม่ได้ถูกมองว่า “โดดเด่น” เหมือนค่านิยมตะวันตก แต่จะไม่ได้รับการยอมรับให้เข้าพวก หรือบีบคั้นจนต้องปลีกตัวไปจากสังคมในที่สุด
สังคมญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับ "หน้าตา" ทางสังคม มีค่านิยมว่าในช่วงวัยหนึ่ง ๆ ต้องมีเส้นทางชีวิตอย่างไร เช่น สอบเข้ามหาวิทยาลัย เข้าทำงานในบริษัท แต่งงาน มีลูก มีทรัพย์สินไม่น้อยหน้าคนอื่น เป็นต้น แรงกดดันเช่นนี้ทำให้คนที่ก้าวพลาดในขั้นใดขั้นหนึ่ง สูญเสียความมั่นใจ หรือถูกประเมินว่า “ไม่เอาไหน” ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ จนพวกเขาต้องถอนตัวจากสังคม
หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก ผู้คนต่างทำงานหนักเพื่อกอบกู้ประเทศขึ้นใหม่ ความรุ่งโรจน์ในอดีตก็เป็นแรงกดดันให้คนรุ่นต่อไปจะสร้างอนาคตที่สดใสกว่า แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะไปถึงเส้นชัยได้....คนแพ้ที่ถูกทิ้งให้ต้องดูแลตัวเองเหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนแผลที่บาดลึกในใจตัวเอง เป็นคมมีดที่ปลิดชีพผู้บริสุทธิ์ !
https://mgronline.com/japan/detail/9620000052482
https://www.facebook.com/TheDongFangBubai/photos/a.541063909609692/814392512276829
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/tanakon009/posts/2686303711485469
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/tanakon009/posts/894242597358265
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ของขึ้นชื่อประเทศญี่ปุ่น
https://pantip.com/topic/38317447/comment1
พบปมญี่ปุ่นคลั่งไล่แทงเด็กนักเรียน!!! ต้องการฆ่าตัวตายให้โลกตะลึง!!!
5/6/2019
เมื่อ 4 มิ.ย. เอ็นเอชเค รายงานเจาะลึกรายละเอียดคดีสะเทือนขวัญญี่ปุ่นที่มือมีดวัย 51 ปีไล่แทงฝูงชน ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน บริเวณป้ายรถเมล์ หน้าโรงเรียนมัธยม เมืองคาวาซากิ คร่าชีวิตเหยื่อ 2 ราย เป็นเด็กนักเรียนหญิงอายุ 12 ปี และข้าราชการหนุ่มอีกราย ก่อนคนร้ายแทงตัวตาย ว่าสื่อมวลชนญี่ปุ่นพากันสรุปว่าผู้ก่อเหตุเข้าข่าย “ฮิคิโกะโมริ” หรือ การถอนตัวจากสังคม
จากการสอบประวัติ ริวอิจิ อิวาซากิ มือมีด วัย 51 ปี ผู้ก่อเหตุวันที่ 28 พ.ค. มีลักษณะฮิคิโกะโมริ จากการว่างงานมาหลายปี และปลีกตัวจากสังคม เหมือนผู้ที่เป็น ฮิคิโกะโมริ ที่ไม่ชอบไปไหน ไม่ทำอะไรเลย ไม่พบใคร แยกตัวเองออกจากสังคมโดยเก็บตัวอยู่ในบ้านเป็นเดือนๆ หรือหลายปี
แต่เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ว่าอิวาซากิไม่น่าเป็นโรคฮิคิโกะโมริ เพราะยังดูแลตัวเอง ทำอาหารและซักผ้าเอง
แหล่งข่าวจากฝ่ายสอบสวนเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดหลายจุดและพบว่าชายคล้ายนายอิวาซากิไปปรากฏตัวที่สถานีรถไฟและสถานที่ใกล้กับที่เกิดเหตุ 4 วันก่อนลงมือ ซึ่งตำรวจสันนิษฐานว่าเขาอาจมาดูลาดเลาเอาไว้ก่อน ส่วนมีดยาว 30 ซ.ม. เล่มที่ใช้ก่อเหตุ นายอิวาซากิซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อเดือน ก.พ. และยังพบมีดอีกหลายเล่มในเป้สะพายหลัง
ด้าน ศาสตราจารย์ ทากายูกิ ฮาราดะ แห่งมหาวิทยาลัยซึกุบะ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเกี่ยวกับอาชญากรรม กล่าวว่า การซื้อมีดเก็บไว้และการวางแผนแสดงถึงความตั้งใจที่จะฆ่าคนอื่นหรืออาจเป็นการตั้งใจฆ่าตัวตายก็ได้
แต่เมื่อพิจารณาจากเจตนาแล้วเห็นว่าเป็นการจงใจขยายความการฆ่าตัวตาย โดยต้องการให้คนทั้งโลกสนใจตัวเอง
อิวาซากิอาศัยอยู่กับลุงและป้าอายุประมาณ 80 ปี ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 4 ก.ม. ทั้งคู่เคยปรึกษาภาวะทางจิตของหลานกับเจ้าหน้าที่สำนักงานสวัสดิการสังคมเมื่อปี 2560 เพราะเป็นคนเก็บตัวและสื่อสารกันไม่ราบรื่น อีกทั้ง เป็นห่วงอนาคตหลานเพราะนับวันลุงกับป้าก็ชราภาพมากขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่จึงแนะนำให้เขียนจดหมายคุยกัน ลุงกับป้าจึงทิ้งจดหมายไว้หน้าห้องหลาน
โมริโตะ อิชิซากิ บรรณาธิการบริหารนิตยสาร “ฮิคิโพส” ซึ่งเขียนบทความประสบการณ์ผู้ที่เป็นโรคฮิคิโกะโมริ บอกว่าเขาเองก็เคยเก็บตัว และเห็นว่าแม้คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าคนเป็นฮิคิกะโมริเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงจากเหตุการณ์แทงหมู่ แต่ต้องแยกแยะระหว่างคนเป็นโรคฮิคิโกะโมริกับผู้ก่อเหตุ พร้อมกับเตือนว่าการรังเกียจเดียดฉันท์ หรือเลือกปฏิบัติกับคนที่เป็นโรคนี้ ยิ่งทำให้พวกเขาเหล่านี้รู้สึกเลวร้ายยิ่งขึ้น
ผลการสำรวจของคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นพบเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนประมาณ 613,000 คนที่อยู่ในช่วงอายุ 40-64 ปีเป็นโรคฮิคิโฮโมริซึ่งเป็นการสำรวจกับกลุ่มอายุนี้เป็นครั้งแรกและยังพบด้วยว่ากลุ่มอายุดังกล่าวมีจำนวนมากกวากลุ่มอายุ 15-39 ซึ่งเป็นฐานกลุ่มเดิม
อิชิซากิบอกว่าคนหนุ่มสาวมีความกังวลเรื่องความสัมพันธ์และเพื่อน ขณะที่กลุ่มวัยกลางคนและกลุ่มผู้สูงอายุต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดภายใต้แรงกดดันหลายๆ เรื่อง จึงพอจะนึกภาพออกว่าอิวาซากิมีอายุประมาณ 50 ปีหรือแก่กว่านั้น อาจรู้สึกไร้อนาคตเพราะตกงานมานานและอาจคิดฆ่าตัวตาย มากกว่าคิดแยกตัวออกจากสังคมไปตลอดชีวิต
สิ่งสำคัญ คือ ต้องพัฒนาความสัมพันธ์กับคนที่แยกตัวจากสังคมรอบข้างและไม่ตราหน้าพวกเขาว่าเป็น “ฮิคิโกะโมริ” เพราะยิ่งตอกย้ำให้คนกลุ่มนี้เจ็บลึก แต่ควรสร้างบรรยายกาศให้ดีขึ้นทีละนิด เริ่มด้วยการสื่อสารและพยายามสร้างความสัมพันธ์ให้เขาไว้ใจได้เพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอยในเมืองคาวาซากิ
https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_2583880
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้