สวัสดีครับ
เจอกันอีกล่ะ ^ ^ หลังจากครั้งที่แล้ว ได้รีวิว
รถที่ตัวเองไม่รู้จักและไม่เคยใช้เลยแบบ Harley ไปแล้ว
ครั้งนี้ขอรีวิวรถที่ตัวเองรู้จักดีที่สุดบ้างดีกว่าครับ
คันนี้เป็นรถของผมเองครับ Honda CRF1000L Africa Twin รุ่นปี 2017 ตัว เกียร์ Manual
ถือโอกาสที่เพิ่งกลับมาจากทริปเบตงเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว
และรถวิ่งไป 22,222 กิโลเมตรพอดี อยู่ด้วยกันมา 20 เดือน ใช้มันไปเกือบครบทุกสภาพเส้นทาง
รวมทั้งได้ไปเช่ารถรุ่นนี้ที่เป็นเกียร์ DCT ขี่ในทะเลทรายที่ประเทศ Namibia มาอีกสี่พันกว่ากว่ากิโลเมตร
ก็เรียกได้ว่า พอจะรู้ข้อดีข้อเสีย จุดเด่น จุดด้อย ของรถรุ่นนี้พอสมควร
ก็เลยอยากเอามาเล่าสู่กันฟังนะครับ
สไตล์การรีวิว ก็คงจะคล้ายกับตอนที่เขียนเรื่อง Harley นะครับ
คือเน้นไปที่ความรู้สึกจากการใช้งานจริง ฟีลลิ่งการขับขี่จริง
เรื่องทางเทคนิค สเปคเป็นยังไง มีอะไร ไม่มีอะไรบ้าง
ผมคงจะกล่าวถึงน้อยมาก เพราะมันเป็นเรื่องที่เราหาอ่านได้ทั่วไป
ในเน็ตหรือในโบรชัวร์ของรถอยู่แล้วนะครับ
และผมก็ไม่อยากลงเป็น Customer Review ด้วย
เพราะมันเหมือนกับใช้แล้ว มาเล่าสู่กันฟังมากกว่า
ไม่ได้เป็นการ รีวิว เต็มตัวอะไรแบบนั้นครับ
รูปประกอบ ผมก็จะลงตามใจนะ ^ ^
คือรูปไม่ได้ลิงค์กับบทความหรอก เป็นแค่รูปที่ผมถ่ายรถเก็บไว้เรื่อย ๆ เท่านั้นครับ
แต่งรูปเล่นหลาย ๆ แบบ แล้วก็เอามาโชว์ แค่นั้นครับ
คันสี Tri Color เป็นรถของผมเอง
คันสี แดงดำ เป็นรถที่ผมไปเช่าขี่ที่ Namibia
แล้วก็จะมีคลิปที่ทำเล่น ๆ ไว้ 2-3 คลิป ตอนไปขี่ที่ Namibia
กับช่วงผ่านทางโค้งก่อนถึงเบตงมาให้ดูกันนิด ๆ หน่อย ๆ ครับ

เอาล่ะ เริ่มต้นกันเลย
ทำไมถึงซื้อ Africa Twin Africa Twin
ต้องเล่าก่อนว่า ผมใช้ CBR1100XX ในการขี่เที่ยว ออกทริป มาเกิน 10 ปีแล้วครับ
(ซื้อมาตั้งปี 2008) ก็ขี่ไปเกือบทุกที่ในเมืองไทย
เท่าที่รถมันจะพาไปได้แล้วครับ Mileage ปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 150,000 กิโลเมตร
(ตอนผมซื้อมา Mileage อยู่ที่ประมาณ 38,000 กิโลเมตร )

อยู่ด้วยกันมา 11 ปี (แต่ในช่วงนั้นมีจอดทิ้งไว้เฉย ๆ 2 ปีกว่า ตอนผมไปทำงานที่ญี่ปุ่น)
ใช้ไป 110,000 กว่ากิโลเมตร ก็ถือว่าไม่ได้มากมายอะไรนะ
เพราะเดี๋ยวนี้พวกสายออกทริปจริงจัง 3-4 ปี ก็ขี่กันเกินแสนกิโลเมตรแล้ว

แต่อายุจริงของรถผม คือประมาณ 20 ปีแล้วครับ (เป็น CBR1100XX รุ่นปี 1998)
ชิ้นส่วนต่าง ๆ ก็เริ่มเสื่อมไปตามเวลา
ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ อะไหล่ก็เริ่มหายากขึ้นทุกวัน
ตอนนี้ผมต้องสั่งจากญี่ปุ่นอย่างเดียว
ก็เลยคิดว่า คงได้เวลาเปลี่ยนรถแล้วล่ะ
เก็บ Blackbird ไว้ขี่เล่นใกล้ ๆ เมือง
ออกทริปแบบระยะทาง 100-200 กิโลเมตรดีกว่า
เลยเป็นที่มาของความต้องการรถมอเตอร์ไซค์เพิ่มอีกคัน

โดย Requirement หลักของผมในครั้งนี้คือ
รถคันใหม่นี้ ต้องพาผมไปในที่ที่ Blackbird ไปไม่ได้
(คือถ้ามีคันใหม่ แล้วไปได้แค่เส้นทางเดิม ๆ ก็ไม่รู้จะซื้อใหม่ทำไม)
พูดให้ง่าย ๆ คือ ต้องลุยทางฝุ่นทางโคลนได้นั่นล่ะครับ
พอมี Requirement หลัก ประมาณนี้
ก็ทำการเลือกครับ
ขั้นต้น ผมตัดรถต่ำกว่า 1000 ซีซี ออกไปเกือบหมด
500X ของฮอนด้า Versys ของคาวาฯ V-Strom ของซู
เป็นแค่ On-road ที่พอจะลุยได้บ้างเล็กน้อยเท่านั้น
Tiger800 ของ Triumph ลุยได้ดีขึ้น แต่ผมเคยลองขี่อยู่ 300-400 กิโลเมตร
แล้วรู้สึกว่า Character ของเครื่อง 3 สูบตัวนี้ มันไม่เหมาะกับรถทัวริ่งทางฝุ่น
มันจะรู้สึกสนุก ขี่ดี ก็ตอนที่ใช้รอบเครื่องและความเร็วสูง
เพราะถึงแรงม้าสูงสุดเยอะจะกว่า Africa Twin ก็จริง แต่ก็มาที่รอบสูงกว่าถึง 2000 รอบ
Africa Twin 88.91 PS @ 7500 rpm
Tiger800 95 PS @ 9500 rpm
แล้วทอร์ค (ที่จำเป็นในการตะกุยทราย ตะกุยดิน ขี่ขึ้นเขา) ก็น้อยกว่า Africa Twin อยู่พอสมควร
Africa Twin 93.1 N-m @ 6000 rpm
Tiger 800 79 Nm @ 8050 rpm
Tiger เลยถูกตัดทิ้งไป
BMW F800GSA สเปคส่วนใหญ่ใกล้เคียง Africa Twin
แต่ผมตัดออกไปเลย ไม่ไปลองขี่ด้วย
ด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือ สเปคใกล้เคียงกันมาก
ไม่มีใครได้เปรียบ เสียเปรียบมากนัก แต่ราคาแพงกว่าแสนห้า
ตอนนั้นราคา Africa Twin ตัว MT คือ 550,000 บาท
ส่วน F800GSA อยู่ที่ 690,000 บาท
ก็เลยคิดว่า ไม่มีเหตุผลให้ต้องจ่ายแพงกว่าแสนห้าหมื่นบาท
กับรถที่สมรรถนะ แทบจะไม่ต่างกัน
หรือพูดง่าย ๆ คือ จ่ายแพงกว่าแสนห้าหมื่นบาท เป็นค่าตรา BMW เท่านั้น
F800GSA ก็เลยถูกตัดทิ้งไปอีกตัว

สุดท้าย เลยเหลือตัวเลือกหลัก ๆ อยู่แค่ 3-4 คัน คือ
ผมตั้ง Africa Twin เป็นหลักไว้ก่อน เพราะราคารับได้ที่สุด
แล้วเอา BMW1200GS, KTM1290 และ Ducati Multistrada 1200 Enduro
ตัวท๊อปของแต่ล่ะค่าย มาเปรียบเทียบ ว่าควรจะกัดฟันเพิ่มเงินอีกเกือบเท่าตัว
ไปเอาตัว Top ให้จบ ๆ ไปเลยดีมั้ย เพราะเราใช้งานนานอยู่แล้ว
ซื้อครั้งหนึ่งก็ใช้ไปต่ำ ๆ 5 ปีนั่นล่ะ ถ้ารถมันไม่ Here จริง ๆ
เผลอ ๆ ก็น่าจะอยู่กันไปจนพังกันไปข้างหนึ่ง (แบบที่ผมเลือกเก็บ Blackbird ไว้ ไม่ขายทิ้ง)
จากทั้งสี่คันนี้ แน่นอนว่า Africa Twin มันสเปคต่ำสุดนั่นล่ะครับ
ตัวที่ตัดออกก่อนเลยคือ KTM1290 Super Adventure R
เพราะราคาล้านสาม คือถ้าจะกัดฟันผ่อน ก็อาจจะไหว
แต่ตอนนั้นผมยังผ่อน 899 Panigale ไม่หมด ถ้าต้องมาผ่อนเพิ่มอีกคันก็หนักเกินไป
จะให้ขาย 899 ไปเพื่อมาผ่อนคันนี้คันเดียว ก็ทำไม่ได้ เพราะยังขี่สนามอยู่
ตัวที่สองที่ตัดออกคือ Ducati Multistrada 1200 Enduro ราคาไม่ต่างจาก BMW มานัก
หน้าตาดี สวย แต่ผมยังไม่มั่นใจชื่อชั้นของ Ducati ในทางฝุ่นเท่าไหร่ รถมันหนักมากด้วย 250 กว่ากิโลกรัม
ไม่น่าจะเหมาะกับการเอามาลุยฝุ่นลุยโคลน
ตัวสุดท้ายที่ตัดออก คือ BMWR1200GS ตัวธรรมดานะครับ ไม่ใช่ GSA
ผมไม่ได้เอา GSA มารวมด้วย เพราะว่ารถมันหนักมากเช่นกัน 250 กว่ากิโลกรัม
ผมอยากได้รถที่ลุยทางฝุ่นได้คล่องตัว ซึ่ง GS ธรรมดา มันหนักกว่า Africa ไม่กี่กิโลกรัม
แต่ราคามันเกือบล้าน ต้องเพิ่มเงินจาก Africa ไปอีก 4 แสน
คือผมว่าทุกคนเข้าใจและยอมรับนะ ว่า BMW สเปค การใช้งาน มันดีกว่าก็จริง
แต่ก็ไม่ได้ดีกว่าถึงกับเงินจำนวน 4 แสนที่ต้องจ่ายเพิ่ม
รวมกับว่า ตอนนั้นเนี่ย BMWR1200GS Rally ซึ่งผมอยากได้มาก มันเพิ่งเปิดตัวที่เมืองนอก
ผมก็ไปถามที่ศูนย์ BMW ว่าจะเข้ามาไทยเมื่อไหร่ ทางศูนย์ยังไม่ยืนยัน
บอกว่าอาจจะเป็นต้นปี 2018 เลย (ตอนที่ผมไปถามประมาณเดือน 8 ของปี 2017)
ก็เลยตัดทิ้งไปล่ะ เพราะไม่อยากรออีก 4-5 เดือน
สรุปก็เหลือ Africa Twin นี่ล่ะครับ เป็นตัวเลือกสุดท้าย
เหตุผลที่ผมยกมาในการตัดแต่ล่ะตัวเลือกออกไป อาจจะดูสั้น ๆ ไปนิดนะครับ
แต่ความจริงแล้ว มันผ่านการคิดมาอย่างละเอียดเลยล่ะ
แค่ไม่ได้เอามาเขียนทั้งหมดเท่านั้นเอง เพราะไม่อย่างนั้นมันจะยาวมาก
แล้วก็ ถ้าจับสังเกตดี ๆ จะเห็นว่า ผมแทบจะตั้งธงไว้แล้วว่า จะซื้อ Africa Twin
แค่เอาข้อดีของตัวเลือกอื่น ๆ มาประกอบ เพื่อหาเหตุผลที่จะไม่ซื้อ Africa Twin ให้ได้
ซึ่งสุดท้ายก็อย่างที่เห็นครับ ใช้มา 20 กว่าเดือนแล้ว
เพราะ ณ เวลานั้น ผมว่า Africa Twin เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าเงินมากที่สุดแล้ว
มาดูกันต่อครับ ว่าสุดท้ายแล้ว มันจะเป็นอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า

ตอนนั้นพอตัดสินใจได้ ว่าจะเอา Africa Twin ก็ต้องเลือกต่อครับ ว่าจะเป็นตัว MT หรือ DCT
CRF1000L Africa Twin MT Curb Weight อยู่ที่ 232 กิโลกรัม
CRF1000L Africa Twin DCT Curb Weight อยู่ที่ 242 กิโลกรัม
ตัว DCT หนักกว่า 10 กิโลกรัม แพงกว่า 30,000 บาท
เลือกยากนิดนึงตรงที่ว่าผมอยากได้ระบบ DCT แต่ ไม่อยากแบกน้ำหนักเพิ่มอีก 10 กิโลกรัม
สุดท้ายก็มองว่า น้ำหนักที่มาเพิ่มอีก 10 กิโลกรัม
ส่งผลต่อการขับขี่เยอะกว่า ความสบายที่ได้จาก DCT
เพราะ 10 กิโลกรัม มันอยู่กับเราทุกที่ทุกเวลา
รถเข้าโค้งแย่ลง
หยุดรถยากขึ้น
เหนื่อยมากขึ้นในการขี่รถช้า ๆ
เลยตัดสินใจซื้อตัว MT มาใช้ครับ
เล่าสู่กันฟัง 26,000 กิโลเมตร บน Honda CRF1000L Africa Twin (Long Term Use Review)
เจอกันอีกล่ะ ^ ^ หลังจากครั้งที่แล้ว ได้รีวิว
รถที่ตัวเองไม่รู้จักและไม่เคยใช้เลยแบบ Harley ไปแล้ว
ครั้งนี้ขอรีวิวรถที่ตัวเองรู้จักดีที่สุดบ้างดีกว่าครับ
คันนี้เป็นรถของผมเองครับ Honda CRF1000L Africa Twin รุ่นปี 2017 ตัว เกียร์ Manual
ถือโอกาสที่เพิ่งกลับมาจากทริปเบตงเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว
และรถวิ่งไป 22,222 กิโลเมตรพอดี อยู่ด้วยกันมา 20 เดือน ใช้มันไปเกือบครบทุกสภาพเส้นทาง
รวมทั้งได้ไปเช่ารถรุ่นนี้ที่เป็นเกียร์ DCT ขี่ในทะเลทรายที่ประเทศ Namibia มาอีกสี่พันกว่ากว่ากิโลเมตร
ก็เรียกได้ว่า พอจะรู้ข้อดีข้อเสีย จุดเด่น จุดด้อย ของรถรุ่นนี้พอสมควร
ก็เลยอยากเอามาเล่าสู่กันฟังนะครับ
สไตล์การรีวิว ก็คงจะคล้ายกับตอนที่เขียนเรื่อง Harley นะครับ
คือเน้นไปที่ความรู้สึกจากการใช้งานจริง ฟีลลิ่งการขับขี่จริง
เรื่องทางเทคนิค สเปคเป็นยังไง มีอะไร ไม่มีอะไรบ้าง
ผมคงจะกล่าวถึงน้อยมาก เพราะมันเป็นเรื่องที่เราหาอ่านได้ทั่วไป
ในเน็ตหรือในโบรชัวร์ของรถอยู่แล้วนะครับ
และผมก็ไม่อยากลงเป็น Customer Review ด้วย
เพราะมันเหมือนกับใช้แล้ว มาเล่าสู่กันฟังมากกว่า
ไม่ได้เป็นการ รีวิว เต็มตัวอะไรแบบนั้นครับ
รูปประกอบ ผมก็จะลงตามใจนะ ^ ^
คือรูปไม่ได้ลิงค์กับบทความหรอก เป็นแค่รูปที่ผมถ่ายรถเก็บไว้เรื่อย ๆ เท่านั้นครับ
แต่งรูปเล่นหลาย ๆ แบบ แล้วก็เอามาโชว์ แค่นั้นครับ
คันสี Tri Color เป็นรถของผมเอง
คันสี แดงดำ เป็นรถที่ผมไปเช่าขี่ที่ Namibia
แล้วก็จะมีคลิปที่ทำเล่น ๆ ไว้ 2-3 คลิป ตอนไปขี่ที่ Namibia
กับช่วงผ่านทางโค้งก่อนถึงเบตงมาให้ดูกันนิด ๆ หน่อย ๆ ครับ
เอาล่ะ เริ่มต้นกันเลย
ทำไมถึงซื้อ Africa Twin Africa Twin
ต้องเล่าก่อนว่า ผมใช้ CBR1100XX ในการขี่เที่ยว ออกทริป มาเกิน 10 ปีแล้วครับ
(ซื้อมาตั้งปี 2008) ก็ขี่ไปเกือบทุกที่ในเมืองไทย
เท่าที่รถมันจะพาไปได้แล้วครับ Mileage ปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 150,000 กิโลเมตร
(ตอนผมซื้อมา Mileage อยู่ที่ประมาณ 38,000 กิโลเมตร )
ใช้ไป 110,000 กว่ากิโลเมตร ก็ถือว่าไม่ได้มากมายอะไรนะ
เพราะเดี๋ยวนี้พวกสายออกทริปจริงจัง 3-4 ปี ก็ขี่กันเกินแสนกิโลเมตรแล้ว
ชิ้นส่วนต่าง ๆ ก็เริ่มเสื่อมไปตามเวลา
ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ อะไหล่ก็เริ่มหายากขึ้นทุกวัน
ตอนนี้ผมต้องสั่งจากญี่ปุ่นอย่างเดียว
ก็เลยคิดว่า คงได้เวลาเปลี่ยนรถแล้วล่ะ
เก็บ Blackbird ไว้ขี่เล่นใกล้ ๆ เมือง
ออกทริปแบบระยะทาง 100-200 กิโลเมตรดีกว่า
เลยเป็นที่มาของความต้องการรถมอเตอร์ไซค์เพิ่มอีกคัน
โดย Requirement หลักของผมในครั้งนี้คือ
รถคันใหม่นี้ ต้องพาผมไปในที่ที่ Blackbird ไปไม่ได้
(คือถ้ามีคันใหม่ แล้วไปได้แค่เส้นทางเดิม ๆ ก็ไม่รู้จะซื้อใหม่ทำไม)
พูดให้ง่าย ๆ คือ ต้องลุยทางฝุ่นทางโคลนได้นั่นล่ะครับ
พอมี Requirement หลัก ประมาณนี้
ก็ทำการเลือกครับ
ขั้นต้น ผมตัดรถต่ำกว่า 1000 ซีซี ออกไปเกือบหมด
500X ของฮอนด้า Versys ของคาวาฯ V-Strom ของซู
เป็นแค่ On-road ที่พอจะลุยได้บ้างเล็กน้อยเท่านั้น
Tiger800 ของ Triumph ลุยได้ดีขึ้น แต่ผมเคยลองขี่อยู่ 300-400 กิโลเมตร
แล้วรู้สึกว่า Character ของเครื่อง 3 สูบตัวนี้ มันไม่เหมาะกับรถทัวริ่งทางฝุ่น
มันจะรู้สึกสนุก ขี่ดี ก็ตอนที่ใช้รอบเครื่องและความเร็วสูง
เพราะถึงแรงม้าสูงสุดเยอะจะกว่า Africa Twin ก็จริง แต่ก็มาที่รอบสูงกว่าถึง 2000 รอบ
Africa Twin 88.91 PS @ 7500 rpm
Tiger800 95 PS @ 9500 rpm
แล้วทอร์ค (ที่จำเป็นในการตะกุยทราย ตะกุยดิน ขี่ขึ้นเขา) ก็น้อยกว่า Africa Twin อยู่พอสมควร
Africa Twin 93.1 N-m @ 6000 rpm
Tiger 800 79 Nm @ 8050 rpm
Tiger เลยถูกตัดทิ้งไป
BMW F800GSA สเปคส่วนใหญ่ใกล้เคียง Africa Twin
แต่ผมตัดออกไปเลย ไม่ไปลองขี่ด้วย
ด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือ สเปคใกล้เคียงกันมาก
ไม่มีใครได้เปรียบ เสียเปรียบมากนัก แต่ราคาแพงกว่าแสนห้า
ตอนนั้นราคา Africa Twin ตัว MT คือ 550,000 บาท
ส่วน F800GSA อยู่ที่ 690,000 บาท
ก็เลยคิดว่า ไม่มีเหตุผลให้ต้องจ่ายแพงกว่าแสนห้าหมื่นบาท
กับรถที่สมรรถนะ แทบจะไม่ต่างกัน
หรือพูดง่าย ๆ คือ จ่ายแพงกว่าแสนห้าหมื่นบาท เป็นค่าตรา BMW เท่านั้น
F800GSA ก็เลยถูกตัดทิ้งไปอีกตัว
ผมตั้ง Africa Twin เป็นหลักไว้ก่อน เพราะราคารับได้ที่สุด
แล้วเอา BMW1200GS, KTM1290 และ Ducati Multistrada 1200 Enduro
ตัวท๊อปของแต่ล่ะค่าย มาเปรียบเทียบ ว่าควรจะกัดฟันเพิ่มเงินอีกเกือบเท่าตัว
ไปเอาตัว Top ให้จบ ๆ ไปเลยดีมั้ย เพราะเราใช้งานนานอยู่แล้ว
ซื้อครั้งหนึ่งก็ใช้ไปต่ำ ๆ 5 ปีนั่นล่ะ ถ้ารถมันไม่ Here จริง ๆ
เผลอ ๆ ก็น่าจะอยู่กันไปจนพังกันไปข้างหนึ่ง (แบบที่ผมเลือกเก็บ Blackbird ไว้ ไม่ขายทิ้ง)
จากทั้งสี่คันนี้ แน่นอนว่า Africa Twin มันสเปคต่ำสุดนั่นล่ะครับ
ตัวที่ตัดออกก่อนเลยคือ KTM1290 Super Adventure R
เพราะราคาล้านสาม คือถ้าจะกัดฟันผ่อน ก็อาจจะไหว
แต่ตอนนั้นผมยังผ่อน 899 Panigale ไม่หมด ถ้าต้องมาผ่อนเพิ่มอีกคันก็หนักเกินไป
จะให้ขาย 899 ไปเพื่อมาผ่อนคันนี้คันเดียว ก็ทำไม่ได้ เพราะยังขี่สนามอยู่
ตัวที่สองที่ตัดออกคือ Ducati Multistrada 1200 Enduro ราคาไม่ต่างจาก BMW มานัก
หน้าตาดี สวย แต่ผมยังไม่มั่นใจชื่อชั้นของ Ducati ในทางฝุ่นเท่าไหร่ รถมันหนักมากด้วย 250 กว่ากิโลกรัม
ไม่น่าจะเหมาะกับการเอามาลุยฝุ่นลุยโคลน
ตัวสุดท้ายที่ตัดออก คือ BMWR1200GS ตัวธรรมดานะครับ ไม่ใช่ GSA
ผมไม่ได้เอา GSA มารวมด้วย เพราะว่ารถมันหนักมากเช่นกัน 250 กว่ากิโลกรัม
ผมอยากได้รถที่ลุยทางฝุ่นได้คล่องตัว ซึ่ง GS ธรรมดา มันหนักกว่า Africa ไม่กี่กิโลกรัม
แต่ราคามันเกือบล้าน ต้องเพิ่มเงินจาก Africa ไปอีก 4 แสน
คือผมว่าทุกคนเข้าใจและยอมรับนะ ว่า BMW สเปค การใช้งาน มันดีกว่าก็จริง
แต่ก็ไม่ได้ดีกว่าถึงกับเงินจำนวน 4 แสนที่ต้องจ่ายเพิ่ม
รวมกับว่า ตอนนั้นเนี่ย BMWR1200GS Rally ซึ่งผมอยากได้มาก มันเพิ่งเปิดตัวที่เมืองนอก
ผมก็ไปถามที่ศูนย์ BMW ว่าจะเข้ามาไทยเมื่อไหร่ ทางศูนย์ยังไม่ยืนยัน
บอกว่าอาจจะเป็นต้นปี 2018 เลย (ตอนที่ผมไปถามประมาณเดือน 8 ของปี 2017)
ก็เลยตัดทิ้งไปล่ะ เพราะไม่อยากรออีก 4-5 เดือน
สรุปก็เหลือ Africa Twin นี่ล่ะครับ เป็นตัวเลือกสุดท้าย
เหตุผลที่ผมยกมาในการตัดแต่ล่ะตัวเลือกออกไป อาจจะดูสั้น ๆ ไปนิดนะครับ
แต่ความจริงแล้ว มันผ่านการคิดมาอย่างละเอียดเลยล่ะ
แค่ไม่ได้เอามาเขียนทั้งหมดเท่านั้นเอง เพราะไม่อย่างนั้นมันจะยาวมาก
แล้วก็ ถ้าจับสังเกตดี ๆ จะเห็นว่า ผมแทบจะตั้งธงไว้แล้วว่า จะซื้อ Africa Twin
แค่เอาข้อดีของตัวเลือกอื่น ๆ มาประกอบ เพื่อหาเหตุผลที่จะไม่ซื้อ Africa Twin ให้ได้
ซึ่งสุดท้ายก็อย่างที่เห็นครับ ใช้มา 20 กว่าเดือนแล้ว
เพราะ ณ เวลานั้น ผมว่า Africa Twin เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าเงินมากที่สุดแล้ว
มาดูกันต่อครับ ว่าสุดท้ายแล้ว มันจะเป็นอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า
CRF1000L Africa Twin MT Curb Weight อยู่ที่ 232 กิโลกรัม
CRF1000L Africa Twin DCT Curb Weight อยู่ที่ 242 กิโลกรัม
ตัว DCT หนักกว่า 10 กิโลกรัม แพงกว่า 30,000 บาท
เลือกยากนิดนึงตรงที่ว่าผมอยากได้ระบบ DCT แต่ ไม่อยากแบกน้ำหนักเพิ่มอีก 10 กิโลกรัม
สุดท้ายก็มองว่า น้ำหนักที่มาเพิ่มอีก 10 กิโลกรัม
ส่งผลต่อการขับขี่เยอะกว่า ความสบายที่ได้จาก DCT
เพราะ 10 กิโลกรัม มันอยู่กับเราทุกที่ทุกเวลา
รถเข้าโค้งแย่ลง
หยุดรถยากขึ้น
เหนื่อยมากขึ้นในการขี่รถช้า ๆ
เลยตัดสินใจซื้อตัว MT มาใช้ครับ